นานแล้วที่ไม่ได้หัวใจพองโตแบบนี้ พี่เตชินท์พูดแบบนี้แสดงว่าเขาตั้งใจโทรหาฉัน
“พะ พี่ตั้งใจโทรหาฉันใช่ไหมคะ”
[ก็เธอโทรมา...] แม้เขาจะตอบแบบนี้แต่ฉันก็รู้สึกดี เพราะเขาไม่ได้โทรหาฉันแบบนี้นานมากแล้ว
“พอดีวันนี้ มีเรื่องเครียดก็เลยโทรไปค่ะ” ฉันเม้มริมฝีปากเพื่อรอฟังคำตอบของเขา แต่เขาก็เงียบไป
[...]
“ฉันไปหาได้หรือเปล่าคะ”
[ไม่ได้] พี่เตชินท์ตอบกลับทันควัน คำตอบของเขาทำให้ฉันย่นจมูกใส่โทรศัพท์แม้ว่าเขาจะไม่เห็น แต่ก็ยังดีที่เขาโทรมา
[...นักข่าวจะเห็น]
“ละ แล้ว ถ้านักข่าวไม่เห็นก็ไปได้เหรอคะ” ฉันไม่รู้ว่าทำไมต้องตอแยเขามากขนาดนี้ โอ๊ย ๆ อย่าไปเล่าให้ใครฟังเชียวว่าฉันอยากไปหาเขาที่ห้อง บ้าน่า...แค่มีเรื่องทุกข์ใจก็เลยอยากไปเล่าให้ฟังแค่นั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ นะ
[หยุดคิดทุกอย่างแล้วนอน...แค่นั้น] ทว่าก็โดนดับฝันเสียอย่างนั้น
“อยากไปหานี่ ฉันอยากเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง”
[นอน...]
“_”
[เดี๋ยวมันก็ผ่านไป] ฉันส่ายหน้าเบา ๆ แม้จะรู้ว่าเขาไม่เห็น แต่จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีทางที่จะผ่านไปง่าย ๆ หรอก มันไม่ได้จบง่าย ๆ อย่างที่คิด
“ฉันไปหาได้หรือเปล่า”
[พลอย...]
“นะ...ให้คนขับรถไปส่ง แต่งตัวมิดชิด ใส่หมวก พรางทั้งตัว สัญญาว่าจะไม่ให้ใครจับได้”
[ถ้าคนจับได้ เธอได้ตายของจริงแน่พลอย]
ติ๊ด!
ฉันมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังโชว์ว่าพี่เตชินท์กดตัดสายโทรศัพท์ของฉันไปแล้ว ก่อนที่ฉันจะดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอน รีบแต่งตัวมิดชิดอย่างที่ได้บอกไว้ เขาพูดแบบนี้...แสดงว่าเขากำลังอนุญาตให้ฉันไปหาได้
@The great feature groups
คอนโดมิเนี่ยมสูงมากถึงสามสิบแปดชั้นนี้เป็นคอนโดในเครือของบริษัทของครอบครัวฉัน ฉันด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าคอนโดมิเนี่ยมเพราะอยากมาหาพี่เตชินท์ใจจะขาด
“ไม่มีคนเลยครับคุณหนู”
“ขอบคุณนะคะ...” ฉันขอบคุณคุณลุงคนขับรถ ก่อนจะลงจากรถเมื่อไม่เห็นคนอย่างที่คุณลุงบอก ทว่าลืมไปเลยว่าต้องใช้คีย์การ์ดขึ้นห้อง นี่แหละ นี่แหละ...ที่แม่ฉันบอก ฉันไม่ค่อยมีสมองเท่าไร แต่ก็พอนึกได้ว่าต้องโทรหาให้พี่เตชินท์ลงมาหา
ติ๊ด!
“ฮะ ฮัลโหล...รับด้วยแฮะ” ฉันอมยิ้มอยู่คนเดียวตรงล็อบบี้ด้านล่าง เมื่อพี่เตชินท์รับสายโทรศัพท์ของฉันอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
[พลอย...บอกให้นอน]
“นอนไม่ได้ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ล็อบบี้คอนโดของพี่แล้ว”
[อะไรนะ]
“ลงมารับหน่อยสิ”
[ยัยบ้าเอ๊ยยย...] แม้พี่เขาจะพูดอย่างนั้นแต่ฉันก็ได้ยินเสียงเปิดประตูผ่านทางโทรศัพท์ และสายก็ตัดไปดูเหมือนว่าพี่เตชินท์กำลังลงลิฟต์มาหาฉัน บนลิฟต์ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์สายก็เลยตัดไป ฉันชะเง้อคอมองตรงบริเวณลิฟต์ เฝ้ารอว่าเขาจะลงมา และก็เป็นจริง พี่เตชินท์ลงลิฟต์มา และสีหน้าของเขาที่เห็นฉันนั้น...บอกบุญไม่รับสักเท่าไร
“เร็วจัง...” ฉันพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจที่เขาลงลิฟต์มาเร็วมาก แต่พี่เตชินท์กลับยื่นมือมากระชากแขนของฉันให้เข้าไปในลิฟต์ด้วยความรวดเร็ว
“ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองกำลังเป็นข่าว!”
