“ดื่มยาก่อนเถิดเพคะ”
หลันฟู่อิงยื่นมือไปรับถ้วยหนึ่งมาจากเหมยเหมยก่อนจะกระดกรวดเดียวหมด “อุแหวะ ขมปี๋เลย”
“อมนี่ก่อนเถิดเพคะจะช่วยลดความขมลงได้”
นางรับก้อนกลมๆ สีแดงมาจากเหมยเหมย มันดูคล้ายกับลูกอมในยุคสมัยของนาง นางอมมันไว้ความหวานจากลูกอมทำให้ความขมจากยาเมื่อสักครู่นี้เจือจางลง
“ข้าไม่อยากจะกินยานั่นอีกแล้ว เหอะ!”
นางไม่คิดเลยว่านางจะตายง่ายดายขนาดนี้! สะดุดขาตัวเองแล้วตกท่อตายเนี่ยน้ะ! จะตายทั้งทีให้ตายดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง ก่อนจะตายนั้นยังไม่ทันได้ฟังนิยายดราม่าโลกแตกที่เพื่อนนางมาเม้าให้ฟังจนจบเลย! อะไรคือการที่นางร้ายต้องทำตัวร้ายกาจวุ่นวายกับพระเอกที่ไม่ได้รักนางด้วย! เปิดเรื่องมาตัวนางร้ายก็จับพระเอกกินซะแล้ว ยังไม่พอพ่อพระเอกนี่ก็เหลือเกินยังพยายามไปหานางเอกจนได้! แกรมีเมียแล้วนะเว้ยยย แต่เอาเถอะมันนิยายดราม่าโลกแตกไงแต่ยังไม่ทันจะฟังจบ ภาพและเสียงก็ตัดไปเสียดื้อๆ ! และมาโผล่อีกทีในโลกของนิยายที่เพื่อนเธอเพิ่งเม้าไป แต่เกิดมาเป็นอะไรก็ได้ทำไมต้องมาอยู่ในร่างของนางร้ายอย่าง หลันฟู่อิง ที่จะตายอย่างอนาถด้วย นางจะสามารถหาหนทางใดที่จะหนีจากพระเอกเลือดเย็นนั่นได้บ้างไหมนะ
หญิงสาวบนเตียงขมวดคิ้วมุ่นให้กับความคิดของตัวเอง พลางลูบเนื้อที่ปูดออกมาเล็กน้อยของตัวเองป้อยๆ
“อูยเจ็บๆ”
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ หะ ให้หม่อมฉันนำยามาให้ดีหรือไม่เพคะ”
นางหันไปมองเหมยเหมยที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง เหมยเหมยที่ได้ประสบกับสายตานิ่งเงียบของคุณหนูของนาง นางรีบก้มหน้าหมอบลงกับพื้นเมื่อรู้ตัวว่าได้เผลอที่สิ่งที่ผิดพลาดลงไป พระชายามิชอบให้นางยุ่งย่ามเรื่องของตัวเอง ยิ่งยามที่โดนบุรุษในดวงใจของนางทำร้ายจนนางร้องไห้เช่นนี้ นางมักจะมีโทสะจนสั่งนางโบยเสียทุกที นางรู้ว่าพระชายาเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีนักนางไม่ต้องการให้ใครมาแสดงอาการสงสารนาง
‘จับนางโบย! คราใดที่เจ้าปฏิบัติกับข้าเฉกเช่นสตรีอ่อนแออีกเจ้าก็จักโดยโบยเยี่ยงนี้ร่ำไป!’
