"ส่งแค่นี้แหละ จากนี้ต้องเดิน...เอารถเข้าไปไม่ได้มีแค่ทางเท้า"
"หือ" ณกรครางฮือ ย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็สงบปากไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น พี่ชายบุญธรรมของเขาคงมีเหตุผลเก็บงำเอาไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงจอดรถตรงทางที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง ไร้ยางมะตอย ไร้คอนกรีตอำนวยความสะดวก
ตะวันเกือบจะโผล่พ้นขอบฟ้าของอีกวันหนึ่งแล้ว แต่ก็นับว่าเร็วกว่าที่คิดเอาไว้หลายชั่วโมง เพราะสถานที่นี้ห่างไกลเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโล
"เอาล่ะแม้ตัวดีเรามาถึงบ้านแล้ว..."
โมรียาเบิกตาโพลง สภาพหล่อนตอนนี้คงดูตลกสิ้นดี เสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกตกแต่งงดงามกระเซอะกระเซิง แม้แต่เครื่องสำอางก็คงหลุดลอกเปรอะเปื้อนน่าเกลียดยิ่งกว่าผีสางนางไม้แถวๆ นี้เสียอีก
ภูมิศิลาแกะผ้าที่ผูกเท้าของหล่อนแต่ยังไม่ปล่อยมือและปาก กันหล่อนกรี๊ดป่าแตก หวั่นสิงสาราสัตว์จะช็อกตายกันราบเป็นหน้ากลอง เขาเป็นฝ่ายลงจากรถก่อน และเปิดประตูอีกด้านลากหล่อนลงมาด้วยอาการโงนเงน คล้ายคนเหนื่อยอ่อนจนแทบจะสิ้นแรง
"อย่าเพิ่งมาตายเอาตอนนี้ล่ะ เรายังต้องเดินทางอีกหลายกิโลกว่าจะถึงหมู่บ้าน" คนพูดยิ้มร้าย
ณกรก็ออกมายืนบิดตัวขับไล่ความเมื่อยขบ พร้อมสูดอากาศยามเช้าท่ามกลางป่าเขาบ้าง แม้มันจะไม่มีกาแฟร้อนๆ ก็ตาม แต่มันก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากอยู่บ้านสวนของตัวเองสักเท่าไหร่
"แน่ใจนะว่าจะให้ส่งแค่นี้จริงๆ มันยังเช้ามืดอยู่เลยอากาศก็หนาวน่าดู..." พูดพลางสายตาก็เหลือบมองร่างระหงของโมรียา ที่ห่อตัวหดเกร็งด้วยความหนาว ช่วงบนของหล่อนเปิดเปลือยไปถึงเนินอกงาม
ภูมิศิลารีบถอดเสื้อตัวนอกคลุมร่างหล่อนไว้ทันที ชิงชังสายตาของ ณกรเหลือเกิน แม้จะเป็นน้องที่รักกันปานจะตายแทนก็เถอะ
"แหม่...มีเมียแล้วโว้ย! รักเมียด้วยบอกเลย" ณกรบอกด้วยน้ำเสียงรู้ทันความคิด
"เสร็จธุระแล้วก็กลับไปหาเมียซะสิ" ได้ทีก็ขับไล่ไสหัวเอาดื้อๆ อีกฝ่ายพยักหน้าเซ็งๆ เขาขับรถทางไกลมาใช่ว่าไม่เหนื่อย อยากจะพักบ้างไรบ้างก็ดันให้หยุดกลางคัน ไม่ยอมให้ไปถึงหมู่บ้านอีก
"โชคดีละกันพี่ชาย...หวังว่านายจะเก็บความลับระหว่างเราไว้เป็นอย่างดีนะ"
"ฉันต่างหากที่ควรจะพูดคำนี้กับแก ออ...ไปพักที่รีสอร์ตก่อนก็ได้ ขับรถทั้งวันทั้งคืนเดี๋ยวจะไปไม่ถึงอกเมีย"
"เออ...ไปล่ะ โชคดีนะเจ๊"
ถ้อยคำล่ำลาระคายหู ยิ่งกระตุ้นให้โมรียาในชุดขาวหน้าตาบึ้งตึงหงิกงอ ก่อนออกรถจากไปณกรยังโยนรองเท้าแตะคู่ใหญ่ลงบนพื้นใกล้ๆ หล่อนด้วย หญิงสาวมองด้วยความชั่งใจก่อนจะเหลือบแลรองเท้าคู่งามที่ตนเองสวมอยู่ พอจะเอาจุดประสงค์ออก...
