บท 8 สงบศึกชั่วคราว?

3405 คำ
Rachan Part หนึ่งสัปดาห์ต่อมา @ห้องพักราชันย์ โรงแรมชาลิดา "เมื่อไหร่ผมจะได้ออกไปข้างนอกบ้าง อยู่แต่ในห้องจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว" เสียงผมโวยวายลงไปกับโทรศัพท์มือถือขณะที่กำลังคุยกับพี่โรสผู้จัดการวงที่ดูแลพวกผมอยู่อย่างหงุดหงิดและกำลังจะบ้าถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการในเวลานี้ (มีงานเมื่อไหร่พี่จะแจ้งไปนะ) เสียงเรียบนิ่งของพี่โรสที่ไม่สนใจในคำถามที่ผมเอ่ยไป พร้อมกับบอกออกมาเพียงประโยคสั้นๆแบบนี้ทุกครั้งที่ผมเอ่ยถาม เหมือนไม่ได้ยินในคำถามที่ผมถามไปเลยสักนิด "พี่โรส ผมถามว่า เมื่อไหร่ผมจะได้ออกไปข้างนอกบ้าง" ผมถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเมินเฉยต่อคำถามของผม (แค่นี้ก่อนนะ พี่ต้องดูชิน ตุลย์ ควินน์ ถ่ายปกต่อ) แล้วเสียงของพี่โรสก็หายไปก่อนจะตัดสาย "โถ่เว้ย!" ผมเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือลงบนโซฟาด้วยความโมโห ก่อนนั่งลงอย่างเซ็งๆ "หึ ไม่ให้ออกไปไหนใช่มั้ย งั้นก็หาอะไรสนุกๆทำในนี้ก็ได้วะ" แล้วใบหน้าของยัยชาเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้วก่อนที่พาตัวเองออกไปจากห้องพักเพื่อตรงไปยังที่ที่ทำให้ผมเกิดความสนุกแก้เครียดกับการถูกกักตัวยังกับนักโทษ ตั้งแต่ในวันที่ทางบริษัทจัดแถลงข่าว ซึ่งมันเป็นข่าวของผมกับพนักงานโรงแรมสาวที่ถูกถ่ายภาพตรงหน้าห้องพักของผม ซึ่งพนักงานโรงแรมคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน ยัยชาเย็น ยัยขั้วโลกเหนือ ยัยผีดิบ ที่ถูกผมจูบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว และผมก็ถูกยัยนั่นทำร้ายร่างกายไม่รู้ไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเหมือนกัน ยัยนี่นอกจากหน้านิ่งแล้วยังแรงควายอีก และเพราะการแถลงข่าวในวันนั้นทำให้ผมถูกแม่จำกัดอาณาเขตพื้นที่ให้อยู่ในวงจำกัดชนิดแบบสายฟ้าฟาด แบบผ่าลงกลางหัวผมเลยก็ว่าได้ และตั้งแต่วันนั้นผมก็ดูเหมือนเป็นนักโทษของแม่ทันที ทำไมผมถึงพูดแบบนั้นหนะเหรอ พอเมื่อผมแถลงข่าวจบ เช้าวันต่อมาก็มีบอดี้การ์ดลูกน้องของแม่ผมมาคอยตามเฝ้าผมถึงสี่คนเลยทีเดียว ทำเอาผมกระดิกตัวไปไหนก็ไม่ได้ แถมเจ้าพวกนั้นก็ไม่ยอมให้ผมได้ออกไปไหนไกลจากโรงแรมด้วย ถ้าหากไม่ได้มีคำสั่งจากแม่ของผมและผู้จัดการวงของผม ทำเอาผมแทบอยากบ้าที่ต้องอยู่แต่ในห้องพักและไปได้ไกลสุดก็แค่สนามหญ้าหน้าโรงแรมเท่านั้น ส่วนเรื่องของผมกับพนักงานโรงแรมสาวหรือที่ทุกคนรู้ภายหลังว่าเธอเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ที่เป็นข่าวด้วยกันกับผมนั้น ความสัมพันธ์ของเราหนะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันดีมากน้อยแค่ไหน เรียกได้ว่า เจอกันเมื่อไหร่ก็ปะทะคารมพ่นไฟใส่กันทุกครั้ง แล้วผมก็มักจะชอบแกล้งเธอซะด้วย เห็นทีไรก็อดที่จะเข้าไปกัด เอ๊ย เข้าไปแซว