บทที่1อดีต ปัจจุบัน
ฉันเกวลิน ปริยะ อายุ 35 ปี ทำงานเป็นนักโภชนาการที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เป็นหัวหน้าแผนกและมีผู้ช่วยอีกหลายคน ที่ฉันเรียนด้านคณะสหเวชศาสตร์ สาขาวิชาโภชนาการและการกำหนดอาหารนั้น ส่วนตัวเป็นคนชอบทำอาหารเหมือนแม่
ฉันไม่เคยรู้เลยว่าพ่อฉันเป็นใคร ตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่ ความสัมพันธ์ของเราเหมือนจะห่างกันเรื่อย ๆ ที่ฉันไม่กลับไปบ้าน เพราะไม่ชอบสายตาของพ่อเลี้ยง ต่อหน้าแม่เขาพูดดี เอ็นดูฉัน แต่ลับหลังแม่ เขาพยายามลวนลามฉันทั้งคำพูดและการกระทำ
ความจริงฉันไม่ใช่คนสวยอะไร จะเน้นไปทางรูปร่างอวบด้วยซ้ำ แต่ใบหน้าฉันอ่อนกว่าอายุจริง เป็นธรรมดาของผู้หญิงทุกคนที่รักสวยรักงามและดูแลตัวเองดี คนเลยไม่รู้ คิดว่าฉัน 20 ปลายๆ ทั้งที่ฉันอายุ 35 ปีแล้ว
ก็อย่างที่บอกคนอวบมักจะดูเด็กกว่า พวกเราทำงานแผนกนี้ไม่ได้เจอผู้คนมากมาย โอกาสที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับใครสักคนมันยากมาก ฉันคิดว่าจะทำงานและเก็บเงิน
หลังจากเก็บเงินก้อนได้หนึ่งแล้วจะลาออกไปหาซื้อที่ดินผืนเล็กๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทย จะปลูกบ้านแล้วชวนแม่มาอยู่ด้วยกัน จากนั้นเอาความรู้ที่มีมาหาเลี้ยงชีพในยามที่ไม่ได้ทำงาน นั่นคือการขายกับข้าว
เมื่อคืนฉันหลับดึกมาก แล้วฝันว่านอนที่กระท่อมรายล้อมไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ พอลุกขึ้นมานั่ง มองออกไปทางหน้าต่างเห็นทุ่งนาเหลืองอร่าม จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด “อ่า เป็นความฝันที่ดีจริงๆ”
จากนั้นบิดตัวซ้ายขวา แล้วประตูเปิดเข้า ขุ่นพระ ผู้ชายนุ่งผ้าข้าวม้าเดินตรงมา รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเข้ม กล้ามเป็นมัดๆ เหมือนเขาจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ที่ไรผมยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ เขากำลังเดินมาที่ฉัน ฉันกลืนน้ำลาย อือ ช่างเป็นความฝันที่ดีจริงๆ “โอ้ยย” อยู่ๆผ้าข้าวม้าผืนนั้นถูกโยนใส่หน้า ทำให้ฉันรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง
“อยากแต่งงานมากไม่ใช่เหรอ มาซิ ลุกขึ้นมาแต่งตัวให้ผัวเธอ” เกวลินพยายามตั้งสติ และก้มหน้าลง เพราะคนตรงหน้ายังไม่เคลื่อนไหวและยังไม่ใส่อะไร ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เมื่อคืนนอนที่ห้องตัวเองไม่ใช่หรือ ไม่นานคนตรงหน้าเริ่มเคลื่อนไหว ที่แท้เขาใส่กางเกงเรียบร้อยแล้ว
