บทที่ 1
ธมลวรรณ จันทรา
เวลาล่วงเลยผ่านมานานถึง 3 ปี นับตั้งแต่ที่ฉันถูกมารดาขอร้องให้แต่งงานกับผู้ชายแก่คราวพ่อเพื่อทดแทนพระคุณที่เสี่ยใหญ่รายนั้นช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษาโรคมะเร็งไขกระดูกของมารดา
หญิงสาวอายุ 22 ปีในวันนั้นไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง โหยหาใครหรือสิ่งใดได้ดีมากไปกว่าการทดแทนบุญคุณเสี่ยเพื่อต่อชีวิตและลมหายใจให้กับมารดาอันเป็นที่รัก
แต่ทว่าโชคชะตาชีวิตมักจะโหดร้ายกับฉันเสมอ มัจจุราชแสนชังค่อย ๆ ทยอยพรากเอาคนที่รักจากฉันไปทีละคน จนในปัจจุบันนี้ชีวิตฉันต้องมายืนต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังไร้เงาของบิดามารดาผู้ล่วงลับตามกันไปสู่สัมปรายภพ
ฐานะทางครอบครัวของลูกชาวไร่ชาวสวนเช่นฉัน ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดีเลิศประเสริฐศรีอันใด มีเพียงรูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่ชาวบ้านลงความเห็นยกให้ฉันได้เป็นสาวเทพีบ้านไร่ แต่แล้วใครจะคิดว่าแม่เทพีบ้านไร่ผู้งามหยดย้อยอย่างฉันจะแปลงร่างเป็น ' เทพีบริโภคภัสดา' ไปเสียได้
ยังโชคดีอยู่บ้างที่ฉันยังเรียนจบและพอมีความรู้ความสามารถติดตัว สาวนิเทศศาสตร์เอกประชาสัมพันธ์เช่นฉันจึงได้รับความช่วยเหลือจากจิรัชญา ช่วยฝากเข้าทำงานในตำแหน่งประชาสัมพันธ์ต้อนรับของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
จิรัชญาหรือจิ เป็นเพื่อนรักที่คบกับฉันมาตั้งแต่สมัยประถมจนถึงมัธยมปลาย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเรียนระดับอุดมศึกษาตามสาขาที่ตนเองชื่นชอบแต่ความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งคู่ไม่เคยจางหายไปไหน ฉันยังติดต่อกับเพื่อนรักบ่อยๆ จนกระทั่งจิรัชญาชักชวนฉันมาทำงานในโรงพยาบาลที่เพื่อนทำงานอยู่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคล
แรกเริ่มเดิมทีฉันและจิรัชญาพักอยู่ในอาพาร์ตเมนต์ราคาประหยัดด้วยกันเพียงสองต่อสอง แต่เมื่อเพื่อนสาวคนงามปลูกต้นรักกับหนุ่มหน้าคมภายในแผนกเดียวกันเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาภาพบาดตาบาดใจ เสียงร้องครางอย่างสุขสมที่บังเอิญได้ยินบ่อย ๆ เวลาที่กลับที่พักไม่ตรงช่วงจังหวะนาทีชีวิตนั้นทำให้ฉันมีโอกาสได้ดูหนังสดของคนทั้งคู่แบบที่ไม่ได้ตั้งใจบ่อยๆ ทั้งคู่คงจะเกรงใจฉันพอสมควร จึงเป็นฉันเองที่ออกปากขออนุญาตแยกตัวไปเช่าห้องพักอีกห้องที่อยู่ภายในตึกเดียวกันเพื่อตัดปัญหาการเป็นก้างขวางคอความสุขของคนทั้งคู่
แต่แท้จริงแล้วฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่นผู้หญิงธรรมดาทั่วๆ ไป ถึงแม้จะประกาศกร้าวบอกกับเพื่อนๆ ว่า ชาตินี้ทั้งชาติฉันขยาดกับการมีคู่ ขอครองโสดยึดคานทองไปตลอดชีวิตดีกว่าจะต้องรักแล้วเจ็บปวดขื่นขมใจเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา แต่ทว่าลึกๆ นั้นฉันพอจะรู้ดีว่าความปรารถนาโหยหาความสุขสมเฉกเช่นที่เพื่อนสาวฉันได้พบเจอนั้นมันปะทุขึ้นมาในทุกครั้งที่ได้พบเจอคนทั้งคู่มีอะไรกัน แต่ฉันก็มีวิธีจัดการกับอารมณ์ของตนเองในแบบฉบับของฉัน
หลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ชั้น 3 สาวสวยหน้าหวานยังคงทำหน้าที่เชื้อเชิญผู้มารับบริการด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยเกือบจะถึงช่วงพักกลางวัน ผู้บังคับบัญชาจึงได้เอ่ยขอให้ฉันนำส่งเอกสารสำคัญบางอย่างไปที่ห้องของผู้อำนวยการก่อนที่ฉันจะลงไปพักรับประทานอาหารกลางวันต่อ
ฉันเดินออกจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไปหยุดยืนตรงหน้าลิฟท์ และเมื่อประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก ฉันจึงนำพาตนเองเข้าไปในลิฟท์เพื่อนำส่งเอกสารไปยังชั้น 12 ซึ่งเป็นห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการ
