"คนนั้นเหรอ...เมียนายภูมิ ขาวๆ ซีดๆ ผอมยังกะผีดิบไม่เห็นสวยเลย"
"เมียจริงๆ หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ นายภูมิแค่สั่งว่า ให้ช่วยสอนงาน อย่าไปอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเจ้านายเขาเลย เขาสั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ" สาวร่างท้วม ที่นั่งปอกกระเทียมใส่ถาดถอนหายใจหน่ายๆ พร้อมเอ่ยเตือนเพื่อน
"ได้ไงล่ะพี่จง...พี่ก็รู้ว่าฉันน่ะรู้สึกยังไงกับนายภูมิ ฉันทั้งรักทั้งภักดีแล้วจู่ๆ ก็มีนางจิ้งจอกจากไหนก็ไม่รู้โผล่มา พี่จะไม่ให้ฉันร้อนใจได้อย่างไร"
"แต่นายภูมิเขาไม่ได้รู้สึกกับเอ็งแบบนั้นเอ็งก็รู้แก่ใจ ทับทิมเอ้ย เฮ้อ..." จงออกปากเตือนอีกครั้ง เบี่ยงหน้าไปมองสาวสวยที่กำลังนั่งอีกฝั่งของโรงครัวซึ่งไกลพอสมควร กำลังตั้งหน้าตั้งตาหั่นผักอย่างขะมักเขม้น แล้วมองหน้าคู่สนทนา
"ตอนนี้ไม่รู้สึก อีกหน่อย...ใครจะไปรู้ นายภูมิจะต้องเห็นค่าความรักที่ฉันมีให้เข้าสักวันแหละ หากไม่มีมารผจญ" ทับทิม...สาวเปรี้ยวหุ่นอวบอัดได้รู้ยังไม่ยอมลดละ หล่อนขัดใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นมารหัวใจเพิ่มขึ้นมาอีกคน แถมยังรู้สึกถึงกลิ่นสาบแห่งความพ่ายแพ้ เมื่อได้รู้ว่าผู้ชายที่ตัวเองหลงรักมาหลายปีนั้น พาหญิงสาวผู้นั้น...มาใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยา
"งั้นก็แล้วแต่เอ็ง...ข้าก็จนปัญญาจะเตือน..." จงตัดสินใจหยุดการสนทนาที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับรู้และนำไปพิจารณาคิดให้ถี่ถ้วนถึงการทำตัวให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง
"จัดงานใหญ่ประจำปีปีนี้...ฉันกลัวนายพาเอาแม่นี่เปิดตัวว่าเป็นเมียเสียจริงๆ เลย" ทับทิมยังไม่ยอมหยุด หล่อนสับสนใจและกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง หล่อนมองหน้าจง เพื่อนรุ่นพี่ แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นความเงียบงัน กระเทียมที่กำลังปอกอยู่ในมือถูกวางลง ร่างระหงจึงพลันลุกยืนกำมือแน่นแล้วเดินเข้าหาปฏิปักษ์หัวใจ
"ทับทิม...ใจเย็นๆ นะเว้ย..."
"พี่ไม่ต้องห้าม ฉันจะคุยกับมันให้รู้เรื่อง" ทับทิมเป็นสาวสวยใจร้อน หล่อนมักวางท่าทีหึงหวงภูมิศิลาอยู่เสมอ หากมีหญิงสาวคนใดเฉียดเข้าใกล้ชายหนุ่ม เป็นที่รู้กันทั่ว แต่ก็ไม่ได้มีใครใส่ใจมากมายเพราะรู้ว่าตัวภูมิศิลานั้นไม่ได้สนใจไยดีสาวเจ้า ไปมากกว่าคนงานคนหนึ่ง
แต่ทับทิม...ไม่เคยละความพยายาม
"เธอ..."
