17 ปีที่แล้ว...
“ฮึก ฮือออ~” เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงวัยห้าขวบทำให้ฝ่าเท้าเล็กหยุดชะงัก เตชินท์กำลังเดินเข้าไปในห้องครัว แต่กลับได้ยินเสียงร้องไห้ที่เขารู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ไม่รอช้าที่เขาจะเดินไปตามเสียงนั้น
“พลอย...” เตชินท์เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา พิ้งค์พลอยที่นั่งชันเข่าอยู่หลังเสาโรมันหันไปตามเสียงเรียกนั้น เธอยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา
“พี่...ฮึก พี่เตชินท์” ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อพึมพำออกมา พิ้งค์พลอยลุกขึ้นยืน เธอเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม เขาอายุห่างจากเธอถึงเจ็ดปีด้วยกัน
“เป็นไรเหรอ โดนใครแกล้งมาอีกหรือเปล่า” เตชินท์เอ่ยปากถามพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะเล็กของเด็กหญิงตัวน้อย เขารู้สึกชอบเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กวัยห้าขวบก็ตามแต่ เตชินท์สัญญากับตัวเองว่าจะเฝ้ารอให้เธอเติบโต เขาถูกชะตากับคนตัวเล็กราวกับว่าฟ้าลิขิตให้มาพานพบเธอ
“อึก ไม่มี แต่ ฮือออ~ ไม่มี ฮึก...ใครเล่นด้วย” ริมฝีปากเล็กขมุบขมิบพูด ซึ่งคำพูดชัดบ้างไม่ชัดบ้างของเธอทำให้เด็กชายยิ้มบาง ๆ เขาเดินเข้าไปใกล้เธอราวกับมีแม่เหล็กดูดเข้าหา
“พวกนั้นทิ้งพลอยเหรอ”
“อึก ปะ เปล่า แต่ไม่ให้พลอย...เล่นด้วย” พวกนั้นที่เตชินท์หมายถึงคือ พายุ น้ำไนล์ สายฟ้า ซึ่งเด็กชายก็เข้าใจว่าทำไม
“ไม่ต้องน้อยใจนะ พวกนั้นเป็นผู้ชายไง คงไม่อยากให้เราเล่นด้วยเพราะเราเป็นผู้หญิง”
“ฮือออ~” พิ้งค์พลอยร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม เธอพยายามขอเล่นด้วยตลอดแต่เพื่อนรุ่นเดียวกันของเธอที่มีแต่ผู้ชายทำให้เธอไม่สามารถเล่นกับพวกเขาได้ ทั้งเกม หุ่นยนต์ เธอพยายามเล่นให้เป็น แต่สุดท้ายก็โดนผลักไสอยู่เรื่อย
“ใจร้าย ฮืออ...อึก มีแต่คนใจร้าย” เตชินท์ส่ายหน้าให้กับเธอ เขาเดินเข้าไปโอบกอดตัวเล็กเพราะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี
“ไม่เป็นไรนะ เราเล่นกับพี่ได้นะ” เด็กชายพึมพำออกมาเสียงแผ่วเบา อย่างไรเสียช่วงนี้เขาต้องมาบำบัดทางจิตที่บ้านของเธออยู่แล้ว
“เล่น...อึก พี่เต เล่น..บาร์บี้กับพลอยได้ไหม” เธอผละอ้อมกอดออกพร้อมกับมองเขาดวงตาใสแป๋ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้ารับ เขามองรอยยิ้มที่เธอฉีกยิ้มด้วยสิเน่หา อยากรู้ว่าพอเธอโตขึ้น...เธอจะสวยเหมือนตอนนี้ไหม
“นี่ค่ะ ตัวนี้ชื่อลิลลี่...ส่วนตัวนี้ของพลอย ชื่อ..พิ้งค์กี้” เตชินท์ยื่นมือไปรับตุ๊กตาจากเธอพร้อมกับเดินไปนั่งที่โซฟากลางบ้าน ซึ่งภาพของเด็กเล็กอยู่ในสายตาของผู้เป็นพ่อ บิดาของเจ้าหนูตัวน้อยพิ้งค์พลอยยกยิ้มบาง ๆ เขาเป็นจิตแพทย์ประจำตัวของเตชินท์ ชายหนุ่มคิดว่า...บางทีพื้นที่เล็ก ๆ ที่จะบำบัดจิตใจอันบอบช้ำของเตชินท์ได้ คงเป็นลูกสาวของเขากระมัง ทว่ามันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิดเมื่อเวลาผ่านไป
17 ปีต่อมา...