“ระ รู้ ทำไมต้องตะคอกด้วย อยู่กันสองคนนะ ไม่ได้อยู่ไกลกันสักหน่อย” ฉันยิ้มให้กับพี่เตชินท์ ก่อนที่พี่เขาจะพ่นลมหายใจออกมาราวกับหมดคำพูดที่จะพูดกับฉันแล้ว สายตาคมเลื่อนลงต่ำ เขามองแผลที่หัวเข่าของฉัน
“หายดีแล้ว?”
“เป็นห่วงเหรอคะ” ฉันยิ้มกรุ้มกริ่มพลางบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย ทว่า
“หึ...” เขากลับหัวเราะพร้อมกับทำหน้าเอือมระอาเต็มทน ก่อนที่ฉันจะพูดสิ่งที่อยากบอกเขา
“คือฉันมีเรื่องเครียดแล้วนอนไม่หลับ ก็เลยอยากปรึกษาจิตแพทย์”
“พ่อเธอก็เป็นจิตแพทย์...พลอย”
“อ้าว...ลืมไปเลย” ฉันยกมือขึ้นลูบต้นคอด้วยความเคอะเขิน เพราะว่าข้ออ้างของฉันใช้ไม่ได้ผล
“ฉันไม่อยากรบกวนพ่อ กลัวว่าพ่อจะเครียดค่ะ”
“แล้วเธอไม่คิดว่าพี่จะเครียด?” ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เป็นจังหวะพอดีที่ลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้นที่พี่เตชินท์อยู่
“งั้นฉันกลับก็ได้...” ฉันว่าเสียงอ่อน ก่อนที่คิ้วหนาของพี่เตชินท์จะย่นเข้าหากัน
“จะกลับยังไง เธอมายังไง”
“ให้คนที่บ้านมาส่งค่ะ...” เขาพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับมองหน้าฉันด้วยแววตาไร้ปัญญาจะพูดด้วย
“แล้ว?”
“เขากลับแล้ว...”
“หึ”
“แต่ฉันก็เรียกแท็กซี่กลับไปได้”
“ในสภาพนี้ ในสภาพที่ตัวเองเป็นข่าวดังทั่วประเทศ?”
“เป็นห่วงเหรอคะ” ฉันเดินตามแผ่นหลังหนามาที่ห้องของเขา เราสองคนหยุดชะงักฝ่าเท้า และเขาก็จ้องหน้าฉันนิ่งเลย
“ไม่ได้เป็นห่วง แค่เป็นคนดีคนหนึ่งที่คิดว่าเธออาจจะโดนใครทุบหัวเข้าให้”
“_”
“แล้วไม่ห่วงตัวเองเลยว่างั้นเถอะ...รู้ไหมว่ากำลังมาหาผู้ชาย”
“ระ รู้...” ฉันว่าเสียงสั่น รู้ว่าจะมาหาผู้ชายอยู่แล้ว เพราะว่าอยากมาหาพี่เตชินท์ที่เป็นผู้ชาย ทว่า
“ผู้ชายแบบพี่อีกด้วย”
“แบบพี่?” เขาสบตากับฉันโดยไม่ได้ตอบอะไร พี่เตชินท์กดรหัสห้องของเขาก่อนจะเดินเข้าไป ซึ่งฉันก็รีบแทรกตัวเข้าไปตามในทันที “แบบพี่เป็นแบบไหนคะ ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าพี่ไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกับคนทั่วไป”
“_” ร่างหนาไม่ตอบแต่กลับเดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาวกลางห้องนั่งเล่น พี่เตชินท์หยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมพร้อมกับเปิดแล็ปท็อปออกมาราวกับว่ากำลังจะทำงาน ปล่อยให้ฉันยืนอ้าปากเหวอด้วยความมึนงงกับคำพูดของเขาก่อนหน้า ซึ่งฉันก็ถือโอกาสนี้หมุนไปมองรอบกายเพื่อสำรวจห้องของเขา คอนโดของพี่เตชินท์มีสองห้องนอน สามห้องน้ำ ก็คือเพนท์เฮาส์ที่ใหญ่มาก ๆ เลยล่ะ
“ฉันมารบกวนใช่ไหมล่ะ” พอไม่รู้ว่าจะทำอะไรฉันก็เลยเอ่ยปากพูด พร้อมกับเม้มริมฝีปากด้วยความเลิ่กลั่กที่ไม่มีอะไรทำ ทว่า