"ใส่ซะสิ...เราต้องเดินข้ามเขาลูกนี้ไปถึงจะเจอหมูบ้าน" ภูมิศิลาบอก
"จะบ้าเหรอ ฉันใส่ไม่เป็นหรอก รองเท้าอะไรซกมกสิ้นดี" หล่อนแบะปาก เหยียดสายตาอย่างดูแคลน จนร่างใหญ่ต้องเดินถมึงทึงเข้ามา
"นี่...อย่าเข้ามานะ...." ร่างเล็กถอยกรูดแต่เขาดึงผ้าที่ผูกมือไว้ทำให้ก้าวได้เพียงไม่กี่ก้าว
"ใส่ซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะจับหักขาแล้วลากข้ามเขาไป..."
คำขู่จริงจังแฝงความเหี้ยมเกรียมทำให้ขนกายสาวลุกชัน ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ บริเวณที่ความสลัวของฟ้าในยามใกล้สางพอจะส่งให้เห็นว่ารอบๆ เป็นป่าทึบ มีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่ายังพอมีคนผ่านเข้ามา
"ก็ได้...แต่คู่นี้ต้องเอาไปด้วยนะมันแพงมาก" หล่อนจำใจถอดรองเท้าคู่งามดุจรองเท้าแก้วของนางซินในนิทาน แล้วแหย่ปลายเท้ากล้าๆ กลัวๆ สวมใส่รองเท้าแตะ ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาตรฐานเท้าของหล่อนอย่างเห็นได้ชัด
"ใส่เข้าไปเถอะเร็วๆ เข้า รองเท้าไม่ใช่หมามันไม่กัดตีนเธอหรอก"
"หยาบคาย! ลี่กลัวเชื้อโรคต่างหาก ฮึ..." หล่อนสะบัดหน้าขัดใจ แต่ก็รู้ว่าอย่างไรเสียต้องทำตามคำสั่งอยู่ดีจึงกล้ำกลืนฝืนทนทำให้เสร็จๆ ปิดตาดันกระแทกเท้าสวมใส่ทั้งสองข้าง แล้วก้มลงเก็บอีกคู่ที่เพิ่งถอดออกอย่างหวงแหน
"ถือมันให้ด้วย..." แล้วก็ส่งยื่นให้ชายหนุ่มที่อยู่ห่างเพียงคืบ เพราะมือตัวเองถูกมัดแน่นไม่สะดวกแก่การหิ้วหอบในระยะทางไกลๆ
"ออ..." ภูมิศิลาครางอือในลำคอ ยิ้มและคว้าแรงๆ ยกถือด้วยสองมือ แล้วมองเหยียดๆ เฉกเช่นที่หล่อนมองรองเท้าของเขา
"จะเอาไปทำไมของไร้สาระพันนี้ อยากเป็นตัวตลกให้ลิงค่างมันหัวเราะเอารึไง"
"ของไร้สาระ...คู่นี้เกือบแสนนะพี่ภูมิ แล้วจะลากลี่มาทำไม ลำบากลำบนขนาดนี้ พี่ยังสติดีอยู่หรือเปล่า"
"หึ!!!!" สันกรามขบเข้าหากันจนนูนเป็นแนว ของในมือถูกเหวี่ยงโยนเข้าไปในพงหญ้ารกสูงจนเกิดเสียงตกกระแทกเบาๆ แต่ร้าวไปถึงใจเจ้าของทีได้ยิน
"กรี๊ด!! ไอ้! ไอ้!!"
"เงียบ!! ถ้าไม่อยากให้ฉันถอดชุดเจ้าสาวของเธอ โยนทิ้งไปกับรองเท้าคู่นั้น บางที...มันอาจจะอยู่ด้วยกันครบเซตก็ได้ถ้าเธอยังแหกปากเป็นชะนีหิวผัวอยู่แบบนี้!"