แต่ก่อนที่ลิฟท์จะปิดตัวลง ประตูลิฟท์ก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับชายร่างสูงโปร่ง ผิวขาว รูปหน้าคมคร้าม แทรกตัวเข้ามาภายในลิฟท์ได้ทันเวลาก่อนที่ลิฟท์จะปิดเสียก่อน
ฉันเงยหน้าขึ้นมองสบตากับหนุ่มหล่อ บุคลิกดีโดยอัตโนมัติ ดวงตาที่เล็กเรียวยาวของเขาจ้องมองมาที่ฉันนั้นดูสงบนิ่ง ผสานกับความเย็นชาอย่างประหลาด แต่เมื่อสำนึกตนได้ว่าในขณะนี้ฉันสวมบทบาทเป็นผู้ให้บริการแผนกประชาสัมพันธ์ต้อนรับของโรงพยาบาล ฉันจึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
ฉันฉีกยิ้มกว้าง สีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับเอ่ยถามหนุ่มหล่อด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
" ไม่ทราบว่าลูกค้าจะเข้ารับบริการที่ชั้นไหนคะ"
ตุลย์ภพหรี่ตาเรียวมองใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวหน้าหวานอย่างพิจารณา ก่อนจะตอบกลับเพียงสั้นๆ แต่ได้ใจความ
" ชั้นเดียวกับคุณ"
น้ำเสียงราบเรียบช่างดูเย็นชาเช่นกับบุคลิกเจ้าตัวนั้น ทำให้ฉันรู้สึกยำเกรงรัศมีความดุดันที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเขาเล็กน้อย จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะสร้างสัมพันธภาพอันดีด้วยการถามต่อว่าต้องการไปชั้น 12 เพื่อติดต่อประสานงานเรื่องใดเธอพอจะช่วยเป็นธุระให้ เนื่องด้วยชั้น 12 เป็นชั้นของผู้บริหารทั้งชั้น แต่เมื่อเห็นสายตาคมกริบที่ปราดมองมาปราศจากความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น ทำให้เธอเลือกที่จะเงียบ ถอยเข้ามุมไปยืนอยู่คนละฝั่งกับที่เขายืนอยู่
ลิฟท์ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงชั้น 12 และเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ฉันพยายามทำหน้าที่ของพนักงานบริการดีเด่นของฉันต่อด้วยการเชื้อเชิญให้เขาเดินออกจากลิฟท์ก่อน แต่ทว่าพ่อสุภาพบุรุษหน้าคมกลับผายมือให้ฉันเดินออกจากลิฟท์ไปก่อนเขา
ฉันจึงไม่รีรอเสียเวลา เมื่อพ้นจากตัวลิฟท์ฉันจึงมุ่งตรงไปยังห้องผู้อำนวยการเพื่อทำหน้าของตนเองให้เรียบร้อยจะได้ลงไปทานข้าวกับบรรดาเพื่อนๆ ที่รอฉันอยู่ที่โรงอาหาร แต่ร่างสูงที่ออกจากลิฟท์ตามฉันมาติดๆ กลับเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะเลขาหน้าห้องของท่านผู้อำนวยการเฉกเช่นเดียวกันกับฉัน
" สวัสดีค่ะพี่แก้ว .."
ฉันเอ่ยทักทายเลขานุการของนายด้วยกิริยามารยาทนอบน้อม
" น้องหวานมาทำอะไรแถวนี้เหรอจ๊ะ"
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจากจอพีซีพร้อมส่งยิ้มต้อนรับฉันด้วยไมตรี แม้จะอายุ 40 แล้วแต่เลขานุการผู้บริหารผู้นี้กลับยังแต่งตัวดูเปรี้ยวทันสมัย งดงามสมวัย และแฝงไปด้วยบุคลิกอันน่าเกรงขาม และก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยตอบคำถามว่าด้วยเรื่องธุระของฉันนั้น เสียงอุทานด้วยความดีใจของคุณเลขาหน้าห้องผู้อำนวยการก็ดังขึ้นเสียก่อน
" อุ้ย!..สวัสดีค่ะคุณหมอตุลย์ เชิญคุณหมอข้างในได้เลยค่ะ ตอนนี้ท่านกำลังรอคุณหมออยู่ในห้อง"
แก้วกัลยาเอ่ยเชื้อเชิญชายหนุ่มร่างสูงโปร่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับทำหน้าที่นำส่งหนุ่มหล่อที่ถูกเรียกขานว่า ' คุณหมอตุลย์นั้น ' เข้าไปในห้องของท่านผู้อำนวยการ
แต่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าห้องไปชายหนุ่มหน้าคมนั้นยังไม่วายปรายตามองฉันเพียงชั่วครู่ ความรู้สึกหวาดหวั่นนั้นเกิดขึ้นในใจอย่างประหลาดไม่กล้าแม้จะมองสบตาเขา
และเมื่อรู้จากปากคุณเลขาว่าหนุ่มหล่อผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดความรู้สึกร้อนวูบๆ วาบๆ ไปทั่วร่างกายฉันมันถึงได้ก่อตัวขึ้นมาอีกหนหลังจากที่มันห่างหายไปนานหลายปี
" คุณหมอตุลย์เป็นหลานของท่านผู้อำนวยการ เมื่อก่อนคุณหมอทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ ตอนนี้กลับมาอยู่ที่เมืองไทยแล้วและก็กำลังจะมาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชคนใหม่ของโรงพยาบาลเรา"
## จบตอน##