เหมยเหมยยังคงจำประโยคนั้นได้จับใจ นางโดนโบยจนจับไข้ไปหลายวัน แต่นางรับรู้ว่าพระชายานั้นเศร้าโศกและน่าสงสารเพียงใด นางจึงไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจมากนัก แต่แล้วน้ำเสียงหวานใสจากนายของนางทำให้นางต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ
“อื้อ เจ้าเป็นสาวใช้ข้าใช่หรือไม่ ข้าเจ็บมากเลยข้าไม่น่าโขกหัวตัวเองแรงขนาดนั้น รีบๆ เอายามาให้ข้าที”
“ดะ ได้เจ้าคะ หม่อมฉันจะรีบไปนำมาเดี๋ยวนี้”
เหมยเหมยรีบเดินออกมาพร้อมกับไปนำยามาให้หลันฟู่อิงในตำหนัก เมื่อมาถึงหญิงสาวบนเตียงก็รีบกวักมือเรียกนางเข้าไปก่อนจะตบพื้นที่ว่างข้างๆ พร้อมกับระบายรอยยิ้มกว้างให้กับนาง
“เจ้ามานั่งตรงนี้สิ จะได้ทาให้ข้าได้ถนัดมือ”
“พะ เพคะ จะดีหรือเพคะพระองค์มิชอบให้ข้ารับใช้ถูกตัว”
“ข้าไม่ถือๆ ให้ข้าทาเองข้าก็มองไม่เห็นหรอกเจ้าทาให้ข้าแทนเถิด”
เหมยเหมยในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจปนสงสัย เหตุใดพระชายาของนางถึงมีท่าทีเยี่ยงนี้กัน บรรยากาศรอบตัวนางนั้นดูสบายตาลงหลายส่วน เหมยเหมยนั่งลงข้างนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ นางเปิดฝาที่บรรจุขี้ผึ้งข้างในก่อนจะค่อยๆ ป้ายบนแผลบนหน้าผากมนของหลันฟู่อิง
“เหมยเหมยใช่หรือไม่”
“ใช่ เพคะ” แม้นางจะแปลกใจเหตุใดพระชายาจึงจำนางไม่ได้แต่ก็ขานรับนางไปทันที
“เจ้าว่าข้าจะทำอย่างไรให้ลู่เฉิงยอมหย่ากับข้างั้นรึ”
“พระชายา! อย่าพูดเช่นนี้เลยหากใครมาได้ยินเข้า”
“คิกคิก ไม่มีใครดักฟังเราหรอกน่า เอ้ะ! หรือว่าไอหน้าหล่อนั่นแอบส่งนักฆ่ามาลอบฆ่าข้าแถวนี้งั้นรึ”
หลันฟู่อิงหันซ้ายหันขวาแววตาสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก แต่เหมยเหมยกลับหน้าซีดยิ่งกว่า “ข้าล้อเจ้าเล่น! หน้าซีดเชียว”
หลันฟู่อิงหันกลับมายิ้มกว้างพร้อมหัวเรอะเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้านางหน้าไร้เลือดฟาดไปแล้ว
“ชั่งเถิด ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น แต่เรื่องที่ข้าอยากหย่ากับเขานั่นเรื่องจริง”
“!!” ในใจเหมยเหมยมีแต่ความสงสัย พระองค์ทรงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตบแต่งเข้าตำหนักองค์ไท่จื่อ เหตุใดจึงคิดเปลี่ยนใจกัน
“หากข้ายังอยู่ใกล้เขาเช่นนี้ เขาคงฆ่าข้าตายสักวันข้ามีชนักติดหลังมากมาย ยิ่งเรื่องเสียนอวี้แล้วเจ้ามิคิดรึว่าเขาจะไม่รู้ว่าข้าเคยวางแผนจะฆ่านางในดวงใจของเขา”
“มะ หม่อมฉันว่าองค์ไท่จื่อมิได้คิดร้ายต่อพระชายาหรอกเพคะ เสร็จแล้วเพคะ” เหมยเหมยแม้จะพูดเช่นนั้นแต่ในใจนางกลับหวั่นเช่นกันเมื่อนึกถึงคราวที่นางถูกจับได้ตอนอยู่หน้าโรงหมอหลวง
เมื่อเหมยเหมยทายาให้นางเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นมายืนขนาบข้างเตียงของนาง
“ขอบใจ แต่เจ้าไม่รู้อะไรลู่เฉิงหนะต่อให้เป็นพระเอกในโลกนี้แต่เป็นตัวอันตรายต่อนางร้ายเชียวนะ”
“นางร้ายหรือเจ้าคะ”
“ก็ข้านี่ไง ข้าไม่ใช่นางร้ายหรอกรึ”
“ตายแล้ว มะ ไม่จริงนะเจ้าคะ พระชายาเป็นหญิงที่เข้มแข็งและสง่างามที่สุดเท่าที่หม่อมฉันเคยเห็นมา ทรงสง่างามดุจหงส์ฟ้ามิมีใครกล้าคิดว่าพระองค์เป็นนางมารร้ายนะเจ้าคะ” เหมยเหมยรีบคุกเขาลงก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่มีแต่ความเห็นใจ นางมิได้โป้ปดนางพูดจากใจจริงของนาง
“แต่ข้าเที่ยวทำร้ายสตรีที่เข้าหาลู่เฉิงมิใช่รึ แถมยังคิดจะวางยาพิษแม่นางเสียนอวี้อีก”
“นะ นั่นก็”
“ข้ารู้ตัวว่าข้านั้นร้ายกาจ แต่หลังจากที่ข้าเข้ามาแล้วข้าจะไม่ยอมตายอย่างอนาถในตอนท้ายเรื่องแน่ หึ หากเจ้าลู่เฉิงนั่นมิคิดจะญาติดีกับข้า สิ่งที่พอจะคุ้มครองข้าได้ก็ต้อง! .....เข้าทางแม่ใช่รึไม่!”
