“พี่ถามเจ้าหน้าที่มาแล้ว ไม่เป็นไร ไม่มีทะเบียนสมรสไม่ต้องแจ้งชื่อพ่อก็ได้ ถือว่าแม่มีอำนาจสิทธิ์ในตัวเด็กเพียงผู้เดียว น่าจะง่ายกว่าใส่ชื่อพ่อเข้าไปโดยเจ้าตัวเขาไม่รู้นะ วันหน้าเวลาลูกไปเข้าโรงเรียนจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
“ทำไมล่ะคะ?”
“อ้าว! ถ้าเกิดโรงเรียนต้องการให้ผู้ปกครองเซ็นร่วมกันก็วุ่นวายแย่ ไม่ต้องใส่ชื่อพ่อล่ะดีแล้ว จะทำอะไรก็ง่าย แม่จัดการคนเดียวได้เลย อย่างเวลาอยากทำพาสปอร์ตพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ แม่ก็แค่ไปแจ้งทำใบรับรองว่าตัวเองมีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกคนเดียวก็ทำได้เลย ไม่งั้นต้องให้พ่อกับแม่ไปเซ็นชื่อพร้อมกัน คิดดูจะยุ่งยากแค่ไหน”
“อ้อ เป็นงี้นี่เอง” ลิลี่พยักหน้า
แบงค์เดินไปหยิบซองเอกสารมาตรวจอีกครั้ง ในทะเบียนบ้านหลังใหม่ของลิลี่เจ้าได้เป็นเจ้าบ้าน แต่กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านคือของลิลี่
“เด็กชายธนาธิป ชื่อน่ารักดีเนาะ แต่ลี่ว่าก็แปลกอยู่อย่างนะพี่แบงค์ ทำไมพี่ผักถึงไม่ตั้งชื่อจริงของลูกให้คล้องกับชื่อตัวเอง ส่วนใหญ่คนมักจะตั้งชื่อลูกให้คล้องกับพ่อหรือแม่”
“บางที ผักอาจจะคิดว่าชื่อนี้เหมาะกว่าก็ได้ ธนาธิปแปลว่าเจ้าแห่งทรัพย์ ฟังแล้วร่ำรวยดีออก”
ลิลี่ยังสงสัยตะหงิดๆ แต่ก็ไม่อยากจะขัดคอแบงค์ เธอสงสัยว่าผักกาดน่าจะรู้ว่าใครคือพ่อของเด็ก?
ธเนศ ศราวุฒิกุลรับสายโทรศัพท์ทางไกลแล้วถึงกับมือไม้อ่อน เมื่อวานเขาสะดุ้งตื่นกลางดึก ในฝันเขาเห็นพี่ชายฝาแฝดเลือดท่วมตัว แล้วเช้านี้ฝันนั้นก็กลายเป็นจริง
...ฝาแฝดมักจะมีจิตสื่อถึงกัน ระหว่างเขากับธนาเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ....
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวผ่อง ใบหน้าคมคาย ลากกระเป๋าขึ้นเครื่องบินในตอนสาย เขาภาวนาไปตลอดทางให้พี่ชายรอดปลอดภัย
“แกยังไม่ต้องกลับก็ได้ อยู่ไปอีกสักสามสี่ปีให้พอใจแล้วค่อยกลับ” ธนา บอกกับเขาตอนที่เจอกันครั้งล่าสุด
ธเนศชอบเรียนศิลปะ เขาจบสาขาจิตรกรรมแล้วไม่อยากเรียนต่อ จึงใช้ชีวิตเป็นศิลปินอิสระที่ต่างประเทศ เดินทางไปวาดรูปตามเมืองต่างๆ ในยุโรปอย่างมีความสุข ในขณะที่ธนากลับเมืองไทยเพื่อรับช่วงบริหารกิจการต่อจากบิดา
รูปร่างของธนากับธเนศเกือบจะเท่าๆ กัน ทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายกันมาก แต่หากสังเกตให้ดีสักนิดจะพบว่าดวงตาของธเนศจะ ยาวรีกว่าพี่ชาย
ณัฐวุฒิเป็นคนมารับธเนศพร้อมกับรถตู้หรูหราของบริษัท เขารายงานอาการให้ธเนศฟังคร่าวๆ
“ไปโรงพยาบาลเลย ฉันอยากไปดูธนาก่อน” สองพี่น้องเกิดห่างกันไม่กี่วินาที ทำให้ธเนศไม่ยอมเรียกธนาว่าพี่
“ครับ”
ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นสะดุดตา เมื่อธเนศเดินเข้าไปโรงพยาบาลคนรอบข้างต่างหันมามองเขาด้วยความสนใจ หลายคนสงสัยว่าเขาเป็นดาราหนุ่มหรือคนดัง ณัฐวุฒิในชุดสูทเดินนำหน้าไปกดลิฟต์พาเจ้านายอีกคนไปยังห้องพิเศษที่ธนานอนรักษาตัวอยู่
สภาพที่มีเครื่องมือรายล้อมทำธเนศตะลึงเล็กน้อย
“หนักอยู่เหมือนกันนะ ทำไมไม่ย้ายไปเอกชนล่ะ?”