“โอ้ยยย” อยู่ๆ เขาบีบคางฉันให้เงยหน้ามองเขา “น้อยใจเหรอ ที่เมื่อคืนไม่ได้เข้าหอ คืนนี้พี่จะชดเชยให้ เตรียมตัวให้ดี” จากนั้นเขาสะบัดมือออก คว้าเสื้อยืดสีขาวเดินออกจากกระท่อมไป
“นี่กูทำอะไรลงไปวะ แล้วทำไมต้องรู้ผิด เมื่อสบตากับเธอ” ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะแกล้งเธอให้เสียน้ำตา ให้สมกับที่ทำให้ผมไม่ได้แต่งงานกับคนที่รัก แต่พอเห็นสายตาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็ทำไม่ลง
“เขาเป็นอะไรของเขานะ ใครอยากแต่งงานด้วย แล้วที่นี่ที่ไหน เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” จากนั้นฉันสำรวจรอบๆห้องที่เป็นกระท่อมไม้ไผ่ ทุกอย่างสะอาดสะอ้านเรียบร้อย บนที่นอนมีคราบน้ำตาติดหมอนอยู่ ห้องสี่เหลี่ยมปูด้วยไม้ไผ่แห้ง ตรงที่ฉันอยู่เป็นที่นอนขนาด 6 ฟุตคล้าย Topper สีเทาอ่อนแต่ไม่ได้หนามาก มีหมอน 2 ใบ ผ้าสีเดียวกับที่นอน มีหน้าต่าง 3 บานเปิดกว้าง ใกล้ประตูมีตะกร้าผ้าสามใบวางอยู่
ข้างในมีผ้าที่พับไว้เรียบร้อย ฉันก้มลงมองเรือนร่างนี้ ไม่มีร่อยรอยบุสลายค่อยยังชั่วหน่อย แล้วลุกขึ้นไปสำรวจรอบๆ มีกระจกเล็กๆวางอยู่จึงเอาขึ้นมาดู และต้องตกใจกับใบหน้าจิ้มลิ้ม ผิวขาวบอบบาง คล้ายคนอมโรค นี่ฉันเข้ามาอยู่ในร่างน้องสาวคนนี้หรือ น้องเป็นอะไรถึงจากไป ดูแล้วอายุยังน้อยอยู่เลย
“น้องเป็นใคร แล้วพี่มาอยู่ในร่างน้องได้ยังไงคะ” เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ เหมือนคนบ้าที่พูดคนเดียว
ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณเข้าร่างคนอื่น แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นกับฉัน แล้ว สายตาฉันเหลือบไปกล่องเล็กๆ จึงจับมันขึ้นมาเปิดดู มันเป็นแหวนทอง 2 วง ฉันมันวางไว้ที่เดิม จากนั้นเห็นโทรศัพท์ยี่ห้อหนึ่งราคาน่าจะไม่เกิน 6,000 บาท เป็นยี่ห้อที่คนนิยมใช้
เกวลินไม่รอช้า รีบเลื่อนดูว่าวันเวลา พ.ศ.อะไร วันอาทิตย์ที่ 17 เดือนตุลาคม พ.ศ 2562 เวลา 07.00 น.โชคดีที่ไม่ทะลุไปอยู่ในยุคอื่น อย่างน้อยความรู้ที่ติดตัวมายังมีอยู่เต็มหัว ฉันยังพอมีทางรอด เพราะดูจากสีหน้าผู้ชายตรงที่เรียกตัวเองว่าผัว เขาจะเขี่ยทิ้งในไม่ช้านี้หรือเปล่า
โทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ได้ล็อกหน้าจอไว้ จึงมีข้อมูลของน้องสาวคนนี้ ฉันมาอยู่ในร่างของน้องปลายฟ้า สกุณนา อายุ 19 ปี เรียนจบมอหกแล้ว แต่ก่อนที่ฉันจะดูว่าน้องมีเพื่อนและครอบครังหรือเปล่านั้น คนข้างข้างนอกตะโกนออกมา
