บทนำ ฝันร้าย
“กรี๊ด!!!!!!!!!!!”
เสียงกรีดร้องตามมาด้วยเสียงหอบเหนื่อยดังแข่งกับสายฝนภายนอก หญิงสาวเจ้าของใบหน้าหวานใช้หลังมือขาวผ่องปาดเหงื่อบนหน้าผาก ในขณะที่อีกมือกำลังจับก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด
เสียงฟ้าร้องก้องดังเป็นระยะพร้อมกับสายฝนที่สาดเทลงมาอย่างไม่ปราณีราวกับจะเกิดลางสังหรณ์บางอย่างในอีกไม่นาน
“ฝันแบบเดิมอีกแล้ว” เรียวปากเล็กพึมพำพลางเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่ฝันร้ายตามหลอกหลอนเธอมาทั้งชีวิต “แต่ทำไมคราวนี้ มันถึงเจ็บมากถึงขนาดนี้นะ”
หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่มอย่างเดิมด้วยความอ่อนแรง ดวงตาคู่งามมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างคนใช้ความคิด เธอฝันร้ายแบบนี้มาตลอดถึงแม้ว่าผู้เป็นแม่จะพาไปทำบุญอยู่ร่ำไปก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น มีแต่พระท่านบอกแค่ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรจะตามมาเอาชีวิตแต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ กระทั่งเรียนจบมาใช้ชีวิตตามลำพังในเมืองหลวงก็ไม่ได้เอะใจเรื่องนั้นอีกเลย จนถึงวันนี้ฝันร้ายกำลังจะเล่นงานเธอช้าๆ เพราะอาการเจ็บปวดเมื่อครู่นี้มันเพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ฉันต้องทำยังไงบอกฉันที” หญิงสาวพึมพำทั้งน้ำตารู้สึกน้อยใจในโชคชะตาที่ไม่อาจจะหลุดพ้นจากฝันร้ายนั้นได้ บัดนี้ดวงตาคู่งามไม่อาจจะหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราได้อีกแล้วเพราะความเจ็บปวดตรงอกด้านซ้ายมันทำให้แทบจะขาดใจเสียให้ได้
แต่ในเวลาย่ำดึกแบบนี้ใครเล่าจะมาช่วยเธอ หญิงสาวคิดพร้อมกับภาวนาให้ถึงเช้าเสียทีเพราะเธอเก็บความอัดอั้นที่แสนจะทรมานมาทั้งชีวิตนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เสียงสายลมพัดลู่ลมประสานกับเสียงฟ้าร้องก้องดังเป็นระยะพร้อมกับสายฝนเม็ดใหญ่สาดเทลงมาภายนอกหน้าต่าง แท้จริงแล้วมันคือลางบอกเหตุอีกไม่นาน เจ้ากรรมนายเวรของเธอกำลังจะกลับมาเพื่อทวงคืนสัญญาแค้นอย่างสาสม
หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มสีขาวสะอาดตา ผมที่ยาวสลวยจนถึงกลางหลังถึงมัดเกล้าเก็บไว้อย่างเรียบร้อยภายใต้หมวกสีขาวแถบดำ กำลังจัดเตรียมเอกสารแฟ้มคนไข้อย่างเหม่อลอยในขณะที่กำลังหวนคิดถึงคำของหลวงพ่อหลังจากที่ตัดสินใจไปทำบุญเมื่อเช้าเผื่ออะไรจะดีขึ้นมาบ้าง
“อดทนหน่อยนะโยม”
“แต่หนูทำบุญมาตลอด เขาไม่ได้รับเลยเหรอคะ ทำไมเขาถึงตามรังควาญหนูไม่เลิก” หญิงสาวพนมมือเอ่ยถามด้วยความหมองใจ
“เจ้ากรรมนายเวรของโยมไม่ใช่ภูตผี อีกอย่างเขายังไม่ตายเขาไม่รับบุญกุศลจากโยมหรอก”
“ยังไม่ตาย หมายความว่าไงคะ”
“อาตมาไปยุ่งกับกรรมของแต่ละคนไม่ได้หรอก อีกไม่นานโยมก็จะได้เจอเขาเอง อีกไม่นาน...”
“ยัยฟ้า!!”