โมรียาแหงนหน้ามองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ด้านหน้าของหล่อน แล้วมองด้วยสายตาหมิ่นๆ สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ทับทิมยิ่งร้อนเร่าไปกับสายตาดูถูกดูแคลนนั้น
"มองคนแบบนี้สูงส่งนักเหรอเธอน่ะ"
"แล้วเธอเป็นใคร...จู่ๆ มาทำหน้าทำตาเหมือนหาผู้ชายไม่ได้ยืนค้ำหัวฉันไม่ได้อยู่แบบนี้" หญิงสาววางผักกะหล่ำในมือลง แล้วถือมีดยืนขึ้นประจันหน้ากับทับทิมทันที บังอรที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ลุกขึ้นด้วยเมื่อเห็นท่าไม่ดี
"อีบังอร อีปัญญาอ่อนมึงหลบไป" ทับทิมหันมองแล้วตะเพิดใส่บังอร จนเด็กสาวหน้าซีดเผือด
"ถ่อยสถุลที่สุด...ป่วยเหรอเธอน่ะ เป็นอะไรมากไหมคนนั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็มาหาเรื่อง" โมรียาหันมองหน้าบังอรแล้วก็ให้นึกสาร แม้โดยส่วนตัวจะรำคาญใจกับเด็กสาวอยู่ไม่น้อย แต่บังอรก็ดีกับหล่อนมาก คอยรองรับอารมณ์ คอยดูแลหล่อนได้ทุกอย่าง
"หืม! แกกล้ามากนะที่มาว่าฉันปาวๆ ขนาดนี้ อย่านึกว่านายเป็นคนพามาแล้วจะทำตัวกร่างไม่เคารพคนอื่นที่เขาทำงานอยู่ที่นี่ก่อนแกได้นะ"
"อ้อ...เหรอ...แล้วฉันจำเป็นต้องเคารพขี้ข้าอย่างหล่อนงั้นสิ" โมรียาฉะกลับด้วยวาจาเผ็ดร้อนไม่ต่างกัน แต่ความนิ่งรวมถึงการแสดงสีหน้านั้นหล่อนควบคุมสติได้ดีกว่าทับทิมเป็นหลายเท่าตัว แม่ครัวและคนงานอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์เริ่มล้อมลงกันเข้ามาห้ามปราม
"ทับทิม หยุดเถอะ..."
"ไม่!...ดูคำพูดคำจาของมันสิแบบนี้มันน่าตบล้างน้ำนัก!!"
"เฮ้ย! อย่านะอย่า ทำไมได้นะ นายภูมิหวงมาก ทำคุณมู่ลี่นายภูมิเอาตาย" บังอรแม้จะกลัว แต่เมื่อนายสาวของตนเองถูกระรานไม่รามือก็ย่อมที่จะยอมไม่ได้ จึงเข้าไปขวางระหว่างกลางเอาไว้
"อีเด็กเวร!" ปราการด่านหน้าถูกฝ่ามือตวัดตบเข้าที่ใบหน้าเต็มๆ บังอรเซหน้าหัน โมรียาก็ตกใจที่เหตุการณ์มันรุนแรงถึงขั้นนี้ ทั้งที่หล่อนไม่รู้ที่ไปที่มาด้วยซ้ำ
"อีทับทิมมึงจะมากไปไหม ฟุ้งซ่านเป็นบ้าไม่เข้าเรื่อง งานการไม่ทำเดี๋ยวก็โดนดีกันหรอก" คนงานหญิงคนหนึ่งรีบเข้าไปพยุงดึงทับทิมออกมาเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังปรี่เข้าไปหมายทำร้ายโมรียาอีกคน
"ปล่อยนะป้า! ฉันจะสั่งสอนมันว่าอย่ามาทำกร่างที่นี่! อีกอย่างหน้าตาแบบนี้เขาเรียกผู้หญิงหากิน สวยแต่รูปเพราะต้องขายรูปขายตัวหาเงิน อย่าหวังเลยว่านายภูมิจะเอาจริงจัง ทำมาเป็นผยองขี้คร้านอีกหน่อยจะถูกเขี่ยให้ไปขัดส้วมท้ายไร่!!!"
