ร่างสองร่างเดินลงมาจากรถม้าประจำราชวงศ์ สตรีงดงามอ่อนช้อยปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มผู้หล่อเหลา ภาพเบื้องหน้าพวกเขาทั้งคู่นั้นเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่จะรู้หรือไม่ว่าในใจของหลันฟู่อิงนั้นมิได้อยากจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้ ทันทีที่เท้านางก้าวลงจากรถม้า เสียงสรรเสริญถูกกล่าวให้นางและลู่เฉิงดังกึกก้อง
“ถวายบังคมแด่องค์ไทจื่อลู่เฉิง และพระชายาหลันฟู่อิงพ่ะย่ะค่ะ”
นางที่ไม่รู้ธรรมเนียมการปฏิบัติตัวในวังได้แต่ยืนนิ่งด้วยความประหม่า คิดเสียว่ามาเดินงานพรมแล้วกัน ว่าแล้วร่างบางก็เชิดหน้าขึ้นพร้อมโปรยรอยยิ้มเป็นมิตรให้กับเหล่าทหารองครักษ์ นางกำนัล ขุนนางทั้งหลายที่ออกมายืนต้อนรับ พวกเขาต่างมองนางด้วยสายตาชื่นชมและหลงใหลให้กับนาง หากนางโบกมือเยี่ยงนางงามได้นางคงทำไปแล้วหากแต่โดนสายตาดุดันมาจากคนข้างกายนางจำต้องปล่อยมือลง
“หุบยิ้มเสีย! ทำท่าทางอันใดของเจ้า” ลู่เฉิงกระซิบถามนาง กิริยาท่าทางของนางช่างแปลกยิ่งนักอีกทั้งพวกมันยังกล้ามาส่งสายตาหยาบคายกับพระชายาของเขา
“เรามิต้องยิ้มรับให้กับพวกเขารึเพคะ พวกเขาอุตส่าห์ออกมาต้อนรับ” หลันฟู่อิงหันไปถามเขาด้วยแววตาใสซื่อ พลางหันไปส่งยิ้มให้กับทหารฝั่งหนึ่ง เมื่อพวกเขาเห็นนางก็รีบก้มลงด้วยใบหน้าเขินอาย คิกคิก เรทติ้งของเราก็ยังไม่ตกนี่นา
“สำรวมด้วยเจ้าเป็นถึงพระชายาของว่าที่องค์จักรพรรดิองค์ถัดไป มิใช่จะยิ้มรับไมตรีแสดงท่าทีอ่อนโยนให้ผู้ใดก็ได้”
“จะให้ข้ายิ้มให้แต่เพียงพระองค์หรืออย่างไรเพคะ”
“ก็ดี หุบยิ้มเสียก่อนจะไม่มีปากให้ยิ้มอีก”
หลันฟู่อิงหุบยิ้มทันควันเมื่อลู่เฉิงกล่าวเสียงน่ากลัวออกมา ร่างกายสั่นไหวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน อะไรของเขากันกินรังแตนมาหรืออย่างไร นางละสายตาจากเขา ไม่อยากจะคิดถึงมันอีก เมื่อประตูถูกเปิดออก หลันฟู่อิงหยุดมองภาพตรงหน้าความตื่นตาตื่นใจทันทีเมื่อภายในนั้นดูกว้างขวางกว่าภายนอกที่เห็นเป็นอย่างมาก นางเห็นสวนมากมายที่สวยงามและบ่งบอกว่าถูกดูแลเป็นอย่างดี เมื่อเข้าข้างในนางได้กลิ่นของดอกไม้ป่าลอยตามมากับสายลม
ลู่เฉิงดึงมือของนางมากอบกุมไว้
“เห้ย! จับมือทำไมเพคะ” หลันฟู่อิงร้องตกอกตกใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน นางกล่าวด้วยท่าทีระแวง ลู่เฉิงเลิกคิ้วมองนางที่ทำท่าราวกับแมวขนพอง ร่างสูงยิ้มเย็น “อยากให้เสด็จแม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเรารึอย่างไร”
