เรื่องที่ไทเฮาสั่งโบยบ่าวในตำหนักท้ายวังตายไปครึ่งตำหนักรู้ไปถึงหูของฮ่องเต้ พระองค์จึงได้รีบรุดมาดู
หลังจากที่ทรงทราบเรื่องที่ว่าองค์หญิงจิ่นซีถูกบ่าวพวกนั้นรังแกมานานปี ก็เริ่มใจอ่อนกับนาง เรื่องที่จะย้ายนางไปยังตำหนักซู่ฟางตามที่หวงกุ้ยเฟยขอไว้จึงเป็นอันยกเลิกไป ไทเฮาพอพระทัยมากและบอกกับฮ่องเต้ว่านับจากนี้ไปพระนางจะดูแลหลานสาวคนนี้เอง
เมื่อได้ข้อสรุปมาแล้วว่าฮ่องเต้จะไม่ให้องค์หญิงจิ่นซีย้ายไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟาง ดังนั้นไทเฮาจึงมีรับสั่งให้นางอยู่ที่ตำหนักท้ายวังตามเดิม หากว่ามีความคิดที่จะยกตำหนักอื่นให้นางในภายภาคหน้าก็ค่อยว่ากันอีกครั้ง เพียงเท่านี้ไทเฮาก็ดีพระทัยมากแล้ว
แม้ว่าองค์หญิงจิ่นซีจะอยู่ที่ตำหนักท้ายวังเช่นเคย แต่ทว่าความเป็นอยู่ของนางก็ดีขึ้นมาก เรียกได้ว่าแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเมื่อก่อนที่อยู่อย่างลำเค็ญได้กินข้าวกล้องเก่า ๆ กับผักต้มในแต่ละวัน มาบัดนี้นางได้กินอาหารที่จัดมาอย่างเต็มที่สำหรับทุกมื้อ
อีกทั้งไทเฮายังเน้นย้ำกับหลานสาวของพระนางอีกว่าให้กินให้เยอะที่สุดเท่าที่จะกินได้ เพราะว่าตอนนี้นางเจริญเติบโตช้ากว่าองค์หญิงองค์ชายผู้อื่นแล้ว องค์หญิงจิ่นซีเองก็ปฏิบัติตามอย่างยินดี จนตอนนี้ดูมีน้ำมีนวลมากกว่าเมื่อก่อนมาก
เสื้อผ้าจากเดิมที่มีอยู่ไม่กี่ชุดและเป็นชุดที่เก่าจนมีขนาดเล็กกว่าตัว ไทเฮาก็รับสั่งให้เปลี่ยนทันที โดยให้ฝ่ายพัสตราภรณ์เข้ามาทำการวัดตัวตัดชุดให้อีกครั้ง ครั้งนี้ไทเฮาให้ตัดไว้เป็นสิบ ๆ ชุด เพื่อที่นางจะได้มีไว้ใส่ไม่เบื่อ อีกทั้งยังทรงประทานเครื่องประดับต่าง ๆ ให้อีกมากมาย
เท่านั้นยังไม่พอ พระนางยังทรงประทานเครื่องเรือนต่าง ๆ ให้ใหม่มากมายหลายชิ้น กระดานหมากเก่าจนสึกเป็นร่องนั้นก็รับสั่งให้เปลี่ยนอันใหม่ให้ เพราะเหตุว่าองค์หญิงจิ่นซีชื่นชอบการเดินหมากมาก พระนางก็ถึงกับสั่งทำหมากที่ทำจากหยกให้เลยทีเดียว
หนังสือที่อยู่ในตำหนักท้ายวังนั้นมีไม่มาก ก็สั่งให้คนไปหาซื้อหนังสือจากร้านหนังสือในเมืองหลวงมาแล้วปรับปรุงห้องหนังสือของตำหนักท้ายวังให้ใหญ่โต คราวนี้องค์หญิงจิ่นซีก็ไม่ต้องเบื่อกับการอ่านหนังสือเล่มเดิม ๆ อีกต่อไป
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเปลี่ยนบ่าวไพร่ที่ตำหนักท้ายวังทั้งหมด บ่าวชุดที่แล้วโดนโบยตายไปครึ่งตำหนัก ส่วนที่เหลือก็ถูกขังไว้ในคุกใต้ดิน การลงโทษครั้งนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับบรรดาบ่าวไพร่ทั้งวังเป็นอย่างมาก คาดว่านับจากนี้เป็นต้น ไม่คงไม่มีผู้ใดกล้ากระทำการเช่นนี้อีก
บ่าวชุดใหม่ของตำหนักท้ายวังนี้ไทเฮาทรงคัดเลือกด้วยพระองค์เอง ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนเก่าของตำหนักอวิ๋นผิง ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะไม่ก่อเรื่องอย่างแน่นอน แต่ก็มีบ่าวใหม่ที่คัดเข้ามาเพราะอยากให้องค์หญิงมีนางกำนัลที่อายุไม่มากอยู่ด้วย หากมีเรื่องได้จะได้สนทนากันได้ตามประสาเด็กสาว
หลังจากที่ได้รับการปรับปรุงตำหนักให้ใหม่และมีบ่าวชุดใหม่ องค์หญิงก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นนี้มาก่อน จนนางเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ไม่ว่านางกำนัลจะทำอะไรให้ก็เกรงใจไปหมด
นับตั้งแต่นั้น องค์หญิงจิ่นซีก็ถูกไทเฮาเรียกไปที่ตำหนักทุกวัน เพราะว่าพระนางจะเป็นคนสั่งสอนทุกอย่างให้กับหลานสาวด้วยพระองค์เอง ทั้งเรื่องการปฏิบัติตัว การใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ รวมถึงการเอาตัวรอดจากการถูกผู้อื่นรังแกด้วย
“จิ่นซีถวายบังคมเสด็จย่าเพคะ” องค์หญิงกล่าวพร้อมย่อกายคารวะไทเฮาทีหนึ่ง
“มาแล้วหรือ วันนี้เจ้ามาเช้ากว่าปกตินะ” ไทเฮาตรัสพลางวางถ้วยชาในมือลง
องค์หญิงจิ่นซีในวันนี้มาในเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ดูดีกว่าเดิม เสื้อผ้าที่ตัดแล้วพอดีตัว ทั้งยังมีสีสันที่สดใส ขับให้นางดูเป็นเด็กหญิงที่สดใสร่าเริงขึ้นมาก พวงแก้มอมชมพูแบบเด็ก ๆ ทำให้ดูมีร่างกายที่แข็งแรงดี ไม่ซูบผอมและดูอมทุกข์เหมือนเมื่อก่อน
“วันนี้เสด็จย่าจะให้จิ่นซีเรียนเรื่องอะไรหรือเพคะ”
องค์หญิงถามด้วยความสนอกสนใจยิ่ง เพราะทุกครั้งที่มาพบไทเฮา นางจะได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ อย่างน้อยวันละหนึ่งเรื่องและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นมาก องค์หญิงผู้แทบจะไม่ได้ออกจากตำหนักเลย เมื่อได้มาสัมผัสสิ่งใหม่จึงมีความอยากรู้มากเป็นพิเศษ
ไทเฮาเห็นหลานสาวอยากเรียนมากก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี ก่อนจะตรัสออกมา
“วันนี้ไม่มีบทเรียนที่จะต้องเรียนหรอก”
องค์หญิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร สำหรับนางแล้วอย่างน้อยได้มาพบท่านย่าก็ดีใจมากแล้ว
“แต่ว่าย่ามีเรื่องที่จะต้องสนทนาและแนะนำเจ้าสักหน่อย เจ้ามานั่งก่อน” ไทเฮาตรัสต่อเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของหลานสาว
เมื่อได้ยินรับสั่งแล้ว องค์หญิงก็มีสีหน้าที่ดีขึ้นและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา นางกำนัลผู้หนึ่งมารินชาให้นางอย่างเบามือ
