หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองและป้าตกเป็นจำเลยคดีอุกฉกรรจ์และกำลังจะได้รับการตัดสินโทษด้วยคำพิพากษาในชั้นสุดท้าย คาร์ลอสมีอำนาจล้นเหลือ เขาเป็นเจ้าของธุรกิจปิโตรเลี่ยมยักษ์ใหญ่และเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวรรษมลหักหลังเขาอย่างไม่น่าให้อภัยด้วยการล่อลวงและหลอกเอาเงินของเขาไปเป็นจำนวนมหาศาล เขาไม่ยอมแจ้งตำรวจแต่กำลังจะใช้ศาลเตี้ยตัดสินความผิดครอบครัวของเธอด้วยตัวเขาเอง
แล้วสิ่งสุดท้ายหลังพิธีการแต่งงานก็มาถึง ช่อดอกรานังคูลัสถูกนำมาให้เจ้าสาวเพื่อจะได้ให้เธอโยนแก่แขกผู้หญิงที่มาร่วมงานพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ รชนิชลรับมันจากคนของคาร์ลอสและจ้องมองช่อดอกไม้กลีบสวยสีสันงดงามด้วยความผะอืดผะอม เธอรู้ความหมายของดอกไม้ชนิดนี้เพราะคลุกคลีอยู่กับดอกไม้ที่ร้านของแวววลีมาหลายปี ดอกรานังคูลัสมีความหมายถึงการตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้งของคู่บ่าวสาวและเป็นดอกไม้ในฝันซึ่งเธอคิดว่าจะเตรียมไว้ในการโยนดอกไม้สำหรับงานแต่งของตัวเอง
ไม่นึกเลยว่าเธอต้องมาโยนดอกไม้ที่ตัวเองรักในงานแต่งของพี่สาว
แม้จะรู้สึกรันทดท้อแต่เธอจะหลั่งน้ำตาต่อหน้าแขกคนสำคัญของคาร์ลอสไม่ได้ ร่างบอบบางในชุดเจ้าสาวแสนสวยหันหลังให้แขกสาว ๆ ที่มายืนรออย่างใจจดจ่อก่อนจะโยนดอกไม้ไปข้างหลัง เสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นและรชนิชลก็ไม่มีโอกาสที่จะได้หันกลับไปอีกเพราะเจ้าบ่าวร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาโอบเอวบางไว้ก่อนจะพาเธอออกจากบริเวณงานและตรงไปยังรถสปอร์ตคันงามของเขา หญิงสาวหันมามองขณะที่ประตูรถเปิดออกและร่างบางกำลังจะก้าวขึ้นไปนั่ง
“คาร์ล...”
“ขึ้นรถ” เขาสั่งเสียงเข้ม นัยน์ตาดุดันทำให้หญิงสาวสะอึก “ผมจะพาคุณไปที่เซฟเฮาส์ของผม...ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องเค้นความจริงเรื่องของวีจากคุณ!”
บทที่ 3 เค้นความจริง
รชนิชลนั่งนิ่งเงียบตลอดเวลาที่คาร์ลอสเหยียบคันเร่งพารถแลมบอร์กินีคันหรูของเขาฝ่าการจราจรคับคั่งมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองไปตามเส้นทางที่หญิงสาวไม่คุ้นเคย ความหวาดหวั่นแล่นพล่านอยู่ในสำนึกที่สับสน ถ้ากลั้นหายใจได้นานกว่านี้ก็คงดี เธอจะได้ไม่ต้องรับรู้ถึงแรงกระเพื่อมทางอารมณ์ของตัวเองที่อาจกระทบกับความรู้สึกของคนที่อยู่หลังพวงมาลัย ร่างบางซึ่งยังอยู่ในชุดแต่งงานประสานมือไว้บนตัก เธอนิ่งนึกอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจถามออกไปว่า
“คาร์ล...คุณ...จะพาฉันไปไหนคะ”
“ถึงแล้วก็รู้เอง ตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์สงสัยอะไรทั้งนั้น!”