ตามประสาคนที่รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งอีกนิดเดียวก็จะแทบสอดใส่กันอยู่แล้วถ้ายัยตัวดีไม่รู้ตัวไปซะก่อนในแต่ละครั้งที่เราสองคนมีปากเสียงกัน ในแต่ละครั้งที่ผมพยายามแกล้งหาเรื่องแหย่เธอ มันมักจะจบลงด้วยการลงไม้ลงมือเสมอ ซึ่งมันทำให้ผมค่อยๆพัฒนาฝีมือการเข้าหาเธอโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวก็ว่าได้ และมันเหมือนเป็นความเคยชินที่ผมต้องหาเรื่องทุกครั้งเมื่อเจอเธอ ถ้าวันไหนไม่ได้เจอหรือหาเรื่องให้ได้ยินเสียงบ่น หรือเสียงด่า วันนั้นผมจะนอนหลับไม่สนิทเลยก็ว่าได้ ฟังๆดูเหมือนตัวเองเข้าขั้นโรคจิตเข้าไปทุกที เวลาต่อมา @ล็อบบี้ โรงแรมชาลิดา "สวัสดีค่ะคุณคิง มีอะไรให้ทางโรงแรมรับใช้คะ" พนักงานโรงแรมแผนกต้อนรับเอ่ยถามผมอย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้มที่ดูจะอ่อยผมเบอร์แรงพอสมควร ทำให้ผมที่พยายามมองหายัยชาเย็นต้องหันมาหาคำตอบให้คนตรงหน้าด้วยความเกรงใจและยิ้มตอบกลับไปตามมารยาทที่ดีที่ผมถูกสอนมาว่าอย่าทำให้ผู้หญิงรู้สึกเสียหน้าเวลาที่เธออ่อย "คือ..ผม" แล้วสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นยัยชาเย็นเดินมาพอดี เอาหละ ผมหาอะไรทำแก้เบื่อได้แล้วหละ "นาย!" สีหน้าที่ตกใจอย่างเห็นได้ชัดของเธอเมื่อเห็นหน้าผม ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาจากที่หงุดหงิดจนแทบบ้าที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วความคิดแผลงๆของผมก็ผุดขึ้นมาในหัวในเวลาต่อมาทันทีเมื่อยัยชาเย็นเดินมาล็อบบี้จุดประชาสัมพันธ์ "สวัสดีครับคุณพนักงานโรงแรมคนสวย" ผมเอ่ยทักทายด้วยคำพูดสุภาพพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยน จนทำให้พนักงานโรงแรมที่ยืนอยู่หน้าเค้าเตอร์หน้าแดงเขินแทนยัยชาเย็น ส่วนยัยนี่หนะเหรอผมว่าตายด้านกับความรู้สึกพวกนั้นไปแล้วมั้ง เจอกันกี่ครั้งไม่ทำหน้ายักษ์ใส่ผม หรือไม่ก็ทำหน้าเย็นชาใส่ผมเหมือนขั้วโลกเหนือ "มีอะไรให้ทางโรงแรมรับใช้คะ..คุณคิง.." ประโยคสุดท้ายที่เว้นไว้แล้วขยับปากเป็นคำพูดที่ไม่ออกเสียงให้ผมได้เห็นว่าคำสุดท้ายนั้นเธอพูดว่าอะไร หน้าหื่น ประโยคสุดท้ายที่เธอเอ่ยก่อนจะเงียบลงพร้อมรอยยิ้มการค้าที่เธอชอบทำประจำเวลาเจอแขกที่เข้ามาพัก "พอดีห้องผม..ห้องน้ำเหมือนมีปัญหาครับ" ผมพูดออกมาแต่หันหน้าไปหาพนักงานโรงแรมตรงเค้าเตอร์ด้วยสายตาเจ้าชู้ตามสไตล์ของผม โดยทำเหมือนกับว่าไม่มียัยชาเย็นอยู่ตรงนั้น "เอ่อ.." พนักงานโรงแรมสาวคนดังกล่าวหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจอน้ำเสียงและสายตาแบบนั้นของผม แต่เธอก็เหลือบไปมองยัยชาเย็นที่ยืนอยู่ด้านหลังผมอย่างเกรงใจ จนสุดท้ายยัยนั่นก็เอ่ยขึ้นมาตามแผนที่ผมวางกับดักไว้ "พี่รินคะ เดี๋ยวน้ำชาไปดูเอง" ยัยตัวแสบพูดขึ้นมาด้านหลังผม จากน้ำเสียงก็ฟังออกว่าไม่ค่อยพอใจกับคำบอกกล่าวและการแสดงออกของผมมากพอสมควร แต่ใครสน ผมต้องการให้ยัยนั่นเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว "เชิญค่ะ คุณคิง" "แต่ที่จริงให้คุณ..คุณอะไรนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมฟังไม่ชัด" ผมยังกวนประสาทคนตัวเล็กโดยไม่สนใจมองและคุยกับเธอ สายตาของผมยังจดจ้องกับพนักงานโรงแรมสาวตรงหน้าเค้าเตอร์ "นี่.." "ครับ" "ไปดีๆหรืออยากเจ็บก่อนไป" ตัวแค่นี้แต่ขู่เก่งชะมัด เห็นว่าเป็นนักกีฬาเทควันโดสายดำหรอกนะเลยยอม "คุณก็นำไปสิ โรงแรมคุณไม่ใช่ของผม อีกอย่างผมก็แขกที่มาพัก" ผมเน้นเสียงสุดท้ายให้เธอรู้ว่ากำลังลืมตัวกับผมอยู่ สถานะเธอตอนนี้เป็นนักศึกษาฝึกงานไม่ควรเบ่งกับผมมาก "ค่ะ เชิญคุณลูกค้าตามดิฉันมาทางนี้นะคะนะคะ" รอยยิ้มการค้าที่พยายามซ่อนความโหดร้ายไว้กับรอยยิ้มนั้น พร้อมกับน้ำเสียงที่กัดฟันเปล่งออกมาให้ดูอ่อนหวาน แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น อาการเหล่านั้นที่คนตรงหน้าแสดงออกมาให้ผมเห็น ทำให้ผมแน่ใจเลยว่าตัวผมจะต้องเจอกับอะไรบ้างเมื่อถึงห้องพักของตัวเอง ถ้าหากเธอรู้ว่าผมโกหกกับเรื่องที่บอกไป ซึ่งผมพร้อมรับมือมันอยู่แล้ว รอบนี้ผมต้องจัดการกับยัยชาเย็นให้เป็นลูกแมวเชื่องให้ได้ รู้จักผมน้อยไปซะแล้ว ที่ผ่านมาผมอ่อนข้อให้เท่านั้นหละ แต่หลังจากนี้ที่ยัยชาเย็นจะต้องเจอมันคือของจริงที่ผู้ชายทุกคนจะแสดงออกมา เวลาต่อมา @ห้องพักราชันย์ โรงแรมชาลิดา "ไหนคะ มันมีปัญหาตรงไหน" ยัยชาเย็นเดินตรงดิ่งเข้าไปยังห้องน้ำทันทีพร้อมกับมองไปรอบๆ โดยที่ผมเดินตามเข้ามาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ ยิ่งทำให้เธอมีสีหน้าไม่พอใจหนักอย่างไม่เก็บอาการเมื่ออยู่เพียงลำพังกันสองต่อสอง "ก๊อกน้ำ" ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วยัยตัวเล็กก็เดินดิ่งไปยังสิ่งที่ผมบอกทันที พร้อมกับเปิดมันออกมาเพื่อเช็คว่ามันมีปัญหาตรงไหน "ก็ใช้ได้ปกตินี่คะ" ยัยชาเย็นหันหน้ามาบอกผมหลังจากที่เปิดก๊อกน้ำให้มันไหลไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่ามันมีปัญหาตรงไหน โดยที่ผมยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้หรือเรียกง่ายๆว่า ทำหน้ามึน ใส่เธอนั่นแหละ "อ้าวเหรอ ใช้ได้แล้วเหรอ" "นี่คุณ!" "ครับ" "จงใจแกล้งกันเหรอ" "แกล้ง? ผมจะแกล้งอะไรคุณ ก็มันใช้ไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีปัญหาผมจะเดินไปบอกทำไม" "แต่มันไม่มีปัญหาอะไรเลยหนิ ปัญญาอ่อนหรือไง หรือถูกจำกัดพื้นที่จนฟุ้งซ่านเลยหาเรื่องป่วนกันไม่เลิก" "คุณนักศึกษาฝึกงานครับ ถ้าผมจะแกล้งคุณ ผมจะเดินไปตรงประชาสัมพันธ์ทำไม อีกอย่าง ผมบอกพนักงานอีกคนที่ไม่ใช่คุณ แต่เป็นคุณเองไม่ใช่เหรอที่เสนอตัวมาเองนะครับ" คำพูดของผมทำให้เธอชะงักไปอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังพลาด แล้วสีหน้าที่โกรธจัดก็ตามมาติดๆ "ตอนนี้ห้องพักของนาย..