“หมอที่ผ่าตัดให้บอส ฝีมือดีที่สุดแล้วครับ ท่านประธานใหญ่เลยไม่ให้ย้าย เพิ่งผ่าตัดเสร็จคงต้องดูอาการอีกสักระยะ ถ้าคุณหมอเห็นว่าปลอดภัยค่อยย้ายครับ”
ธเนศนั่งลงข้างเตียงคนป่วย ครู่หนึ่งก็มีพยาบาลเดินเข้ามาตรวจคนป่วย
“กลางคืน แกเป็นคนเฝ้าเหรอ?”
“ครับ ช่วงนี้ท่านประธานใหญ่กับเลขาไปดูแลงานที่ออฟฟิศเอง ท่านสั่งให้ผมมาคอยดูแลบอส”
“เดี๋ยวคืนนี้ฉันนอนเฝ้าเอง แกกลับไปได้”
“ไม่ครับ ผมจะนอนเฝ้าเป็นเพื่อนคุณเนศเอง”
ธเนศมองสีหน้าผิดปกติของณัฐวุฒิ เขาหันไปสั่งผู้ติดตามให้หิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กขึ้นมาส่งแล้วนำกระเป๋าใบใหญ่ของเขากลับบ้าน
“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่ เรียนคุณพ่อให้ด้วย”
พอผู้ติดตามกลับไปแล้ว ณัฐวุฒิก็รีบปิดประตูห้องและพูดสิ่งที่ตนสงสัย
“คุณเนศ ผมสงสัยว่านี่จะเป็นการฆาตกรรม”
ธเนศอึ้ง “ทำไม?”
ณัฐวุฒิเล่าสิ่งที่เขาได้ฟังจากพยานผู้เห็นเหตุการณ์ที่ขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาในช่วงเวลานั้นพอดี “รถสิบล้อคันนั้นจงใจพุ่งเข้าหารถบอสครับ ต่อให้เบรกแตกตามที่กล่าวอ้างก็หักหลบได้ แต่กลับปล่อยให้รถอัดรถบอสจนติดกำแพงโรงพยาบาล”
“คนขับรถสิบล้อบาดเจ็บเล็กน้อยเองเหรอ?” ธเนศขมวดคิ้ว
“ครับ หน้ารถคันนั้นมีกันชนขนาดใหญ่ ผมกับคุณพิพัฒน์ไปสืบมาแล้ว เขาเพิ่งติดกันชนเมื่อไม่กี่วันก่อนวันเกิดเหตุนี่เอง”
“เรื่องนี้คุณพ่อรู้หรือยัง?”
“ไม่ครับ ทางนั้นยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุ เขาไม่รู้จักกับทางเรามาก่อน ยืนยันว่าเบรกรถพังทำให้หยุดรถไม่ได้ คุณพิพัฒน์กำลังสืบเรื่องนี้ต่อ”
“พันธ์ล่ะ อาการเป็นไง?” ธเนศนึกไปถึงคนขับรถของพี่ชาย
“อาพันธ์ขาหักครับ เห็นว่าบอสเป็นคนร้องให้อาพันธ์หลบรถสิบล้อแต่ไม่ทัน เหมือนกับรถคันนั้นเร่งเข้าใส่ด้วย”
“ใครกันอยากจะฆ่าธนา?”