เขาสวนกลับเสียงเข้ม นัยน์ตาวับวาวคู่นั้นจ้องมองไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นถนนสายใหญ่ที่รถสปอร์ตของเขาแล่นฝ่าละอองไอของอากาศที่เริ่มเย็นตัวลงเมื่ออัสดงโรยตัวลงมาปกคลุมเหนือท้องฟ้าของมหานครใหญ่ รชนิชลเหลือบมองเสี้ยวหน้าเหี้ยมเกรียมที่แสงแดดอ่อนพาดผ่าน เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งนิ่งและเผลอถอนหายใจออกมา แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงดังในลำคอของเขา มันเป็นเสียงหัวเราะขื่น ๆ ขณะคาร์ลอสเหยียดปาก
“ผมยังไม่ฆ่าคุณตอนนี้หรอก เพราะผมต้องรู้อะไรจากคุณเสียก่อน...แต่หลังจากนี้...อาจไม่แน่”
คำพูดเจือด้วยความเคียดขึ้งทำให้รชนิชลชาวาบไปถึงสันหลัง หญิงสาวจับมือที่ประสานกันไว้แน่นและพยายามกลั้นน้ำตาไว้ คาร์ลอสต้องการเค้นเรื่องวรรษมลจากปากของเธอ แล้วถ้าหากเธอไม่สามารถบอกอะไรไปมากกว่านี้ได้เขาคงต้องฆ่าเธอให้ตายคามือเป็นแน่
เรียวปากอิ่มสั่นระริกตลอดระยะทางที่รถสปอร์ตคันหรูแล่นฉิวไปบนถนนที่ทอดยาวออกไปนอกเมืองด้วยความเร็วสูงกระทั่งถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งลัดเลาะเข้าไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ขนาบข้างด้วยต้นโอ๊คและหญิงสาวก็เห็นบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ รชนิชลอดที่จะนึกไม่ได้เลยว่าถ้าเขาฆ่าเธอแล้วคงโยนศพลงแม่น้ำสายนั้นอย่างแน่นอน ร่างเล็กยิ่งสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อคาร์ลอสหักพวงมาลัยรถเข้าไปจอดที่หน้าบ้านหลังนั้นซึ่งมีคนของเขายืนรออยู่ถึงสามคน และเมื่อเครื่องยนต์ถูกดับลงสนิทเธอก็นั่งนิ่งกระทั่งประตูรถถูกเปิดออก
“ลงมา!”
เสียงหนักของคาร์ลอสทำให้หญิงสาวสะดุ้ง สมองของรชนิชลเหมือนหยุดสั่งการไปชั่วขณะ ความกลัวกร่อนกัดสติที่กำลังยวบจนเกือบละลาย
“ได้ยินหรือเปล่า...ผมบอกให้ลงมา!”
“ค่ะ...ค่ะ”
หญิงสาวตอบไปคล้ายคนไม่มีสติ เธอก้าวลงจากรถก่อนจะถูกร่างสูงใหญ่ดึงแขนให้เดินตามเข้าไปในบ้านเข้าไปยังห้องหนึ่งและปิดประตูลงดังปัง
“คาร์ล!”
รชนิชลร้องเสียงสั่นเมื่อเขาผลักเธอลงไปนั่งบนเตียงภายในห้องกว้างซึ่งเธอเห็นระเบียงติดฝั่งน้ำและบานประตูกระจกเปิดอ้าไว้ นี่หรือคือสถานที่เร้นลับของคาร์ลอส อเล็กซานเดอร์ เขาพาเธอมาเพื่อจะบีบเค้นเอาความจริง หากหญิงสาวก็ไม่มีเวลาที่จะได้สนใจกับความงดงามตระการตาของทัศนียภาพเบื้องนอกเพราะไม่รู้เลยว่าเธอจะยังมีเวลาเหลือสำหรับลมหายใจแห่งความหวั่นกลัวอีกนานเท่าใด