-พิ้งค์พลอย-
ฉันอยากจะวิ่งไปกรี๊ดที่สนามหลวงก่อนจะวิ่งกลับมากรี๊ดอีกทีที่บ้านของสายฟ้า แต่ก็ทำได้แค่ยืนกรีดร้องอยู่ที่นี่ เพราะว่าสิ่งที่ฉันแลกเปลี่ยนกับสายฟ้าไม่เป็นผล
“ฉันบอกให้นายไปบอกพี่เตชินท์ว่าให้ไปเที่ยวกับฉันไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไปบอกแล้วไง” สายฟ้าขมวดคิ้วมองฉัน ผู้ชายสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดอย่างเขาทำให้ฉันต้องเงยหน้ามอง แม้ว่าฉันจะสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกก็ตาม
“แล้วทำไมพี่เตบอกว่าไม่ไป”
“ก็แค่บอกไง จะไปไม่ไปมันก็เรื่องของเขา” นี่แหละสาเหตุที่ฉันอยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ เพราะว่าเพื่อนตัวดีคนนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูด
“นายก็ต้องร้องขออ้อนวอนเขาสิ ฉันอุตส่าห์เอาความลับของยัยแฟนเก่านายมาบอก ทำไมหักหลังฉันอย่างนี้” ฉันกระทืบเท้าปึงปังด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่สายฟ้าจะหันมาทำหน้าจริงจังกับฉัน
“มึง...พลอย กูว่ามันก็นานแล้วนะเว้ยที่มึงตามพี่เขาแบบนี้ เมื่อไรมึงจะพอวะ” สายฟ้ายกมือทั้งสองข้างจับไหล่ของฉัน เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง
“ไม่รู้ แต่ไม่มีวันนั้นหรอก รักก็คือรัก ฉันรักเขาและก็อยากได้เขาเป็นผัว” สายฟ้าสบตากับฉัน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมา
“โอเค...งั้นกูก็ช่วยไรมึงไม่ได้ เพราะคนที่ไม่รักก็คือไม่รัก จะร้องขออ้อนวอนแทบตายก็ไม่รัก” ฉันอ้าปากค้างที่ได้ยินอย่างนั้น
“ไม่ได้ ไม่ได้นะ...”
“เฮ้อ...พอเถอะว่ะ กูเหนื่อยแทน” สายฟ้าว่าอย่างปลง ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปพาผู้หญิงคนหนึ่ง ขนมแป้ง...สองคนนี้คืนดีกันแล้ว บ้ามาก ๆ ที่ฉันจะต้องมายืนดูสองคนนี้สวีตกันโดยที่ตัวเองกำลังระทมทุกข์อยู่
“โอ๊ย!” ว่าแล้วก็อยากจะกรี๊ดอีก อะไร ๆ ก็ดูขัดหูขัดตาไปเสียหมด หงุดหงิด น่าหงุดหงิด ทำไม ทำไม...ทำไมเขาใจร้ายกับฉันแบบนี้
ฉันหันหลังออกจากบ้านหลังใหญ่ของสายฟ้าไป รู้สึกเหมือนกับอยากจะบ้าตาย เพื่อนของฉันตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปหมด น้ำไนล์ก็โดนเมียทิ้ง ไม่คุยกับใคร นาน ๆ ถึงจะปริปากพูด ส่วนแพทริคก็หนีกลับอิตาลีแล้ว และสายฟ้าก็มีเมียและก็มีลูกแล้วด้วย ส่วนฉัน...เรียนหนังสือไม่จบ!
ได้ยินไม่ผิดหรอก
ฉันต้องลงเรียนปีสี่ใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวเดียวเหมือนสายฟ้าแต่ฉันต้องลงเรียนใหม่ทั้งปีเพราะว่าฉันทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจนทำให้การเรียนเสียไป แต่ช่างมันเถอะ
ตอนนี้ฉันกำลังขับรถกลับบ้านเพราะว่าไม่รู้จะไปไหน คิวละครที่จะถ่ายวันนี้ผู้จัดการของฉันเพิ่งโทรมาบอกว่าโดนยกเลิก ทำให้วันนี้ฉันว่างและอยู่ในช่วงปิดเทอมอีกด้วย ใช่แล้วล่ะ...ฉันเป็นดารา และที่สำคัญ เป็นดาราเบอร์หนึ่งของประเทศด้วย พูดแล้วจะหาว่าอวดนะ แต่ถ้าไม่พูดก็จะไม่รู้กันใช่ไหมล่ะ เอาเป็นว่าจะเล่าคร่าว ๆ ให้เข้าใจก็แล้วกัน ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ปัญหาของฉัน เป็นปัญหาของใครฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน
คืองี้...ฉันเป็นลูกดารา แม่ฉันน่ะดังมาก ถ้าจะบอกว่าดังเป็นพลุแตกก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่แม่เป็นได้ ต้องบอกว่าดังเหมือนกับระเบิดขีปนาวุธประมาณนั้น ทำให้ฉันที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดดังตามไปด้วย ก็ดังตั้งแต่แม่ประกาศว่าท้องแล้วล่ะ
ส่วนพ่อ...ก็รวยจนไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน รวยชนิดที่ว่าถ้าเงินหล่นก็จะไม่ก้มลงเก็บเพราะจะทำให้เสียเวลาและปวดหลังเปล่า ๆ ใบหน้าของฉันก็เหมือนกับว่าพระเจ้าเข้าข้าง ลำเอียงให้ฉันเกิดมาสูง สวย หุ่นดี และนมใหญ่ ที่พูดมาทั้งหมดจะบอกแค่ว่า...ฉันอาภัพรัก
เหมือนกับโชคชะตากลั่นแกล้งให้ฉันตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง และไม่อาจถอนตัวได้ ไม่ว่าฉันจะพยายามมากแค่ไหน ทำทุกอย่าง บนบานศาลเจ้าก็แล้ว แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นดั่งใจหวัง มันยิ่งย่ำแย่เพิ่มมากขึ้นเมื่อฉันยิ่งพยายามกับมัน ยิ่งทำแค่ไหน ก็เกิดคำถามในใจตลอดว่า...ความรักที่ฉันพยายามคนเดียวมันเรียกความรักไหม แต่...
ปัง!!
เอี๊ยดด!!
ปึก!
“โอมายกอช!...” ฉันขับรถชนตูดรถใครก็ไม่รู้ ให้ตายให้ตายเถอะ เป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ กระโปรงท้ายรถของรถคันข้างหน้าเปิดออกพร้อมกับควันโขมง ใจของฉันเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวผู้ชายร่างใหญ่ที่ลงมาจากรถ เขาลงมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห ท่าทีของเขาทำให้ฉันไม่กล้าลงไปเจรจาด้วย
ปึก! ปึก! ปึก!
ฉันสะดุ้งเมื่อผู้ชายเจ้าของรถทุบกำปั้นลงที่กระจกรถของฉัน ความตกใจกลัวทำให้มือไม้ของฉันสั่นไปหมด สิ่งแรกที่จะทำหลังจากเกิดอุบัติเหตุฉันควรทำอะไร ฉันคิดไม่ออกสมองมันตื้อไปหมด ควร...
“อึก...พี่เตชินท์” ฉันรีบคว้าโทรศัพท์โทรหาพี่เตชินท์เมื่อนึกถึงเขาเป็นคนแรก สมองอันน้อยนิดที่แทบไม่มีของฉันนึกได้อย่างเดียวก็คือพี่เตชินท์
ตื๊ด~ ตื๊ด~
ติ๊ด!
เขากลับตัดสายฉัน หัวใจดวงน้อยที่มองเห็นเขาเป็นคนแรกร่วงลงพื้น ก่อนที่ฉันจะ...จะ
“พ่อ..” ฉันไม่รอช้าที่จะกดโทรศัพท์โทรหาพ่อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพ่อสามารถช่วยฉันได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ทันเมื่อฉันมองเห็นผู้ชายคนเมื่อครู่เดินกลับมาที่รถของฉันอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาเดินกลับไปที่รถของเขา ซึ่งในมือของเขามีไม้เบสบอลอยู่
ปึก! ปึก! ปึก!
อาจจะเป็นเพราะรถราคาแพงเลยทำให้กระจกไม่แตกง่าย ๆ เมื่อเขาฟาดไม้เบสบอลใส่กระจกรถทางด้านข้าง แต่เสียงดังลั่นนี้ก็ทำให้มือไม้ของฉันสั่นไปหมด คนรอบรถก็มุงดูโดยไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วย ไม่มีเลยสักคนที่จะเข้ามาห้ามหรือช่วยเจรจา กระทั่ง
เพล้ง!!
“กรี๊ดดดด!!!” ฉันกรีดร้องด้วยความตกใจที่กระจกรถของฉันแตกในที่สุด ก่อนที่ผู้ชายร่างใหญ่คนนี้จะมองหน้าฉัน
“ดารา? หึ กูว่าแล้วไอ้พวกคนรวยคนดังมันชอบขับรถเส็งเคร็ง!!” เขาตะคอกออกมาเสียงดัง ส่วนฉันก็ยกมือขึ้นพนมไหว้ด้วยความตกใจ
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ อึก...”
“มึงไม่ตั้งใจ อ้อ...มึงจะบอกว่า มึงไม่เห็นว่ารถมันติดไฟแดงนานแค่ไหนแล้ว อยู่ ๆ มึงขับรถมาชนรถกู...ใช่สิ มึงรวยมีเงินซ่อมรถ แต่กู กูที่หาเช้ากินค่ำจะเอาเงินที่ไหนไปซ่อมรถ!!”
“ฉัน อึก...ชดเชยให้นะคะ”
“ชดเชย? ...” เขาหันหลังไปราวกับเอือมเรื่องที่ฉันพูด ดูเหมือนว่าเขาจะปิดหูปิดตาไม่ยอมรับอะไรเลย เพราะเขากำลังโมโหอยู่
“แล้วกูจะเอารถที่ไหนทำมาหาแดก”
“อึก ฉะ..ฉัน ขอโทษ” ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว รู้ตัวว่าผิดและไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น ที่ไม่ลงไปตั้งแต่แรกเพราะกลัว ท่าทางของเขาน่ากลัวมากจริง ๆ แถมตอนนี้คนยังยกโทรศัพท์อัดวิดีโอของฉันอีกด้วย
“ถ่าย ถ่ายมันเข้าไป หึ ดูหน้าอีคนที่ไม่ลงมารับผิดชอบ ถ้าไม่เกิดเรื่องมันก็คงขับรถหนีไป นี่แหละพวกคนรวย!” ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ ไม่กล้าจะทำอะไร จะว่าฉันเจ้าน้ำตาก็ได้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครตะคอกเสียงใส่ฉันแบบนี้ ไม่เคยมีใครทำตัวน่ากลัวแบบนี้กับฉัน
“คือฉัน...” ฉันคว้าเอาแว่นกันแดดมาสวม แต่ก็ถูกดึงไปจากผู้ชายคนนี้ เขาโยนมันทิ้ง ความรู้สึกบางอย่างบอกให้ฉันลุกขึ้นสู้ ดูเหมือนว่าเขาจะทำเกิดกว่าเหตุ
“หยุดนะ!...ทะ ทำเกินไปหรือเปล่า” แม้ว่าจะทำใจดีสู้เสือได้มากแค่ไหน แต่ด้วยความที่ผู้ชายร่างใหญ่กว่ามากทำให้ฉันตัวสั่นเทา
แกร็ก!
ฉันเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะเดินไปหยิบแว่นกันแดดราคาเกือบแสนนั้น ทว่า
แกร็ก!
“หึ ไง อุบัติเหตุว่ะ ฮ่า ๆ” ฉันตกใจมากที่โดนกระทำเช่นนี้ เขาเดินไปเหยียบแว่นกันแดดของฉันจนมันแตกละเอียด ความบ้าบิ่นในตัวของฉันเพิ่มมากขึ้น โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
เพี๊ยะ!
ก็เลยพลั้งมือฟาดใส่ใบหน้าของเขา ทว่า
เพี๊ยะ!!!
“อ๊ะ...” ก็โดนตบคืน ฉันล้มลงพื้นด้วยแรงที่ต่างกันมาก ฝ่ามือของเขาที่ฟาดลงมันแรงมาก แถมเสียงซุบซิบมากมายก็กำลังพูดถึงฉันอีกด้วย พวกเขากำลังต่อว่าฉันที่ตบหน้าผู้ชายคนนี้ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นฝ่ายขับชนรถของเขา ทว่าขณะนั้นเองที่ฉันมองเห็นร่างหนาคุ้นตา เขาเดินมาทางนี้โดยที่ตัวของเขายังสวมเสื้อกาวน์ยาวอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“พี่เต...อึก ช่วยด้วย” ฉันพึมพำออกมา ใจของฉันเต้นแรงราวกับว่าฉันได้เจอที่พักพิง ก่อนที่ผู้ชายคู่กรณีของฉันจะหันไปมองเขาเช่นกัน ทว่า
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมแจ้งความแล้ว เดี๋ยวตำรวจก็คงมาไกล่เกลี่ยให้”
“มึงเป็นใครวะ” พี่เตชินท์หันมามองฉัน ฉันรู้สึกไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่เขาขอโทษคนคนนั้น แต่กลับไม่ช่วยฉัน
“พลเมืองดีคนหนึ่ง...มั้งครับ” ฉันสบตากับเขาไม่ลดละ แม้ว่าคำตอบของเขาจะทำให้ฉันเสียใจมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่มากพอเท่ากับการที่เขาไม่เข้ามาพยุงตัวฉันเลย ทั้ง ๆ ที่หัวเข่าของฉันกำลังได้เลือด
เขาเมินฉันจนฉันคิดว่า...เขาไม่มาน่าจะดีกว่า
เสียใจชะมัด