“บอสไม่มีเรื่องกับใครนะครับ ตั้งแต่กลับมาก็ทำแต่งาน มีแค่เรื่องเดียวที่เรายังหาตัวคนไม่เจอ” น้ำเสียงของณัฐวุฒิคล้ายลังเล “แต่ผมว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะถึงกับต้องมาฆ่าบอส”
“เรื่องอะไร?” สีหน้าของธเนศเคร่งเครียด
ธเนศกลับไปบ้านในวันต่อมา ตั้งแต่บิดาแต่งงานใหม่ก็ปลูกบ้านอีกหลังในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เขากับธนาไม่ต้องอึดอัดในการร่วมบ้านกับแม่เลี้ยง ธเนศยืนยันที่จะเข้าไปทำงานรับช่วงต่อระหว่างที่ธนายังคงรักษาตัวอยู่ โดยให้ ณัฐวุฒิเป็นผู้ช่วย บิดาของเขาดีใจมากรีบรับปากทันที
“พ่อไม่คิดเลยว่าเนศจะยอมมาทำงานที่บริษัท”
“จนกว่านาจะหายดีครับ ถ้านาอาการดีขึ้นแล้วผมก็จะกลับ” ต่อหน้าคนอื่นธเนศจะเรียกพี่ชายว่าธนา แต่กับบิดาเขาจะเรียกพี่ชายสั้นๆ ว่านา
“ได้ๆ ขอแค่เนศมาเรียนรู้งาน พ่อก็ดีใจแล้ว” คุณธนกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาเป็นลูกเสี้ยวเชื้อสายจีนที่สานต่อกิจการจากต้นตระกูลที่สืบต่อกันมาสามชั่วอายุให้เติบโตจนกลายเป็นบริษัทมหาชน
“พรุ่งนี้ผมจะเริ่มงานเลยก็แล้วกัน”
ธเนศอยากจะเข้าไปสืบดูท่าทีของคนในบริษัทมากกว่า ชายหนุ่มไม่ตัดความเป็นไปได้ทั้งเรื่องของผู้หญิงที่ถูกมอมยาและผลประโยชน์ในบริษัท
พิพัฒน์ได้รับการนัดหมายให้ไปปรึกษาหารือกันในร้านอาหารเล็กๆ ไกลออกไปจากสำนักงานใหญ่ของวินเนอร์เบฟเวอเรจ
“ผมจะสืบในบริษัทดูว่าใครเข้าข่ายน่าสงสัย ต่อให้ไม่มีหลักฐานจะจับตัวเขาได้ อย่างน้อยเราก็ได้ระวังตัว การทำถึงขนาดนี้เท่ากับเจตนาฆ่าชัดๆ”
“เรื่องนี้ผมไม่วางแน่ๆ ครับ ผมจ้างนักสืบเอกชนคอยตามดูคนขับรถสิบล้อเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนที่คุณณัฐบอก เรายังหาตัวเธอไม่เจอเลย”
ธเนศถอนหายใจ “ศัตรูที่อยู่ในที่มืดก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ เขาไม่ออกมาโวยวายหรือเตือนให้เรารู้ตัวเลยสักนิด ผมเลยไม่กล้าตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง บางทีการที่ผู้หญิงคนนั้นไม่แสดงตัว เธออาจจะแค้นมากจนคิดจะฆ่าพี่ชายผมก็ได้ หรือไม่ก็ผลประโยชน์ภายในบริษัททำให้มีคนอยากฆ่าพี่ชายผมทิ้ง”
ธเนศหน้าตาเคร่งเครียด ลึกๆ เขาก็ระแวงน้ำเพชรอยู่เหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้นรู้จักกับบิดาเพราะสายน้ำที่เป็นผู้ถือหุ้นแนะนำมา จากนั้นน้ำเพชรก็เอาชนะใจบิดาที่เคยประกาศว่าจะไม่แต่งงานใหม่ได้สำเร็จ ดีอยู่หน่อยที่บิดาของเขาทำหมันไปแล้วจึงไม่มีลูกกับภรรยาคนใหม่
“คุณเนศ ผมเชื่อว่าสักวันความจริงต้องปรากฎ ถ้าคดีสิ้นสุดลง อีกไม่นานคนว่าจ้างจะต้องติดต่อคนขับรถสิบล้อแน่”
****************