“นี่แม่คุณ อยากได้ผัวขนาดนั้น ทำไมไม่ลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้ผัวละ” ฉันวางโทรศัพท์แล้วรวบผมให้ตึง ส่องกระจกเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่ยังไม่ได้ล้าง เนียนใสกว่าดาราบางคนอีก เกวลินมั่นใจขึ้นมา แล้วลุกขึ้นเปลี่ยนผ้าถุงเป็นกางเกงขายาวสีเทาเข้มกับเสื้อยืดสีชมพูที่มีอยู่ในตะกร้า
ผม ปราบ พิชิตอนุรักษ์ อายุ 28 ปีครับ ผมกับแฟนคบมาได้ 7 ปีแล้ว เธอเป็นครูสอนในโรงเรียนหมู่บ้านนี้ ที่ผมยังไม่ได้แต่งงานกับเธอ เพราะยังเก็บค่าสินสอดยังไม่ครบ ทางครอบครัวแฟนผมก็ไม่รีบร้อนอะไร
ปีนี้ผมเก็บเงินจนได้ค่าสินสอดที่ครอบครัวแฟนเรียกมา และคิดว่าหลังเก็บเกี่ยวจะให้พ่อแม่ไปสู่ขอและแต่งงานเลย ที่ผ่านมาผมรู้ตลอดว่าครอบครัวผมไม่ค่อยปลื้มแฟนผมเท่าไร แต่ผมคิดว่าสักวันเธอจะเอาชนะใจครอบครัวผมได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีวันนั้น เพราะ
ปลายฟ้าเด็กกะโปโลคนนี้ บ้านเธออยู่ใกล้กับบ้านผม เธออยู่กับยายสองคนและกลายเป็นคนโปรดของบ้านผมไปแล้ว ไม่ว่าพ่อ แม่ น้องชาย และน้องสาวผมเป็นเพื่อนรักกับเธอ แล้วที่เธอหยุดเรียนเพราะจะมาเป็นเจ้าสาวผม
เธอแก่แดดใช่ไหมครับ เมื่อก่อนผมเอ็นดูเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เวลาผมไปเรียนกลับมาจะซื้อของฝากมาให้เธอกับน้องสาวผมบ่อยๆ แต่หลังๆมาผมรำคาญเธอมาก แล้วเธอไปฟ้องกับคนในครอบครัวว่าผมไม่ถนอมน้ำใจ ล่าสุดเธอไปแอบได้ข่าวจากไหนไม่รู้ว่าผมจะแต่งงานปีนี้
เธอให้ยายหอมมาขอผมแต่งเข้าบ้าน วันนั้นผมจำได้ดีว่าพูดอะไรลงไปต่อหน้าพ่อแม่และยายหอม แต่ผมไม่รู้ว่าเธอจะมาแอบฟัง “ผมไม่แต่งครับ ผมเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น ยายหอมกลับไปบอกหลานยายเถอะ ถ้าอยากแต่งงานมาก ผมจะพาเพื่อนมาแนะนำให้เธอ”
“ปราบ ลูกก็รู้ว่าที่น้องไม่เรียนต่อ เพราะอยากเป็นเจ้าสาวให้ลูก อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง เชื่อแม่เถอะ” พ่อผมก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย เพราะทุกคนรักและเอ็นดูเธอหมด
“เรื่องอื่นที่พ่อแม่ขอ ผมทำให้ได้ครับ แต่เรื่องนี้ผมขอเลือกชีวิตคู่ผมเอง” ยายหอมนั้นตามใจหลานสาวคนนี่ที่สุด เพราะรักและดูแลเธออย่างดี อะไรที่เป็นความสุขของหลานสาว แกยอมทำหมด “พ่อปราบ ยายเองก็แก่ลงทุกวัน ยายขอฝากหลานสาวยายและที่นาผืนนั้นไว้กับพ่อปราบไม่ได้หรือ” “ยายหอมครับ ผมรับปากยายหอมไม่ได้ครับ ขอโทษด้วย”