คุณ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว งั้น ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ" ยัยชาเย็นที่เห็นสีหน้าแสยะยิ้มที่ผมแสดงออกมายิ่งทำให้น้ำเสียงที่เธอเปล่งออกมาเริ่มคุมโทนเสียงไม่อยู่ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นแขกที่มาพัก หรือซุปเปอร์สตาร์ดัง เธอคงกระโจนใส่ผมแล้วจับผมทุ่มลงพื้นแล้วมั้ง แต่ก็มีหลายครั้งอยู่นะที่เธอเคยทำแบบนั้นกับอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออุบัติเหตุ "เดินออกไปง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ" ผมพูดขึ้นมาลอยๆทำให้คนที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องพักของผมหันหน้ากลับมาผมทันทีด้วยสีหน้าเอาเรื่องพอสมควร "แล้วนาย..คุณต้องการอะไรอีก" น้ำเสียงและสีหน้าของเธอ ทำให้ผมเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาจากเบื่อๆเซ็งๆ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าการได้กวนประสาทเธอแล้วผมมีความสุขยังไงก็ไม่รู้ ความสุขแบบ.... "อืมม ผมเบื่อ" ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแบบไม่ได้กวนประสาทเธอ "แล้วไง" "อยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยสิ" ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติแบบไม่ได้กวนอารมณ์ของเธอจากตอนแรก ความรู้สึกของผมตอนนี้ ผมอยากมีใครสักคนคุยด้วยจากที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นที่ไม่ชอบหน้ากันก็ตาม แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเหมือนคนที่ถูกลืม แล้วอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ "ห๊ะ" คำอุทานที่บ่งบอกว่าตกใจในคำพูดและน้ำเสียงของผมที่พูดกับเธอแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด แล้วสีหน้าที่ตกใจจนผมรู้สึกว่าทำไมเธอต้องมีอาการโอเวอร์แอคติ้งขนาดนั้นด้วย "คุณจะตกใจอะไรขนาดนั้น" ผมเอ่ยถามคนตัวเล็กที่ยังทำหน้าตกใจและดูเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอกออกไป "อย่างนายนี่นะขอให้ฉันอยู่เป็นเพื่อน หัวไปกระแทกอะไรมา แล้วสมองกระทบกระเทือนหรือเปล่า" คนตัวเล็กตรงหน้าผมยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมพูดแล้วสีหน้า "เลิกงานหรือยัง" "อันที่จริงก็เลิกงานแล้วหละ กำลังจะเปลี่ยนชุดกลับบ้านแล้ว ถ้านายไม่มาป่วนอย่างนี้" "งั้นอยู่เป็นเพื่อนหน่อยสิ" "มีอะไรหรือเปล่า อยู่ๆมาขอให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนนี่นะ" "ก็บอกไปแล้วไงว่าเบื่อ" "เบื่อหรือเหงาเอาดีๆ ได้ข่าวว่าโดนกักบริเวณไม่ได้ออกไปไหนเลยหนิ ตอนนี้คุยกับผนังห้องไปยัง" "คุณนี่นอกจากสวยแล้วยังตลกอีกนะ" "ตกลงนายจะเอายังไงกันแน่ นี่ก็ไม่ใช่เวลางานของฉันแล้ว" "กินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย" "นี่คือคำพูดขอร้อง" "อืมม อยู่เป็นเพื่อนหน่อย" "นายจะไม่ทำอะไรฉันใช่มั้ย" "เอาแบบนี้ เราสงบศึกกันชั่วคราว" ผมยื่นมือไปหาคนตัวเล็กที่ยังมองหน้าผมอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าวันนี้ผมจะมาแนวนี้กับเธอ "นายไม่คิดจะทำอะไรฉันจริงๆนะ" "วันนี้ไม่มีรมณ์แกล้งแล้ว ตกลงมั้ย สงบศึกกันชั่วคราว" ผมเอ่ยย้ำกับคนตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนคนตัวเล็กยอมยื่นมือมาจับมือผมอย่างยอมรับข้อตกลงที่ผมเอ่ยออกไป "อืมม ถ้านายไม่แกล้งฉัน และไม่รังแกฉัน ฉันก็จะอยู่เป็นเพื่อนนายก็ได้" "รังแก? ผมรังแกคุณตรงไหน มีแต่ผมที่โดนคุณจับทุ่มตลอด" "นี่!" "โอเคๆ อย่าทะเลาะกันดีกว่า ผมยอมคุณแล้ว คุณอยากทานอะไร" "คุณจะสั่งให้ทางโรงแรมฉันเหรอ" "เปล่า จะให้บอดี้การ์ดของแม่ผมไปซื้อมาให้" "คุณชายจังเลยนะ" "ก็ผมโดนจำกัดบริเวณ มีทางเดียวที่ทำให้เราได้กินอาหารอร่อยตามที่อยากกินนะ ว่าไง คุณอยากกินอะไร เดี๋ยวผมให้คนของผมไปซื้อมาให้" "อะไรก็ได้อะเหรอ" "ก็ถ้ามันไม่แปลกประหลาด และหาซื้อได้ไม่ไกลจากโรงแรมมากนักเพราะตอนนี้ผมหิวมากแล้ว คุณอยากกินอะไร" "เอาฟัวกรา" คนตัวเล็กบอกกับผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับยิ้มบางๆให้ผม "ฟัวกรา?" "ไม่รู้จักเหรอ" (ฟัวกรา (Foie Gras) หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘ตับห่าน/เป็ด’ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่หรูหราและเลิศรสมากๆ เมนูที่ขึ้นชื่อนี้มาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ฟัวกราของที่นี่มีความพิเศษมาก และจะเสิร์ฟพร้อมกับ “magret de canard” (ส่วนอกของเป็ด) และ “confit de canard” (เป็ดกงฟีย์)) "รู้จัก แล้วแถวนี้หาซื้อตรงไหน" "ร้านอาหารฝรั่งเศสที่ใกล้ที่สุดก็ตรงถนนวิทยุ ร้านนี้ได้มิชลินสตาร์ปี 2019 เลยนะ อาหารอร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะฟัวกราอร่อยมาก" "กินยากไปปะคุณ" "แล้วจะถามทำไมว่าอยากทานอะไร" "ก็เห็นหน้าตาไม่คิดว่าจะเรื่องมาก กินยากขนาดนี้" "นี่!" "ขออะไรที่มันง่ายๆแล้วได้เร็วๆได้ปะ" "อาหารโรงแรม จบปะ" "เบื่อ กินทุกมื้อแล้ว" "อาหารที่นี่ไม่ได้มีเมนูเดียวนะคะคุณซุปเปอร์สตาร์ดัง อาหารโรงแรมเรามีเป็นร้อยเมนู คุณโดนกักบริเวณแค่เจ็ดวัน คุณทานครบทุกเมนูแล้วหรือไง อย่างคุณนะฉันประเมินได้เลย แต่ละมื้อคุณทานได้มากสุดแค่สามเมนูต่อมื้อ เจ็ดวันอย่างมากคุณก็ทานไปได้แค่ 21 เมนูเท่านั้นถ้าคุณไม่สั่งซ้ำเมนูเดิมๆเลยสักมื้อเดียว ใช้คำว่า ทานทุกมื้อ แล้วบอกว่าเบื่อ มันไม่ใช่อาหารโรงแรมเราแล้วหละที่ทำให้คุณเบื่อ คุณ...." "โอเค คุณจะกินฟัวกราใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมสั่งให้คนไปซื้อมาให้คุณกินนะ" ผมรีบชิงบอกเพื่อตัดปัญหาก่อนที่จากตกลงว่าสงบศึกกันจะเป็นการเปิดศึกใหม่ว่าด้วยเรื่องอาหารของโรงแรมเธอ หนึ่งชั่วโมงต่อมา @ห้องพักราชันย์ โรงแรมชาลิดา "อาหารมาแล้วครับนายน้อย จะให้เราจัดโต๊ะให้ด้วยเลยมั้ยครับ" "ไม่ต้อง ที่นี่เรามีพนักงานโรงแรม พวกนายไปได้แล้ว" ผมบอกกับลูกน้องทันทีให้พวกนั้นออกไปจากห้องของผมเพื่อจะได้ไม่สงสัยอะไรมากแล้วเอาไปรายงานแม่ของผมให้เกิดปัญหาอีก "ออกมาได้แล้วคุณ" ผมร้องเรียกคนที่ไปซ่อนตัวในห้องนอนให้ออกมาหลังจากที่ลูกน้องของผมออกกันไปหมดแล้ว "ฟัวกราคุณมาแล้ว อยู่ที่โต๊ะห้องอาหาร" "ทำไมมีสองที่อะ" "ก็ผมอยากลองชิมฟัวกราร้านนี้บ้างเห็นคุณบอกว่าอร่อยนักอร่อยหนา เลยอยากรู้ว่ารสชาติจะอร่อยอย่างที่คุณว่าจริงหรือเปล่า" "คุณนี่ ถ้าอยากชิมก็บอกฉันสิ แทนที่จะได้ทานสองเมนูแล้วแบ่งกัน ได้มาเหมือนกันสองอย่างเลย" อ้าว ตกลงผมผิดอีก นอกจากเป็นผู้หญิงที่เรื่องเยอะแล้ว ยังเอาใจยากอีก "งั้นสั่งอาหารที่โรงแรมคุณมาส่งที่ห้องมั้ยหละ ถ้าอยากกินอะไรที่มันหลากหลาย" ผมเน้นประโยคหลังแบบกึ่งประชดใส่คนตัวเล็ก "ไม่แล้ว ทานเถอะ ฉันจะได้กลับสักที กว่าอาหารจะมา กว่าจะทานเสร็จ กว่าจะขับรถถึงที่พัก ฉันเหลือเวลาพักไม่กี่ชั่วโมงเอง" "มันคือความผิดผมหรือไง" "........" "ผมผิดเองที่ชวนคุณอยู่กินข้าวด้วยกัน และผิดเองที่ถามคุณว่าอยากกินอะไร ผมว่ารีบกินกันเถอะ เดี๋ยวเวลาพักของคุณจะยิ่งน้อยลงไปอีก" จากนั้นเราสองคนก็รับประทานอาหารตรงหน้ากันโดยที่ไม่ได้พูดคุยสนทนาอะไรกันอีก มีเพียงสายตาที่มองอีกฝ่ายเป็นช่วงๆ แล้วก็หลบตากันเมื่ออีกฝ่ายมองมาปะทะสายตากัน แทนที่ความรู้สึกบนโต๊ะอาหารจะเป็นบรรยากาศที่อึดอัด กลับเป็นอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าเราสองคนไม่ได้คุยกันเลย แต่ผมรู้สึกได้ว่าผมไม่ได้รับประทานอาหารเพียงลำพังเหมือนที่ผ่านมา มันเหมือนกับกำลังรับประทานอาหารกับคนพิเศษอยู่อย่างไงอย่างงั้น "ปากคุณเลอะ" คนตรงเล็กที่นั่งอยู่ข้างผมยื่นมือที่ถือกระดาษทิชชู่มาเช็ดที่มุมปากให้ผม ผมไม่ได้ห้ามกับการกระทำนั้นของเธอที่ทำกับผม ตรงข้ามผมกลับนั่งนิ่งให้เธอเช็ดที่มุมปากให้ แล้วสายตาทั้งสองคู่ที่ปะทะกัน ก็ทำให้เราสองคนต่างหยุดชะงักกันทันที อยู่ๆร่างกายของผมก็ไม่สามารถควบคุมได้ ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของคนตัวเล็กที่นั่งนิ่งไม่ได้ขยับหนีหรือว่าอะไร หลังจากที่เรามองตากันอยู่สักพัก ริมฝีปากของผมก็แนบลงไปที่ริมฝีปากบางของคนตรงหน้าทันที โดยที่อีกฝ่ายยังคงนิ่งยอมให้ผมนำร่องอารมณ์อย่างว่าง่าย "อื้อ.." เสียงครางของเธอดังขึ้นมาเบาๆที่ข้างหูของผม เมื่อลิ้นของผมสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากบางอย่างช้าๆและอ่อนโยน มือของผมที่สัมผัสตามร่างบางอย่างทะนุถนอมค่อยๆลากไล้จากแผ่นหลังลงมาที่เอวคอด แล้วกลับขึ้นมาที่เนินอกของคนตัวเล็กเป็นลำดับถัดไป หน้าอกของเธอเหมาะมือผมเสียจริงๆ สัมผัสทีไรสร้างความรู้สึกอยากเข้าไปหามากกว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ เมื่อริมฝีปากของผมผละออกจากริมฝีปากบางแล้วเลื่อนลงมาที่ซอกคอของเธอ จนผมรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเทาของคนตัวเล็กอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงเงยหน้าขึ้นมากระซิบที่ข้างหูของเธอเบาๆก่อนที่จะทำอะไรไปมากกว่านี้ "วันนี้เราสงบศึกกันนะ"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม