ท้องฟ้ายามราตรีที่ถูกหมู่ดาวประดับประดาไว้อย่างสวยงามกำลังรายล้อมรอบพระจันทร์เดือนเพ็ญเด่นสง่าลอยอยู่กลางนภา ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักหากจ้องมองจากเมืองเหมันตรา เมืองที่มีแต่ฤดูหนาวตลอดทั้งปีอยู่สูงเสียดฟ้าทักเทียมกับหมู่เมฆและหมู่ดวงดาราแห่งนี้ เสียงสายลมพัดเอื่อยๆกระทบกับผ้าม่านบนปราสาทแก้วพัดปลิวไสว ไหนจะเสียงห้ามปรามทักท้วงของคุณท้าวมาลัยไม่ได้ทำให้ ไอศูรย์ โอรสยักษ์น้อยวัยเจ็ดขวบองค์เดียวของท้าวเหมมันตรา พญายักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งปกครองเมืองอย่างมีความสุขตลอดมาโดยไร้ซึ่งพระเหสีเคียงข้างหันมาสนใจเลยแม้แต่น้อย หากแต่ดวงตาคมคู่สวยภายใต้ลวดลายบนคิ้วงดงามนั้นยังคงจ้องมองออกไปยังแสงสว่างรำไร ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเทือกเขาเหมันตรา ที่ที่เป็นทางเข้าสู่เมืองมนุษย์และเป็นที่ที่ท้าวเหมันตา พญายักษ์ผู้ครองเมืองสั่งห้ามไม่ให้บรรดาเหล่ายักษียักษาทั้งหลายเข้าใกล้โดยเด็ดขาด
“พระโอรส ได้โปรดฟังหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ ถ้าองค์เหนือหัวทรงทราบ หม่อมฉันเดือดร้อนแน่เลยเพคะ” คุณท้าวมาลีผู้เป็นพระพี่เลี้ยงของโอรสยักษ์รีบปรามหลังจากที่ไอศูรย์ยืนยันหนักแน่นว่าจะไปเยือนเมืองมนุษย์คืนนี้เสียให้ได้
“โถ่ คุณท้าว ถ้าคุณท้าวไม่บอกแล้วเสด็จพ่อจะทรงทราบได้ยังไง” ไอศูรย์ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ
“แล้วถ้าเสด็จพ่อทรงสงสัยล่ะเพคะ จะให้หม่อมฉันทำยังไง”
“ไม่เห็นจะยาก ก็ทำแบบนี้ไง” โอรสน้อยยกยิ้มพลางพนมมือขึ้นรายคาถาก่อนจะเป่าเบาๆบนฝ่ามือเล็กๆ ปรากฏแสงส่องประกายออกมาอย่างสวยงามพร้อมๆกับร่างของพระโอรสไอศูรย์อีกคนที่ถูกเนรมิตขึ้นมานอนแน่นิ่งอยู่บนแท่นบรรทม เสมือนกำลังหลับใหลอยู่ก็มิปาน
“ตายจริง!” คุณท้าวมาลีสะดุ้งตกใจเอามือทาบอกไว้ทันทีหลังจากที่โอรสน้อยในโอวาทแสดงฤทธานุภาพต่อหน้าต่อตา
“เป็นยังไงคุณท้าว เหมือนมากเลยล่ะสิ” ไอศูรย์ยักคิ้วด้วยความภาคถูมิใจในขณะที่โอรสยักษ์ตัวปลอมเอาแต่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
“พะ...เพคะ” แม้ในใจจะรู้สึกค้านที่โอรสน้อยขัดคำสั่งแต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าไอสูรตัวปลอมนี้เหมือนแท้ยิ่งนัก
“ฝากด้วยนะคุณท้าวเราจะรีบกลับมาก่อนตะวันขึ้นแน่นอน” ไอศูรย์ให้คำมั่นสัญญาก่อนจะถลาออกไปตรงระเบียงห้องแล้วกระโดดออกไปเหาะเหินบนอากาศข้างนอกทันทีด้วยความรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อนสิเพคะ พระโอรส!” คุณท้าวมาลีได้แต่มองตามไปด้วยความวิตกแกมรู้สึกผิดที่เผลอไปเล่าเรื่องเมืองมนุษย์ให้กับพระโอรสไอศูรย์ฟัง ทำให้ยักษ์น้อยที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นเกิดความสงสัยและหาทางไปเมืองมนุษย์โดยอาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนในเมืองเหมันตรากำลังหลับใหลในตอนกลางดึกหนีไปจนได้