หลันฟู่อิงถึงกับร้อง อ้ออ ในใจ นางกับเขาแยกตำหนักนอนกันมาเป็นสัปดาห์แล้ว ต่างคนต่างแทบไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน หากฮองเฮาทรงรู้เข้าคงไม่วางพระทัยเป็นแน่ นางพยักหน้ารับให้กับคำพูดของเขา นางกระชับมือใหญ่ไว้มั่น พร้อมกับเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย อย่างไรก็ต้องคงภาพลักษณ์สามีภรรยาที่ดีไว้ก่อนสินะ
เมื่อคนทั้งสองเข้ามาถึงภายใน ตรงกลางมีชายกับหญิงวัยกลางคนนั่งประทับอยู่ นางรับรู้ได้เลยว่าลู่เฉิงและเจินซือนั้นได้ความหล่อเหลามาจากผู้ใด เรียกได้ว่าหล่อเหลากันทั้งตระกูล หลันฟู่อิงยอบกายถวายบังคมต่อองค์จักรพรรดิและฮองเฮา
“ฮ่าๆ ตามสบายเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ลู่เฉิงเดินไปนั่งที่ตั้งใกล้กับทั้งสอง โดยมีหลันฟู่อิงเดินตามไปติดๆ นางเลือกที่นั่งตรงข้าม แต่ยังไม่ทันที่ก้นจะถึงเบาะ เสียงกระแอมจากลู่เฉิงก็ดังขึ้นเสียก่อน “อะแฮ่ม! พระชายา” ลู่เฉิงเหล่ตามองไปทาที่ว่างใกล้เขา หลันฟู่อิงเด้งตัวลุกขึ้นทันควันหันหน้าไปยิ้มแห้งให้กับฮองเฮาและองค์จักรพรรดิที่มองพวกเขาทั้งสองคนอยู่ก่อนแล้ว
“โอ๊ะจริงๆ เลย! หม่อมฉันสติเลอะเลือน ต้องนั่งข้างไทจื่อสินะเพคะ แฮะๆ” หลันฟู่อิงยิ้มแห้ง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาลู่เฉิงแล้วนั่งตรงข้ามเขา
“ได้ยินมาว่าพระชายาประชวรอยู่เกือบอาทิตย์จริงหรือไม่” หลันฟู่อิงหันไปยังลู่เฉิง “พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ นางล้มป่วยไปหลายอาทิตย์ข้าจึงให้พักอยู่แต่ภายในตำหนัก” ลู่เฉิงกล่าวหน้าตาย
“อืม เป็นเช่นนั้นรึ แล้วเจ้าดีขึ้นรึยังละอิงเอ๋อ”
“ดีขึ้นแล้วเพคะ ไทจื่อส่งคนมาดูแลหม่อมฉันอย่างดี” นางกล่าวพร้อมยิ้มปกปิดความไม่สบายใจนี้
“พวกเจ้าทั้งสองเข้ากันได้ดีถึงเพียงนี้เชียว ข้าดีใจแทนฟูเหยายิ่งนัก” ฮองเฮากล่าวด้วยรอยยิ้มพอใจยังครับไม่ทำแบบบ้านเยอะ
ฟูเหยา ..ท่านแม่ของหลันฟู่อิง ในความทรงจำของหลันฟู่อิงนั่นมีเกี่ยวกับนางน้อยมาก แต่มีครั้งหนึ่งที่ท่านพ่อของนางพูดถึงฟูเหยา แต่นางร้ายผู้นี้กลับแสดงท่าทีแข็งกล้าวจนผู้เป็นพ่อเลิกพูดถึงเรื่องท่านแม่ของนางไป
ที่แท้ท่านแม่เป็นสหายคนสนิทของฮองเฮานี่เอง เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงได้หมั้นหมายกับลู่เฉิงมาตั้งแต่เด็ก ที่แท้แม่ของหลันฟู่อิงก็ได้ฝากฝังนางไว้กับฮองเฮานี่เอง ถึงต่อให้ร้ายกาจเพียงใดนางก็ยังอยากให้หลันฟู่อิงเป็นพระชายาเพราะทำตามสัญญาอะไรแบบนั้นรึเปล่านะ
หลันฟู่อิงระบายยิ้มให้กับหญิงวัยกลางคนที่ดูอย่างไรก็เหมือนสตรีวัยไม่ถึงเลขสาม หากนางสามารถขอหย่าได้เล่า แต่มันจะข้ามขั้นไปหรือไม่ หลันฟู่อิงชั่งน้ำหนักต่างๆ ภายในใจ สายตาก็แอบมองบุรุษข้างกายที่นั่งปั่นหน้ายากอยู่ข้างๆ เขาก็คงอึดอัดใจเช่นกัน