โครม!!! "ว้าย!!!" เสียงหวีดร้องของทับทิมและคนงานอื่นๆ ดังเกรียวกราวเมื่อถาดที่ใช้ใส่ผักกะหล่ำสำหรับทำแกงให้คนงานในไร่รับประทานเป็นมื้อกลางวัน รวมถึงเขียงถูกโมรียาจับขว้างใส่ไม่สนใจหน้าอินหน้าพรหม เศษผักกระจัดกระจายไปทั่ว ถาดร่อนโดนแม่ครัวแล้วตกลงพื้นเสียงดัง ส่วนเขียงนั้นโดนเข้าที่ศีรษะทับทิมเต็มๆ โชคดีที่ขนาดของเขียงไม่ใช่อันใหญ่นัก
"โอ๊ย!! เจ็บ อีบ้า!!"
"มึงพอเลยทับทิม พอแล้ว!!! จะพักเที่ยงแล้วเดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดี คนงานอื่นอีกเป็นพันๆ จะต้องมาอดเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้มันควรแล้วเหรอ มึงไปเลย ออกไปสงบสติอารมณ์ซะไม่อย่างนั้นก็จะบอกให้นายลากหัวมึงออกไปจากไร่"
"ป้าแผ้ว!! จะมาว่าฉันคนเดียวได้ยังไง"
"ยัง...ยังไม่หยุดอีก ก็มึงเป็นคนหาเรื่องก่อนไม่ใช่เหรอ คนอื่นกูเห็นเขาก็ทำงานกันอยู่ดีๆ"
"แต่!!!" ทับทิมเอามือกุมศีรษะที่ปูดบวม หน้าตาบูดบึ้งเอาดีไม่ได้ ท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆ ที่มองหล่อนอย่างเอือมระอา
"ไป! กูบอกให้ออกไปไง" ป้าแผ้วยกมือเท้าสะเอวอวบอัด ยืนจ้องเขม็งออกปากไล่เสียงดัง แกจ้องตาเขียว จนทับทิมกระฟัดกระเฟียดออกจากโรงครัวไปไกลลิบๆ
"เฮ้อ!! ให้มันได้อย่างนี้สิ ขอโทษด้วยนะคะคุณมู่ลี่ อีนี่มันก็เป็นบ้าเป็นบออยู่แบบนี้แหละค่ะ อย่าไปถือมันเลย"
"แล้วมันเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องมารับรู้รับทราบ ยอมรับการกระทำพวกนี้ด้วยล่ะ ในเมื่อฉันเองก็ไม่ได้อยากมาเหยียบที่นี่นัก!" โมรียาฉุนจัด หล่อนไม่คิดว่าการถูกลักพาตัวมาที่นี่ จะต้องมาทนต่ออารมณ์ใครอีกนอกจากภูมิศิลา ซึ่งมันก็มากพอแล้วสำหรับความอดทนของหล่อน
"แต่เธอต้องทน!! และอยู่ที่นี่ให้ได้" เสียงทุ้มใหญ่สวนกลับในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด โมรียาจ้องเขม็งด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง หล่อนไม่ได้เป็นคนผิดเสียหน่อย
"ฉันก็อยู่แล้วนี่ไง!! จะเอายังไงอีก อย่าปล่อยให้คนของคุณเที่ยวเพ่นพ่านมากัด
ฉันแบบนี้สิ" หล่อนเถียงจนทุกคนรอบๆ ด้านมองตากันเลิ่กลั่ก
ไม่บ่อย...และมีไม่กี่คนหรอกที่กล้าต่อปากต่อคำเช่นนี้กับภูมิศิลา คนเหล่านั้นก็มักไม่ได้ยืนอยู่บนแผ่นดินอย่างปกติสุขหลังจากนั้นทันที
"เธอก็ต้องอดทน!! ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นให้ได้ จะได้รู้ว่าการใช้ชีวิตจริงๆ มันเป็นยังไง ไม่ใช่ทำตัวกร่างมองไม่เห็นหัวใครเหมือนที่ผ่านๆ มา"
"มันจะมากไปไหม!" หญิงสาวโต้กลับ หายใจหอบใบหน้าแดงก่ำ ตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่หล่อนก็เจอแต่ความเลวร้าย นับวันก็ยิ่งเถื่อนถ่อยเข้าไปทุกที
"ไม่มีคำว่ามากไป...สำหรับคนอย่างเธอ! ป้าแผ้ว ผมฝากสอนงานให้มู่ลี่ด้วยนะครับ มีปัญหาอะไรป้าก็ให้คนไปบอกผมได้ทันที ผมจะจัดการเอง"