"..." โมรียาแทบหยุดเสียงหวีดแหลมของตัวเองไม่ทันเมื่อชายหนุ่มตะคอกใส่ กระไรหนอหล่อนช่างลืมตัวบ่อยนัก ว่าเขาไม่ใช่ภูมิศิลาคนเดิมที่มักจะตามใจไปเสียทุกเรื่อง
"เดินไป...ไปตามทางนั้น..." เขาชี้ด้วยสีหน้าดุดัน สายตาจ้องราวจะกลืนกินด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ผ้าดิบที่ผูกข้อมือกระตุกเดือนให้หล่อนเดินนำหน้าเขาไปก่อน ภูมิศิลาไม่เหลือความไว้ใจใดๆ ในตัวหล่อนอีกแล้ว แม้กระทั่งให้เดินตามหลังเขายังระแวง
"คุณพ่อคุณแม่...ช่วยน้องลี่ด้วย..." เสียงพร่ำรำพันเบาหวิวลงด้วยเกรงจะถูกทัณฑ์อันหนักหนายิ่งกว่านี้ หล่อนพยายามดึงชายกระโปรงชุดเจ้าสาวยาวเฟื้อยขึ้นเหนือเข่า เพื่อความสะดวกในการเดินทางท่ามกลางกิ่งไม้ใบหน้าที่ดารดาษอยู่เบื้องหน้า น้ำค้างยามเช้ามืดในป่าทึบร่วงตกประปราย และมากพอที่จะทำให้ร่างเปียกชื้นหนาวเหน็บ
"เดินเร็วๆ หน่อย ชักช้าเป็นเต่าตายเมื่อไหร่จะถึงล่ะมู่ลี่"
"..." ลมหายใจเหนื่อยหอบเป็นคำตอบแทนคำพูด หล่อนไม่นึกอยากต่อกรใดๆ กับเขาอีกแล้ว เพราะระยะทางที่เดินมาทั้งชันทั้งขรุขระ บ้างก็มีรากไม้ใหญ่กั้นขวางทาง เถาวัลย์โยงรยางค์ กีดกั้นทำให้ขาดความคล่องตัว
"ถ้าไม่ถนัดจะถอดชุดทิ้งไว้แถวนี้ก็ได้นะ ไม่มีใครขโมยหรอก ในป่านี้มีแต่ลิงค่างบ่างชะนี ต่อให้ชุดเป็นร้อยล้านก็ไม่มีค่า"
"ขอพักก่อนได้ไหม...ลี่เหนื่อย" หล่อนกล่าวตามจริง อากาศยามเช้าหนาวเหน็บแต่ทั่วตัวในเวลานี้กลับชื้นไปด้วยเหงื่อปะปนไปกับหยดน้ำค้าง
"อีกไม่กี่กิโลก็ถึงแล้ว...เธอจะได้พักยาวๆ แน่ ไม่ต้องห่วง"
"แต่เจ็บขาไปหมดแล้วนะ ทั้งเมื่อยทั้งปวด" หล่อนยกขาสองข้างสลับกันให้ดูเป็นหลักฐาน เรียวขาขาวปานหยวกของต้นกล้วยถูกปอก บัดนี้มีรอยแดงเป็นริ้วๆ ที่เกิดจากการถูกคมของใบไม้และกิ่งไม้ขีดข่วน ภูมิศิลาชักสีหน้าดวงตาสั่นพร่า แต่ก็ยังข่มใจ
หล่อนไม่ใช่...น้องลี่คนเดิมของเขา อีกต่อไปแล้ว
"อย่าสำออย" ว่าแล้วก็กระดุกเชือกเป็นสัญญาณให้หล่อนเดินต่อไป ดวงอาทิตย์เคลื่อนเลื่อนโผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงรำไรผ่านม่านใบไม้กลางป่าให้พอได้มองเห็นเส้นทางดีกว่าเก่า อาการอ่อนเพลีย เหนื่อย และอ่อนล้ากัดกินจิตวิญญาณของหญิงสาวจนหล่อนแทบจะก้าวขาไม่ออก
หญิงสาวเจ็บแค้นการกระทำของภูมิศิลาไม่แพ้ที่เขารู้สึกต่อหล่อน ชายหนุ่มทำลายอนาคตเธอหมดสิ้นแล้ว ทั้งฐานะทางสังคมและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล วูบหนึ่งเหมือนส่วนดำมืดมันเต้นเร่าด้วยความลิงโลดที่ไม่ต้องเข้าพิธีวิวาห์ แต่หล่อนก็บอกกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม...