“โทรบอกให้คนขับรถมารับ” ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากพูด
“ฉันอยากนอนนี่” ฉันตอบกลับเขา แม้ว่าที่เขาพูดเขาจะไม่ได้เงยหน้ามองฉันก็ตามแต่ “พี่มีตั้งสองห้องแหนะ”
ฉันว่าพร้อมกับถือวิสาสะเดินไปที่หน้าห้องห้องหนึ่ง น่าจะเป็นห้องนอนที่เขาไม่ได้ใช้ หรือว่าเขานอนสลับห้อง ทว่าระหว่างที่ฉันกำลังจะยื่นมือไปจับลูกบิดเพื่อเปิดประตูห้อง พี่เตชินท์ก็ตะโกนเรียกฉันเสียงดัง
“พลอย!!” ฝ่ามือของฉันชะงักอัตโนมัติ ก่อนที่ฉันจะหันไปมองพี่เตชินท์ที่วางแล็ปท็อปลงที่โต๊ะกระจก เขาลุกพรวดขึ้นพร้อมกับเดินมาหาฉัน
“มะ มีอะไรคะ ฉันตกใจหมดเลย” ฉันถอยหลังกรูดที่อยู่ ๆ พี่เตชินท์ก็เข้าประชิดตัวฉัน ท่าทีของเขาตื่นตระหนกมาก ๆ
“ทำอะไร!”
“ขะ ขอโทษค่ะ ก็แค่จะเปิดประตูห้อง...เอ่อ ห้องนอนพี่” ฉันตอบเสียงกระท่อนกระแท่น รู้สึกตกใจที่ตอนนี้เขารั้งตัวฉันเข้าใกล้เพียงเพราะไม่อยากให้ฉันเข้าใกล้ประตูนั้น
“พี่อนุญาตหรือไง” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเขาผ่านกรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงพร้อมกับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
“ขอโทษค่ะ ฉันคิดว่าเราสนิทกันมากแล้ว แล้วก็คิดว่ามันก็แค่ห้องนอน...” ฉันพึมพำออกมาเสียงแผ่วเบาและคิดว่าเขาก็น่าจะได้ยิน ทว่าเขากลับไม่ตอบ พี่เตชินท์เงียบจนฉันต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกค่ะ”
“_”
“ขอโทษนะคะ ฉันมันไม่รู้เรื่องอีกแล้ว” นึกโทษตัวเอง เพียงเพราะฉันคิดไปเองด้วยแหละว่าเขาคงไม่โกรธและก็คิดว่าเราสนิทกันมาก ๆ แต่ลืมไปว่าสนิทมากแค่ไหนก็ไม่ควรก้าวก่ายและทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้ ทว่า
ทำไมเขาเงียบไปนะ
“พี่เต...” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง เพราะเขาเงียบและเอาแต่จ้องมองหน้าของฉัน “ปะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“_”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจและก็จะไม่ทำอีก”
“ทำไมทำแบบนี้...”
“คะ?”
“อึก...รีบโทรบอกคนขับรถให้มารับ” พี่เตชินท์ปล่อยแขนออกจากมือของฉัน เขายกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้า ราวกับว่ากำลังเรียกสติ และเมื่อครู่ฉันได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของเขาเต็มสองรูหูเลยล่ะ
“ก็ได้ค่ะ...” แม้ว่าจะอยากนอนที่นี่แต่สีหน้าของพี่เขาคือไม่เต็มใจเอามาก ๆ ฉันก็เลยยอมถอยไปก่อนวันนี้ ทว่า
“ไม่มีคนรับเลยค่ะ” ฉันยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาคนขับรถรวมถึงแม่บ้านทุกคนแล้ว แต่กลับไม่มีคนรับเลย “น่าจะนอนกันหมดแล้ว”
“เธอ...เป็นแบบนี้ทุกทีเลยสินะ” เขาหันมามองฉันอีกครั้ง ก่อนที่พี่เตชินท์จะเดินไปหยิบเอาฮู้ดมา
“พี่จะไปส่งฉันเหรอคะ...”