กลิ่นชาผู่เอ๋อหอมฉุยลอยขึ้นมาเตะจมูกของนาง เมื่อนึกย้อนกลับไปที่ตู้เก็บชาในตำหนัก ก็เพิ่งจะนึกออกว่าที่ตำหนักของตนไม่มีชาชนิดนี้ ด้วยความอยากรู้นางจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง ความรู้สึกครั้งแรกนั้นประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยดื่มชาที่รสชาติหอมหวานถึงเพียงนี้มาก่อน
“นี่เรียกว่าชาอันใดหรือเพคะ” องค์หญิงถามด้วยความสงสัย
“นี่เป็นชาผู่เอ๋อหมักสิบปี หากเจ้าอยากได้ย่าจะให้คนส่งไปที่ตำหนักของเจ้าสักก้อนสองก้อน” ไทเฮาตรัสออกมา พระนางย่อมรู้ดีว่าที่ผ่านมาหลานสาวย่อมไม่เคยได้สัมผัสชาชั้นดีเช่นนี้มาก่อนจึงอดสงสารไม่ได้ นับจากนี้ไป อะไรที่เป็นของดี พระนางก็จะให้คนนำไปให้องค์หญิงจิ่นซีด้วย
องค์หญิงวางถ้วยชาลงแล้วยิ้มอย่างสดใส “ขอบพระทัยเสด็จย่า”
“เอาล่ะ ย่าจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เจ้าคงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่านอกจากย่าแล้ว วังหลังนี้ยังอยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของผู้ใดอีก”
ไทเฮาทรงเปิดประเด็นสำคัญของวันนี้
“ทราบเพคะ เป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟย” องค์หญิงตอบกลับไป แม้ว่านางจะอยู่ไกลถึงวังหลัง แต่ก็ไม่ทำตัวเป็นองค์หญิงอ่อนแอโง่เง่าที่ไม่รู้เรื่องราวใด ๆ แท้จริงแล้วนางรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะเปิดเผยออกไปเท่านั้น
ไทเฮาได้ฟังแล้วก็พยักหน้า ในพระทัยพึงพอใจอยู่ไม่น้อยที่หลานสาวยังคงรู้เรื่องราวในวังหลังอยู่บ้าง อย่างน้อยก็น่าจะฉลาดพอที่จะหาทางหนีที่ไล่ได้
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ย่าจะเอ่ยคือสิ่งใด” ไทเฮาตรัสถามออกไป ทรงอยากรู้ว่าองค์หญิงจิ่นซีจะเดาเรื่องที่พระนางจะกล่าวต่อไปนี้ได้หรือไม่ หากว่าเดาได้ ก็แสดงว่าหลานสาวคนนี้ไม่ได้น่าเป็นห่วงเท่าที่คิดเอาไว้
และแล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อองค์หญิงจิ่นซีตอบกลับมาว่า
“เรื่องให้ระวังพระสนมหวงกุ้ยเฟยเอาไว้ใช่หรือไม่เพคะ”
คำตอบนี้ทำเอาไทเฮาถึงกับยกยิ้มอย่างพอพระทัย พระนางจะเตือนเรื่องนี้กับองค์หญิงจริง ๆ เพราะหวงกุ้ยเฟยเองก็ถือว่าเป็นบุคคลอันตรายมากสำหรับองค์หญิงจิ่นซี เพราะนางเองไม่ค่อยชอบพอฮองเฮาพระองค์ก่อนอยู่แล้ว ไทเฮาจึงอดห่วงไม่ได้ว่าหวงกุ้ยเฟยจะหาทางกลั่นแกล้งองค์หญิงจิ่นซี
เพราะที่ผ่านมา พระนางทรงสงสัยเสมอมาว่าผู้ที่ให้ท้ายบ่าวรับใช้พวกนั้นในการรังแกองค์หญิงจิ่นซีต้องเป็นหวงกุ้ยเฟย เพราะถ้าหาว่าหวงกุ้ยฟยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริง เหตุใดพระนางจึงไม่เคยล่วงรู้เรื่องนี้และปล่อยให้หลานสาวของพระนางถูกรังแกมาได้ถึงเจ็ดปีเต็ม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหวงกุ้ยเฟยซื้อตัวบ่าวรับใช้ไว้แล้วช่วยกันปกปิดพระนางนั่นเอง