หลังจากที่คุยกันวันนั้น ตอนกลางคืนยายหอมร้องไห้มาเคาะประตูบ้าน ปลายฟ้ากินยาฆ่าตัวตาย เป็นเขาที่พาเธอไปส่งโรงพยาบาล หมอล้างท้องทัน
ทำให้ผมต้องแต่งงานกับยัยเด็กกะโปโล แหวนแต่งงานผมไม่ได้สวมให้เธอ สินสอดยายหอมไม่เอาสักบาท แต่งเสร็จก็ไปจดทะเบียนสมรส แค่นี้ที่เธอต้องการ ผมคิดว่าจะหย่าภายหลัง
แล้วคืนเข้าหอผมตั้งใจพาเธอมานอนที่กระท่อมของผม ห่างจากตัวบ้าน 2 กิโล ไม่มีชาวบ้านคนมาไหนมาอาศัยอยู่แถวนี้ เพราะรอบๆเป็นที่นาของครอบครัวผมหมด ตั้งใจว่าจะไปดื่มเหล้ากับเพื่อนเสร็จแล้วจะกลับมาหาเธอ
ผมดื่มให้กับชีวิตรักที่ไม่สมหวัง เพื่อนที่มาแต่งงานบอกว่าเจอยาหยีนั่งรถไปกับนายอำเภอ หรือเธอประชดผม แล้วผมดื่มจนเมาและลืมเด็กกะโปโลไป พอสว่างก็กลับมาหาเธอที่กระท่อม
ไม่มีใครรู้ว่าคืนที่เจ้าสาวอย่างเธอเข้าหอ จะเป็นคืนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ความเสียใจ เจ็บปวดทรมาน สุดท้ายหัวใจดวงเล็กๆยิ้มทั้งน้ำตา ความทรงจำในวัยเยาว์ผุดขึ้นมา พี่ปราบใจดีมาก กลับมาจากมหาวิทยาลัยเขาจะซื้อของฝากมาให้เธอทุกครั้ง
ตัดภาพมาที่เจ้าสาว พี่ปราบเป็นคนอบอุ่น ตอนเธออยู่ประถมและมัธยมต้น เขาจะลูบหัวเธอเล่นบ่อยๆ พี่ปราบเป็นสุภาพบุรุษ อาจเป็นเพราะบ้านเราใกล้กัน พี่ปราบคือผู้ชายในอุดมคติเธอ แล้วที่เธอไม่เรียนต่อ มี 2 เหตุผล 1. สงสารยายหอมทำนาคนเดียว แต่ยังดีที่มีครอบครัวพี่ปราบคอยช่วยเหลือทุกปี
ที่ผ่านมาเธอถูกติฉินนินทาว่าไม่เรียนต่อเพราะใจแตกและพยายามจับพี่ปราบ ยังมีคำพูดอีกมากมาย แต่เธอไม่แคร์ เพราะการได้เห็นพี่เขาทุกวันคือความสุขของเธอ แม้พรุ่งนี้เช้าจะมีข่าวว่าเจ้าบ่าวทิ้งเจ้าสาวไว้คนเดียวในคืนเข้าเข้าหอก็ตาม
“ที่ผ่านมาฉันไม่เคยสนคนนินทาว่าร้าย ขอโทษพี่ปราบด้วย ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันอยากเป็นคนที่พี่เลือกบ้าง ลาก่อนพี่ปราบ ขอบคุณที่แต่งงานกับฉัน ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ ฉันฝากยายด้วยนะพี่ปราบ”
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าลับหลังเพื่อนๆนินทาว่าเธอเป็นคนขาดความอบอุ่น เป็นเด็กมีปัญหา แต่มีเพื่อนสองคนที่อยู่ข้างเธอตลอดคือแก้มใสและปันปัน ข่าวที่ว่าพี่ปราบมีคนรักแล้วเธอยังเข้ามาแทรกกลางพวกเขา ส่วนเหตุผลที่ 2.
เหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเธออยู่มอ 5 ช่วงบ่ายของวันนั้นเธอปวดจี้ดที่หน้าท้อง ปวดแบบทรงตัวไม่อยู่ ก่อนหน้านั้นเธอปวดท้องคิดว่าเป็นโรคกระเพาะจึงซื้อยาโรคกระเพาะมากิน บวกกับกินยาแก้ปวดแล้วก็หาย
บ่ายวันนั้นกลับปวดท้องจนตัวงอ แก้มใสและปันปันไปเรียนวิชาทางเลือก เธอจึงขอลาครึ่งวันไปหาหมอคนเดียว ถึงได้รู้ว่าเธอเป็นมะเร็งลำไส้ หมอบอกว่าถ้าไม่รีบรักษาเธอจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 ปี หมอแนะนำให้ไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดพร้อมจะเอาใบส่งตัวให้
เธอบอกหมอว่าขอไปปรึกษที่บ้าน แต่เธอไม่ได้บอกใคร และคิดว่าถ้าเธอจากไป คนที่จะดูแลยายหอมได้ดีที่สุดคือพี่ปราบ แค่นี้จริงๆที่เธอต้องการ หัวใจพี่ปราบได้มอบให้พี่ยาหยีไปแล้ว ทำไมเธอจะไม่รู้
เธออยากจากไปนานแล้ว ทุกครั้งที่เธอปวดท้อง ต้องกินยาแก้ปวดเป็นกำมือ ความทรมานที่เธอได้รับ มันได้สิ้นสุดลงแล้ว “ลาก่อนยายหอม ลุงทิด ป้าแก้ว พี่ปิน ปันปันและแก้มใสเพื่อนรัก ชาติหน้ามีจริง ฉันอยากเกิดมาเจอทุกคนอีก ยายจ๋าปลายขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ปีนี้ปลายไม่ได้ช่วยยายเกี่ยวข้าวแล้ว แต่ยายไม่ต้องห่วง พี่ปราบจะช่วยยายเกี่ยวข้าวเอง”
ก่อนสิ้นใจเธอพูดคนเดียว ไม่มีใครรับรู้ความในใจเธอ ยายหอมเคยบอกว่าพ่อแม่เธออยู่บนสวรรค์ นี่เธอจะไปเจอพ่อแม่แล้วใช่ไหม
กลับมาที่เกวลิน หญิงสาวค่อยๆเปิดประตูออกมา ข้างนอกมีระเบียงที่ทำจากไม้ไผ่ ถัดมาเป็นบันไดที่ทำจากไม้ มีประมาณ 7 ขั้น แล้วค่อยๆลงไม่ยอมมองไปรอบๆ เพราะกลัวก้าวเท้าพลาดนั่นเอง
พอมาถึงเห็นรองเท้าฟองน้ำสีชมพู สงสัยน้องปลายจะชอบสีชมพู หญิงสาวสวมรองเท้ามองไปตรงหน้า พอดีกับสายลมพัดมา เลยหลับตาสูดลมหายเข้าเต็มปอด ในใจก็พูดว่านี่มันทุ่งรวงทองชัดๆ มองไปทางไหนก็เห็นข้าวเหลืองอร่าม
“เร็วสิ ไม่เคยเห็นท้องนาหรือ หิวข้าว” ความจริงน้องชายผมเอาข้าวมาส่งให้แล้ว แต่ผมบอกว่าให้เอากลับไป ถ้าทำกับข้าวไม่ได้ ไม่สมควรเป็นสะใภ้ชาวนา ผมรู้ว่าที่บ้านเธอใช้เตาแก๊สและหม้อหุงข้าวในการทำกับข้าว
ฉันมองคนใจร้าย หนูปลายฟ้า นี่หรือคนที่เป็นสามีน้อง หน้าตาเขาดี แต่ดุขนาดนี้ก็ไม่ไหว เกวลินพูดในใจเดินมาหลังบ้าน เจอฟืน มีเตาอั้งโล่ที่ผ่านการใช้งานมานานแล้ว บนแคร่มีหม้อและข้าวสารถ้วยจานชามวางอยู่ในตะกร้า “ทำสิ อยากเป็นสะใภ้ชาวนาไม่ใช่เหรอ หรือเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หุงข้าวไป ถ้ากลับมากับข้าวยังไม่ได้ กลับไปอยู่กับยายหอมเลย”
เขาคว้าจอบลงไปยังท้องนาที่เหลืองอร่าม “โครกคราก อุ้ย” ฉันก็หิวข้าวเหมือนกัน “ความรู้สมัยเรียนเนตรนารียังพอมีอยู่ใช่ไหมเรา แล้วที่ฉันทำเพราะฉันหิวต่างหากอีตาบ้า”
ตั้งแต่ตื่นมาฉันได้ยินคำว่าสะใภ้ชาวนามาสองครั้งแล้ว นี่ฉันต้องกลายเป็นสะใภ้ชาวนาจริงๆหรือ “เห้อออ เริ่มจากจุดไฟใช่ไหม แล้วไฟแช็กอยู่ไหน อ้อ อยู่นี่เอง”