“ฮะ! ว่าไง เรียกซะลั่นโรงพยาบาล” เสียงสายธารเพื่อนสาวคนสนิทเอ่ยเรียกทำให้ร่างบางหลุดจากภวังค์ทันที
“ฉันยืนเรียกเธอตั้งหลายรอบ แต่เห็นเธอเอาแต่ยืนเหม่ออยู่นั่นแหละ ไม่สบายหรือเปล่าไปพักก่อนมั้ย” สายธารเอียงคอถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับเอื้อมมือไปอังหน้าผากอีกคนเพื่อตรวจเช็คดูว่าหญิงสาวไม่สบายจริงหรือเปล่า
“ฉันสบายดี แต่ช่วงนี้นอนดึกนิดหน่อยน่ะก็เลยเพลียๆ” ปรายฟ้าบ่ายเบี่ยงก่อนจะหันไปเตรียมยาเพื่อจะนำไปให้คนไข้ในวอร์ดต่อ
“เป็นพยาบาลนี่ลำบากเนอะ เวลาพักผ่อนแทบไม่มี เวลาหาแฟนนี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ อิจฉาเธอจังมีหนุ่มมาให้เลือกตลอดเลย” สายธารเบ้ปากเป็นเชิงหยอกล้อเพราะตนกับเพื่อนสนิทอยู่เป็นโสดมาตั้งแต่เรียนจบ ต่างจากอีกคนที่ไม่เคยคิดที่จะสนใจใครเลยสักครั้งถึงแม้จะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แม้กระทั่งคนไข้เองก็ยังแวะเวียนเอาดอกไม้มาให้ถึงหน้าห้องพัก
“ไร้สาระ ไปๆทำงานได้แล้ว” ปรายฟ้าเปลี่ยนประเด็น ถึงแม้จริงอย่างที่สายธารว่า เธอเองก็อยากจะหาใครสักคนเพื่อพักพิงในยามเหนื่อยล้าสักคน แต่แปลกที่เธอกลับไม่สนใจใครเลยแม้แต่น้อย
“เห้ย แก นั่นหรือเปล่าที่เขาลือกันว่าลูกชาย ผอ. ที่จะมาบริหารโรงพยาบาลคนใหม่อ่ะ”
“ยัง ยังไม่จบ ไปทำงานได้แล้ว” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวตัวดียังไม่ยอมไปทำงานเสียที แต่ถึงกระนั้นสายตาเจ้ากรรมก็ยังมิวายหันไปตามปลายนิ้วชี้ของเพื่อนตัวดีอีกจนได้
เจ้าของร่างสูงในชุดสูทสีดำดูเรียบหรู ใบหน้าข้าวบวกกับคิ้วคมเข้มกำลังเดินตรงไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นห้องประชุมใหญ่ของโรงพยาบาลพร้อมๆกับลูกน้องข้างหลังอีกสองสามคน ไม่แปลกเลยที่เหล่านางพยาบาลทั้งชั้นจะหันมองเขาเป็นตาเดียว *เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่งเลยทีเดียว* ปรายฟ้าได้แต่ยืนคิดเงียบๆเพราะยังคงคิดถึงมารยาทและคุณสมบัติที่สตรีพึงมี ซึ่งต่างจากเพื่อนสนิทอีกคนโดยสิ้นเชิง
“หล่อจังเลยอ่ะแก อนาคตพ่อของลูกฉัน โอ้ย!” สายธารต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่ออีกคนเอื้อมมือมาหยิกตรงต้นแขนเข้าเต็มแรง
“ไปทำงานได้แล้ว!” ร่างบางเอ่ยเสียงเรียบแล้วหันไปเข็นรถเข็นขนาดเล็กเพื่อตรวจความดันและตรวจไข้เหมือนเช่นทุกวันปล่อยให้เพื่อนสาวยืนละเมอเพ้อพกฝันกลางวันต่อไปตรงนั้นคนเดียว
“ผมต้องกล่าวขอบคุณแขกทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้” สิ้นเสียงของ ไกรวุฒิชายวันกลางคนผู้ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผอ.ของโรงพยาบาลแห่งนี้เสียงปรบมือของแขกเหรื่อมากมายก็ดังขึ้นตามมาก่อนที่เจ้าของงานจะกล่าวถึงจุดประสงค์ของงานในวันนี้ให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน “เป็นที่รู้กันว่าตัวกระผมนั้นอายุมากขึ้น สุขภาพก็ย่ำแย่ลงทุกวัน ผมคงไม่สามารถบริหารโรงพยาบาลแห่งนี้ได้อีกต่อไป...ดังนั้นผมจึงขอมอบตำแหน่งหน้าที่นี้ให้กับลูกชายคนเดียวของผม วีรภัทร สัจจะปัญญาสกุล เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลคนต่อไปครับ”
แปะ ๆ ๆ
เสียงปรบมือตามมาอีกระลอกท่ามกลางความปลื้มปีติยินดีของคนที่มาร่วมงานที่จะได้เห็นลูกชายคนเดียวของ ไกรวุฒิ ทายาทโรงพยาบาลชั้นนำแห่งหนึ่งในกรุงเทพหลังจากที่ศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตร์จนจบปริญญาเอกจากต่างประเทศจนตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะมารับตำแหน่งจากผู้เป็นบิดาต่อไป
วีรภัทรค่อยๆก้าวขึ้นเวทีช้าๆก่อนจะยืนเคียงข้างผู้เป็นบิดาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ผมขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับผมในวันนี้ ขอบคุณคุณพ่อที่ให้โอกาสผม...”
“คนอะไรยิ่งมองยิ่งมีเสน่ห์เหลือเกิน พ่อคุณ” สายธารได้แต่ยืนตาละห้อยอยู่หน้าเวทีพร้อมกับเครื่องดื่มสีสันสวยงามในมือ
เสียงบนเวทียังคงดำเนินต่อไปอย่างน่าเบื่อหน่ายในขณะที่ปรายฟ้าและเหล่าหมอรวมถึงพยาบาลแผนกต่างๆทั้งโรงพยาบาลต่างยืนจ้องไปบนเวทีอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนที่พิธีต่างๆบนเวทีจะสิ้นสุดลง พร้อมกับ ว่าที่ผอ.คนใหม่กำลังเดินลงจากเวทีเพื่อจะเดินทักทายและทำความรู้จักกับแขกภายในงาน
“สวัสดีค่ะ ผอ.” เสียงหมอพลอย หมอแผนกศัลกรรมตกแต่งคนสวยเอ่ยทักทายขึ้นเป็นคนแรกในขณะที่สายธารแอบส่งสายตาจิกกัดด้วยความหมั่นไส้
“เรียกผมว่าวี เฉยๆดีกว่าครับ ไหนๆเราก็จะได้ร่วมงานกันแล้วเรียกแบบนั้นผมเขิน” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยวาจาอย่างเป็นมิตรพลางมองไปรอบๆโต๊ะอาหารขนาดย่อมที่มีแต่กลุ่มของหมอและพยาบาลจากโรงพยาบาลเท่านั้น จนสายตาไปสะดุดเข้ากับร่างบางระหงที่นั่งส่งยิ้มให้กับเขาอยู่ตรงมุมสุดของโต๊ะ
เธอไม่ได้สวยสง่าจนเด่นสุดในงานแต่เธอแต่งตัวเรียบหรูและน่ารักมากคนหนึ่งในสายตาเขาเลยทีเดียว ใบหน้าหวานแต่งแต้มเครื่องสำอางสีอ่อนพอดีบวกกับผมสีดำสนิทที่ถูกปล่อยยาวจนถึงกลางหลังมันช่างดูเข้ากับเดรสสีฟ้านั้นเสียจริงจนชายหนุ่มหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาเสียดื้อๆ
“จริงสิ ทุกคนรู้จักผมหมดแล้ว ผมยังไม่รู้จักชื่อทุกคนเลย” วีรภัทรเอ่ยพลางส่งยิ้มไปรอบโต๊ะ จริงๆเขาไม่อยากรู้ชื่อใครเป็นพิเศษหรอกนอกจาก...เธอที่นั่งอยู่ริมสุด
“ปรายฟ้า...” ชายหนุ่มทวนชื่อหญิงสาวเบาๆหลังจากที่เจ้าของชื่อกล่าวแนะนำตัว ริมฝีปากสีชมพูหยักได้รูปยิ้มยกมุมปากอย่างพอใจ...*นี่สินะที่เขาว่า รักแรกพบ*