“_”
“ฉันอยากนอนที่นี่ มีเรื่องอยากเล่าให้พี่ฟัง ยังไม่ได้เล่าเลย” ฉันก้มหน้าลง เพราะว่าพี่เตชินท์จะไปส่งฉันจริง ๆ ฉันไม่ชอบโดนผลักไสแบบนี้เลย
“แล้วเธอคิดยังไงถึงมาหาผู้ชายดึกดื่นแบบนี้”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่จะทำอะไรฉันก็ทำได้เลย ฉันพร้อมให้พี่ตลอด” พี่เตชินท์ชะงักไปในทันที ฉันรู้แหละว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่ก็นิ่งไปแถมลมหายใจของเขาก็ติดขัด
“ฉันก็อายุเยอะแล้วด้วย ยังซิงอยู่เลย”
“_”
“รอพี่มานานจนจะเหี่ยวอยู่แล้วเนี่ย” ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเอาความหน้าด้านมาจากไหน แต่มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ฉันอายุเลยสิบแปดมาแล้ว เรื่องแบบนี้มันเข้าใจกันได้
“พูดอะไรก็คิดบ้างได้ไหม”
“คิดแล้ว”
“_”
“ทำไมล่ะ...” ฉันเดินเข้าไปใกล้พี่เขา แต่พี่เตชินท์กลับก้าวขาถอยหลัง “ทำไมไม่สนใจฉัน”
“_”
“ฉันสวย ฉันเซ็กซี่มาก ๆ ใคร ๆ ก็บอกฉันอย่างนั้น”
“ก็เพราะเธอเป็นแบบนั้นไง!!” ฉันชะงักฝ่าเท้า เพราะดูเหมือนว่าพี่เตชินท์จะโกรธมากจริง ๆ
“งั้นก็อย่าไล่ฉันสิ”
“_”
“ฉันอยากได้ที่ปรึกษา ตอนนี้ข่าวฉันไม่ดีเลย งานก็โดนยกเลิก สินค้าก็ถอดฉันออกจากการเป็นพรีเซนเตอร์ ในโซเชี่ยลก็มีแต่คนด่าฉัน คุณแม่ก็ผิดหวังในตัวฉัน คุณพ่อก็เครียด ฉันไม่มีทางออกเลย...อึก ฉันก็แค่อยากมาหาพี่”
“_”
“...แค่นี้ไม่ได้เหรอ” ว่าแล้วความอ่อนแอก็เข้ามาปกคลุมฉันอีกครั้ง แต่ทำไมมันไม่เหมือนละครที่ฉันเคยเล่นเลยล่ะ ทำไมพี่เตชินท์ไม่รั้งฉันไปกอด ทว่ากลับโยนฮู้ดให้ฉันแทน
“ไปนอนห้องนั้น”
“คะ...”
“ห้องนั้น” ฉันหันไปมองห้องห้องหนึ่งที่พี่เข้าพยักพเยิดหน้าให้ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“แล้วพี่นอนไหนคะ”
“นอนนี่...”
“โซฟาเหรอ”
“อืม...”
“ทำไมไม่นอนห้องนี้ มันไม่ใช่ห้องนอนเหรอ” ฉันเอ่ยถามอีกครั้ง ยิ่งเขาทำหน้าแบบนี้ฉันก็ยิ่งสงสัย พี่เตชินท์เดินเข้ามาขวางหน้าฉันไว้ไม่ให้ฉันเดินไปห้องที่เขาไม่ให้ฉันแตะประตูเมื่อครู่
“มันไม่ได้เก็บของ”
“เหรอ...ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่ใช่ พี่หมายถึงว่ามันไม่มีฟูกนอน เธอไปนอนห้องนั้น พี่นอนโซฟา อย่าดื้อ...เชื่อพี่”
“แต่...”
“พลอย” ฉันหุบปากลงไปในที่สุด พี่เตชินท์เข้าประชิดตัวฉันอีกครั้งโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะเอ่ยปากพูดเน้นย้ำทีละคำ “เข้า! ห้อง! ไป! นอน!”
“_”
“...พี่เตือน” พี่เตชินท์พูดชัดถ้อยชัดคำ เขาย้ำคำว่าเตือนจนใจของฉันกระตุกวูบ ก่อนที่ฉันจะพยักหน้ารับแล้วก็ยอมเดินไปที่ห้องนอนที่เขาให้นอนแต่โดยดี...รู้สึกกลัวยังไงก็ไม่รู้