"ค่ะ...ค่ะนายภูมิ" ป้าแผ้วรับปาก ถอนหายใจ อย่างผู้ใหญ่ที่ล่วงรู้ความเป็นไปโดยใช้เพียงสัญชาตญาณ ภูมิศิลาเดินเข้ามาสำรวจความเสียหาย สีหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยหนวดเคราของเขาแม้จะมองไม่เห็นถ่องแท้ แต่ก็เดาได้เลยว่าไม่มีความพึงพอใจอยู่เลย
"จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย...ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่มีคุณค่าในเมื่อเธอทำมันเสียหายก็ต้องชดใช้ วันนี้และคืนนี้เธอต้องทำงานในครัว ทำความสะอาดและช่วยป้าแผ้วเตรียมของสำหรับทำอาหารเช้าให้คนงานในวันพรุ่งนี้ด้วย ไม่อย่างนั้น...ก็ไม่ต้องกิน...ไม่ต้องนอน"
"นี่!! แล้วยัยแม่วัวตกมันนั่นล่ะ ยัยนั่นเป็นคนเริ่มก่อนก็ควรได้รับโทษเหมือนกันไม่ใช่เหรอ"
"คนของฉัน...ฉันจัดการเองได้ ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่"
"..." โมรียาลับเลียริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ เป็นครั้งแรกที่ถูกทำให้อับอายได้ขนาดนี้ ในสมองอันเดือดดาลของหล่อนพร่ำคิดทุกอย่างที่ทำให้เขาหายไปจากโลกนี้เสียที
"ลืมมันซะโมรียา...ว่าเธอเคยเป็นใครมาจากไหน เพราะนับจากนี้ไปมันไม่มีอะไรเหมือนเดิมสำหรับเธออีกแล้ว" พูดประโยคนั้นจบ ภูมิศิลาก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ทุกคนเริ่มกระจายกันทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์เป็นปกติ
"เดี๋ยวบังอรช่วยเองค่ะคุณมู่ลี่ คุณมู่ลี่ไปนั่งพักก่อนนะคะ" บังอรเดินเข้ามาขันอาสาด้วยสีหน้าละห้อย ก้มลงเก็บกวาดข้างของที่เทกระจัดกระจายด้วยท่าทีลนลาน ซึ่งดูไม่ได้ดั่งใจของโมรียานัก
"ไม่ต้องมายุ่ง! ออกไปไกลๆ เลยไป ฉันจัดการเอง ได้ไม่ได้เป็นง่อย" หล่อนตะคอกใส่เด็กสาว แล้วดึงเอาถาดในมือมากอบโกยเศษผักที่หล่นเกลื่อนพื้นนั้นเสียเอง ด้วยท่าทีกระแทกกระทั้น บังอรหน้าซีด ได้แต่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่กล้ายื่นมือเสนอความช่วยเหลืออะไรอีก
"อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงประจำปีในไร่...ป้าบอกคุณไว้ก่อนคุณจะได้เตรียมตัว เพราะเราคงต้องเหนื่อยกันมากๆ แน่นอน มันเป็นแบบนี้ทุกปีล่ะ"
"อืม..." หล่อนครางฮือในลำคอรับรู้ แต่ไม่มองหน้าคนพูดซึ่งเป็นอาวุโสกว่าหลายสิบปีด้วยซ้ำ ป้าแผ้วได้แต่ส่ายหน้าแต่ไม่คิดถือสาหาความ ด้วยดูจากลักษณะภายนอกแล้วก็พอจะดูออกว่า โมรียาเป็นลูกคุณหนูคุณนาย มาจากครอบครัวที่เพียบพร้อมอย่างแน่นอน
และบางอย่างก็เป็นสัญญาณเตือนกับนางว่า...ไร่แห่งนี้คงไม่สุขสงบเหมือนที่ผ่านแน่แล้ว ความวุ่นวายมันคุกรุ่นอยู่เนืองๆ ใจก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้มีอะไรร้ายแรง ถึงขั้นที่ภูมิศิลาต้องลงมือ มีปัญหาบานปลายเหมือนที่เคยผ่านมาเมื่อหลายปีก่อนอีกเลย....