“คือว่าฮองเฮา หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลเพคะ”
“เรียกสเด็จแม่เถิด อย่างไรข้าก็เห็นเจ้ามาแต่ตั้งแต่เล็ก ยามเจ้าวัยน้อยๆ น่ารักน่าชังตามติดลู่เฉิงต้อยๆ ข้าไร้วาสนาไม่สามารถมีบุตรีได้เช่นนี้ เจ้าเป็นลูกของฟูเหยาเช่นนั้นย่อมเป็นลูกของข้าด้วย” ฮองงเฮากล่าวพลางยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนาง ใจนางพลันห่อเหี่ยวลงทันที
“คือหม่อมฉันอยากหยา “สายตาเหลือบมองรอยยิ้มของฮองเฮา ตอนนี้นางเห็นเป็นเอฟเฟควิบวับประกอบด้วยฉากหลังเป็นดอกไม้ฟรุ้งฟริ้ง
อึก นางกลืนคำว่าหย่าลงคอในทันใด “หยา.. อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยเพคะเสด็จแม่ ทำเช่นไรถึงได้สวยวันสวยคืนถึงเพียงนี้ สวยคงกระพันมากเลยเพคะ อยากรู้วิธีเลยเพคะ หะฮะฮ่าฮ่า”
“ช่างพูดช่างเจรจานัก”
“นั่นสิ ฮะฮ่าฮ่า”
“แต่สวยมากจริงๆ นะเพคะ มีสูตรลับอะไรรึเปล่าเพคะ”
“เช่นนั้นก็มาหาข้าได้บ่อยๆ ยามฝ่าบาทว่าราชการข้าจะได้มีเพื่อนคุย”
“ขอบพระคุณเพคะเสด็จแม่ ข้ามีสูตรในการบำรุงผิวมากมาย ข้ารับประกันเลยว่าท่านต้องชอบแน่เพคะ”
องค์จักรพรรดิและฮองเฮาต่างรู้สึกเอ็นดูในตัวของหลันฟู่อิงมากนัก แม้จะได้ยินข่าวลือของนางมามากมาย แต่เมื่อได้สัมผัสกับตัวจริงของนางอีกครั้งกลับไม่ได้ต่างจากตอนที่นางยัวเป็นเด็กเลย ช่างสดใสร่าเริงตรงกันข้ามกับลูกชายตัวดีของนางยิ่งนัก ที่ยิ่งโตก็ยิ่งดื้อรั้นไม่ฟังแม่ ฮองเฮามองไปยังบุรุษของกายของหญิงสาว ที่กำลังมองไปยังดวงหน้างามของพระชายาของตัวเอง
“อะแฮ่ม จ้องน้องจนทะลุแล้วกระมังไทจื่อ”
หลันฟู่อิงหันไปมองตามอย่างรวดเร็วแต่กลับพบว่าใบหน้าหล่อคมคายนั้นเรียบเย็นผิดปกติ จ้องจะฆ่าหนะหรือเพคะ! หลันฟู่อิงเฉหน้ามองไปทางอื่นแทน นางเม้มปากแน่นไม่กล้าแม้แต่จะคุยเล่นต่อกับฮองเฮา ที่เขาดูเย็นชาเช่นนี้หรือนางจะพูดมากไปกัน
อันที่จริงแล้วลู่เฉิงนั้นนิ่งค้างไปชั่วขณะเมื่อเผลอมองรอยยิ้มอันสดใสของนาง พอมองใกล้ๆ แล้วตอนนางยิ้มเป็นเช่นนี้เองรึ จนเขาเองก็เผลอมองไปอย่างไม่รู้ตัว
“ฮึ่ม พระชายาควรวางตัวให้ดี มิใช่คุยเล่นหยอกเย้าผู้ใหญ่ไปมา”
“ข้าไม่ถือ ข้าชอบนักข้าจะได้ไม่เบื่อ วังของเราดูมีสีสันขึ้นเยอะเลยจริงไหมเพคะเสด็จพี่”
“นั่นสิ ตำหนักอึดอัดหรือไม่ หากไม่สะดวกสบายตรงไหนบอกข้าได้” องค์จักรพรรดิกล่าว นางอมยิ้มอาการประหม่าเพราะสายตาของลู่เฉิงหายไปแทบจะทันที สาวช่างคุยอย่างนางมีหรือจะปล่อยไป นางไม่ได้นั่งคุยกับใครแบบนี้มาตั้งแต่นางเข้ามาในร่างนี้แล้ว