หลันฟู่อิงยกยิ้มมุมปากให้กับความคิดที่ชาญฉลาดของตัวเอง หากนางได้รับความชอบจากฮองเฮาผู้ที่เป็นแม่สามีของนางแล้วละก็ นางอาจจะอยู่รอดปลอดภัย ลู่เฉิงคงไม่กล้าคิดจะเทียบทัดอำนาจของเสด็จแม่ของเขาเป็นแน่
“ข้าจะไปพบฮองเฮาเดี๋ยวนี้!”
ว่าแล้วร่างบางก็รีบให้เหมยเหมยนั้นใส่เสื้อผ้าให้นางทันที แค่การใส่เสื้อผ้านั้นก็นับเวลาผ่านไปหลายเค่อแล้ว เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีหลันฟู่อิงนั่งมองกระจก ภาพตรงหน้าสะท้อนใบหน้าหญิงสาวที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับนางอย่างกับลอกกันมา นางยืนตกตะลึงไปชั่วครู่ที่นางร้ายอย่างหลันฟู่อิงจะหน้าเหมือนนางถึงเพียงนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันคงเป็นขนาดหน้าอกหน้าใจที่แม่นางร้ายนี้มีมันโดยไม่ต้องศัลยกรรมเลย!
เมื่อสำรวจตัวเองจนพอใจแล้ว ร่างบางจึงรีบเดินออกไปทันทีพร้อมกับที่มีเหมยเหมยตามมาติดๆ
ชิ้ง!
ดาบยาวคมกริบสองเล่มโผล่ปรากฏแก่สายตาของนาง “กรี๊ดดด” หลันฟู่อิงร้องตกใจเสียงดังลั่นเมื่อสักครู่ดาบนั่นอยู่ห่างจากหน้านางไม่ถึงคืบ!
“พระชายา!” เหมยเหมยรีบเข้ามาพยุงหลันฟู่อิงที่ล้มฟุบลงไปกับพื้น ภาพเบื้องหน้าคือบุรุษสวมชุดราวกับนักรบยืนขวางนางอยู่ที่หน้าประตู
“องค์ไท่จื่อรับสั่งให้ท่านอยู่แต่ภายในตำหนักห้ามมิให้ออกไปที่ใดเด็ดขาดขอรับ!”
“จะ เจ้า! เจ้าลูกหมานั่น กล้ากักขังข้าคนนี้งั้นรึ” นางอดที่จะสบถออกมาไม่ได้ ขังอยู่ในตำหนักเหอะ! ตำหนักกะผีสิ นี่ขังอยู่แต่ในห้องนอนชัดๆ
“นั่น! คารวะองค์ไทจื่อลู่เฉิงเพคะ” หลันฟู่อิงก้มโค้งลงยอบกายราวกับกำลังคารวะองค์ไทจื่อ เหล่าทหารกล้าหันไปมองทิศทางที่นางก้มหัวลงไปพร้อมกับที่ปลดอาวุธลงเพราะคิดว่าองค์ไทจื่อจะมาเยือนตำหนักจริงๆ แต่เมื่อหันกลับไปกลับพบแต่ความว่างเปล่า และเสี้ยววินาทีนั้นหลันฟู่อิงที่เห็นโอกาส นางก็สตาร์ทตัวออกวิ่งสี่คูณร้อยทันที
“บ้าย บาย”
กิริยาแปลกประหลาดและการกระทำของพระชายาทำให้พวกเขาตกตะลึง นางโบกมือขึ้นมาตรงหน้าพวกเขาและก่อนที่สติจะกลับมาในเสี้ยววินาทีร่างบางก็วิ่งหายลับไป ทั้งทหารและเหมยเหมยเมื่อได้สติจึงรีบตามนางไปในทันที
เสียงเหมยเหมยตะโกนตามหลังนางมา นางวิ่งออกมาโดยลืมไปเลยว่านางอยู่ในวังที่ใหญ่และกว้างมาก! “เวรละไง ไปทางไหนวะเนี่ย”