หรืออาจเป็นความรู้สึกที่นึกคิดไปเอง ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
"พี่ภูมิ...ลี่ขอร้อง ลี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ..." หล่อนกลืนน้ำลายด้วยความฝืดคอ ใบหน้าที่แต่งเติมอย่างสาวงาม บัดนี้เหมือนผิวที่เปื้อนเครื่องสำอางมากกว่า และฉายแววอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
"ถ้ายังไม่รีบ...ฟ้าสางขึ้นมาพวกสิงสาระสัตว์ก็จะออกหากิน หรือเธออยากเป็นอาหารพวกมันกลางป่า"
"หือ! นี่แน่ะ" หญิงสาวหันขวับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่เหมือนโจรร้าย มือเล็กที่ถูกผูกมันไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ กำทุบไปที่แผงอกเมื่อความโมโหจากอาการเหนื่อยล้าปะทุขึ้น ด้วยสันดานเดิมเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง มันทำให้หล่อนชิงชังยิ่งนักกับการต้องตกเป็นเบี้ยล่างเช่นนี้
"โอ๊ย! ยัยเด็กบ้า! ไม่เข็ดไม่หลาบจริงๆ" ภูมิศิลารวบข้อมืออ่อนแรงนั้นไว้อย่างง่ายดาย พลิกไขว้จนหล่อนหมุนตัวหันหลังให้เขาอัตโนมัติ มือน้อยถูกกดแช่ไว้ตรงสะเอว
"ฮือ...พี่ภูมิ!! ลี่เจ็บ!"
"เจ็บให้ตายไปเลยก็ดีชอบรนหาที่นัก" จากนั้นก็ดันตัวให้หล่อนเดินหน้าอีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้นึกได้ถึงเรี่ยวแรงในการต่อต้านอ่อนยวบลงทันควัน ร่างเล็กทรุดคุกเข่าประหนึ่งเรี่ยวแรงได้หดหายไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบคว้าร่างหล่อนเอาไว้ด้วยความว่องไว
"มู่ลี่!!" เมื่อสัมผัสเต็มตัว เขาก็ได้รับรู้ว่าหญิงสาวหมดสติไปเสียแล้ว ร่างเล็กอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมกอดของเขาในที่สุด
หล่อนเป็นลม...
"น้องลี่..." มือใหญ่ประคองร่างเล็กแล้วแตะปลายคางเบาๆ สองสามครั้งเพื่อเรียกหา แต่ทว่ากับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไรที่โมรียาจะไม่อาจทนต่อความยากลำบากในการเดินทางแบบนี้ เพราะทั้งชีวิตหล่อนอยู่บนความสุขสบายมาตลอด
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพลิกหล่อนแบกไว้ด้านหลังของตัวเอง จับสองมือเรียวงามคล้องคอเอาไว้ และฉีกชายกระโปรงชุดเจ้าสาวให้พอได้เศษผ้ายาวตามต้องการ จากนั้นก็คาดรัดหล่อนติดไว้กับตัวเขา พาเดินทางต่อ
สองเท้าย่ำมั่นไปบนผืนดิน น้ำหนักของโมรียาไม่ได้สะท้านความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย เพราะขนาดร่างกายที่ใหญ่และแข็งแรงกว่า ผนวกกับเป็นคนที่ออกกำลังกายเสมอ ทำงานหนักมากว่าค่อนชีวิต มันทำให้เขาแบกหล่อนเดินทางไกลได้อย่างสบายๆ
ทว่า...เมื่อจังหวะการเดินดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คนข้างหลังก็ค่อยๆ กะพริบตาปรือมองอย่างย่ามใจ...รอยยิ้มร้ายแสยะเหยียดมุมปาก กระหยิ่มในมารยาร้อยเล่ห์ของตน....