“ไม่เลยเพคะ ตำหนักนั้นสบายเป็นอย่างมาก เตียงก็ใหญ่หม่อมฉันนอนหลับสบายทุกคืน”
“แล้วพวกเจ้านอนตำหนักเดียวกันหรือไม่”
“ไม่เพคะ”
“นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หลันฟู่อิงและลู่เฉิงหันหน้ามามองหน้ากันแทบจะทันทีที่คำพูดที่ตอบออกมานั้นเรียกได้ว่าตรงข้ามกันอย่างที่สุด อ้าวเห้ย! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า เพลงของพี่ตอมโซโล่เข้ามาในหูของนางทันที ฮองเฮาที่มีหูตาอยู่ทั่วทั้งพระราชวังมีหรือที่นางจะไม่รู้ หลันฟู่อิงนางกำชายกระโปรงแน่นกลัวจะมีความผิดจนเหงื่อไหลพราก ลู่เฉิงกัดฟันหลับตาสงบสติอารมณ์ เขาคิดไม่ถึงว่าเสด็จแม่จะส่งคนตามดูพวกเขาถึงขนาดนี้
“นำคำสั่งของข้าลงไป หากองค์ไทจื่อหนีออกไปนอนนอกตำหนักที่มิใช่ตำหนักพระชายาจงจับตัวเขามาลงโทษเสีย ข้าจะเป็นคนสั่งโทษไทจื่อด้วยตัวข้าเอง”
เมื่อได้ยินคำตรัสจากเสด็จแม่ของตัวเอง ลู่เฉิงลุกขึ้นทันควันราวกับต้องการประท้วง “เสด็จแม่! ข้าเป็นลูกท่านนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าเคยบอกเจ้าให้ดูแลน้องให้ดี เจ้ากลับละทิ้งนางไว้ในตำหนักกักขังนางมิให้ออกไปที่ใด”
“นั่นมันก็”
“อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้ารังแกน้องอีก”
“!” ลู่เฉิงไม่อาจจะต่อกรกับเสด็จแม่ของนางได้ และเมื่อครั้นจะหันไปพึ่งเสด็จพ่อ เสด็จพ่อกลับไม่มองตาเขาแม้แต่น้อย
เหล่าองค์รักษ์ที่ตามติดองค์ไทจื่อและเหล่าองครักษ์ภายในวังคุกเข่าพร้อมกันน้อมรับคำสั่งขององค์ฮองเฮา ลู่เฉิงเดินหนีออกไปด้านนอกด้วยอารมณ์ขุ่นมัวใบหน้าขวดมุ่น จนคิ้วแทบจะชนกัน นางแอบอมยิ้มตาม นางอยากจะปรบมือให้กับความเท่บาดใจขององค์ฮองเฮา แบ็คนางโคตรใหญ่ ใหญ่กว่าองค์จักรพรรดิเสียอีก!
หึ สมน้ำหน้าต้องมานอนกับนางคนที่ท่านไม่รัก! เอ้ะ แต่เดี๋ยวก่อน ต้องมานอนห้องเดียวกันกับนางมิใช่รึ! หลันฟู่อิงได้สตินางรีบหันไปทำท่าจะอ้าปากกล่าวกับฮองเฮา
“เสด็จแม่เพคะ”
“ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ไทจื่อเป็นคนปากแข็งสักวันเขาจะยอมใจอ่อนกับเจ้าเอง”
“คือว่า”
“ส่วนเจ้าอิงเอ๋อ ก็จงปฏิบัติตนกับพี่เขาให้ดี สตรีที่งดงามช่างเอาใจมีหรือที่บุรุษจะไม่ชอบ ยามพี่เขาเพิ่งตรวจตราเสร็จก็จงนำของว่างสำรับน้ำชาไปรอท่า เชื่อแม่เถิดได้ผลชะงัดนัก”
ฮองเฮากล่าวพลางหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับองค์จักรพรรดิ หลันฟู่อิงได้คงต้องยอมแพ้ เมื่อรู้ดีว่าใครนั้นใหญ่วัดในวังหลวงแห่งนี้ ฮองเฮาช่างเก่งกาจจริงๆ น่านับถือ
“อิงเอ๋อน้อมรับคำสั่งเพคะเสด็จแม่” นางจำต้องยอมแพ้ก่อนจะคำนับลง แม้จะมีน้ำตาตกใน คิดจะหนีไปให้ไกลแต่กลับใกล้กันมากกว่าเดิมเสียได้