ไอศูรย์โอรสยักษ์ผู้มีฤทธานุภาพมากมายไม่ต่างกับผู้เป็นบิดากำลังยิ้มย่องอย่างพอใจที่แผนการของตนกำลังไปได้สวยในขณะที่กำลังเหาะเหินออกจากเทือกเขาเหมันตราไปยังเทือกเขาที่มีประตูออกไปยังเมืองมนุษย์เบื้องหน้าซึ่งระยะทางค่อนข้างห่างไกลกันพอสมควรแต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถลดราความตั้งใจของโอรสยักษ์น้อยไปได้เลย
สองเท้าน้อยๆค่อยๆจรดลงบนพื้นหน้าผาอันสูงชันก่อนที่จะแปลงกายเป็นแมลงตัวเล็กๆเพื่อที่จะผ่านออกไปสู่เมืองมนุษย์ได้โดยที่รูปปั้นยักษ์สองตัวซึ่งมีหน้าที่เฝ้าประตูไว้ไม่ทันสังเกตเห็น
ผึ้งตัวน้อยค่อยๆบินร่อนวนอยู่ตรงประตูหินแกร่งซึ่งมีแสงสว่างสีทองวาววับออกมาอย่างสวยงามแล้วตัดสินใจบินผ่านเข้าไป เกิดแสงส่องประกายแรงกล้าขึ้นวูบหนึ่งจนไอสูรในร่างผึ้งต้องหลับตาลงจนทุกอย่างข้างกายค่อยๆเปลี่ยนไปจากเดิม
ยักษ์น้อยแปลงกายกลับไปเป็นเหมือนเดิมเมื่อสัมผัสถึงสิ่งแปลกใหม่รอบกาย เนื่องจากเมืองมนุษย์นั้นมีเวลาตรงข้ามกับเมืองเหมันตราโดยสิ้นเชิงซึ่งในตอนนี้เมืองเหมันตราเป็นตอนกลางคืน นั่นก็หมายความว่าเมืองมนุษย์ก็ต้องเป็นตอนกลางวันนั่นเอง แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างจ้าทำให้ไอสูรต้องหรี่ตาลงเพราะความไม่คุ้นชินเพราะในเมืองยักษ์ที่จากมามีแต่ฤดูหนาวจึงไม่มีแสงอาทิตย์คอยส่องสว่างจ้าถึงเพียงนี้ถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม เมือดวงตาสามารถปรับให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมได้แล้วไอศูรย์จึงมองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น...นี่เป็นครั้งแรกที่ยักษ์น้อยได้สัมผัสกับฤดูร้อนในเมืองมนุษย์
เสียงหมู่ปักษาร้องดังจนก้องป่า หมู่แมกไม้ในพนาเสียดสีลู่ลมกันอย่างสนุกสนาน ไอสูรค่อยๆย่างก้าวไปข้างหน้าช้าๆด้วยความตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ยินเสียงสายธารกำลังไหลเอื่อยๆอยู่ไม่ห่าง
“นี่เหรอที่คุณท้าวบอกว่ามันคือลำธาร” เป็นครั้งแรกที่มือน้อยๆสัมผัสกับแผ่นน้ำในลำธารใสสะอาดเบื้องหน้าเพราะนอกจากหิมะในเมืองเหมันตรา ยักษ์น้อยก็ไม่เคยรับรู้กับสิ่งแปลกใหม่อื่นใดเลย
“เย็นสบายดีจัง” ไอศูรย์เริ่มรู้สึกสนุกสนานกับสิ่งแปลกใหม่ตรงหน้าหลังจากที่กระโดดลงไปแหวกว่ายในสายน้ำเย็นฉ่ำอย่างสบายอุรา พลันประสาทสัมผัสทางการได้ยินอันเป็นเลิศก็ไปสะดุดเข้ากับเสียงหนึ่งตรงต้นน้ำไม่ไกลทำให้ยักษ์น้อยเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะดำดิ่งลงไปใต้น้ำเพื่อไปยังต้นเสียงนั้นทันที