หลังจากเสร็จสิ้นมื้อค่ำแล้ว บรูซจึงปลีกตัวขึ้นไปยังห้องพักของตนเอง โดยให้เหตุผลกับทุกคนว่าเขาเหนื่อยอยากพักผ่อน พ่อกับแม่ของทานตะวันไม่ขัดข้อง เข้าใจความต้องการของเขา แต่ทานตะวันยายเด็กแสบกลับไม่ยอมเข้าใจซะงั้น
ก๊อก ก๊อก
บรูซที่พึ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ และพึ่งก้าวออกมาจากห้องน้ำเลิกคิ้วสูง ตวัดนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มไปยังบานประตูด้วยความแคลงใจ
“ใครครับ”
ไม่มีเสียงตอบ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นแบบนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากยายเด็กดื้อเอาแต่ใจอย่างทานตะวัน เขาถอนใจออกมา พลางทำหูทวนลม เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าดึงเสื้อคลุมสีเดียวกับสีของผมออกมาสวมใส่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกคราวนี้ดังเป็นชุดเลยทีเดียว เขาอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ รอยยิ้มที่ไม่อาจจะควบคุมได้
“ยายเด็กประสาท”
แม้จะต่อว่าหล่อนแบบนั้น แต่สองเท้าก็ก้าวไปหยุดที่ประตูห้องจนได้ ก่อนจะเปิดออกไปพร้อมๆ กับใบหน้าที่สวมหน้ากากแห่งความเย็นชาเรียบร้อยแล้ว
“ไม่มีมารยาทเลยนะ ซัน...”
ชื่อพยางค์สุดท้ายของทานตะวันหลุดหายเข้าไปในลำคอ เมื่อผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่เด็กสาวที่เขาคิดว่าจะเป็น
“คุณเม...?”
บรูซกระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ บอกไม่ถูกว่าทำไมต้องผิดหวังที่คนตรงหน้าไม่ใช่ทานตะวัน
“เอ่อ... เม... เมมารบกวนหรือเปล่าคะ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณเมรู้ได้ยังไงว่าผมพักอยู่ที่นี่ และมาหาผมทำไม”
น้ำเสียงแข็งกระด้างของบรูซทำให้เมธาวีรู้ทันทีเลยว่าการจะเข้าถึงตัวของผู้ชายหล่อลากไส้คนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
“คือเม... เม...”
แกล้งบีบน้ำตานี่แหละคือกลวิธีที่เด็ดที่สุด ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะท่าทางของบรูซอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมธาวีลอบยิ้ม ก่อนจะรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนให้
“เม... เอามาคืนค่ะ”
“ผมบอกแล้วไงว่าให้คุณ”
“แต่เม... อยากเอามาคืนคุณค่ะ และก็...”
เมธาวีเงยหน้าขึ้น หยาดน้ำตาที่แสร้งทำขึ้นยังเกลื่อนดวงตา “เมอยากจะตอบแทนคุณบรูซ... ด้วยการเลี้ยงข้าวสักมื้อน่ะค่ะ”
บรูซไม่มีทางเลือกจำต้องรับผ้าเช็ดหน้าคืนมา “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมยินดีช่วย เพราะถึงแม้จะไม่ใช่คุณเม เมื่อผมเห็น ผมก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่ดี”
“เมรู้ค่ะว่าคุณบรูซเป็นสุภาพบุรุษ แต่... ให้เมเลี้ยงข้าวสักมื้อนะคะ แล้วเมสัญญาว่าจะไม่มาให้คุณบรูซเห็นหน้าอีกเลย”
เมื่อผู้หญิงตรงหน้าเอาความน่าเห็นใจน่าสงสารเข้ามาต่อรอง บรูซจึงไม่มีโอกาสจะปฏิเสธได้อีก เขาจำต้องพยักหน้ารับน้อยๆ ซ่อนความเบื่อหน่ายเอาไว้อย่างสุดกำลัง
“ครับ”
“จริงเหรอคะ นี่คุณบรูซ... ตกลง...”
เมธาวีตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดเลยทีเดียว หล่อนยื่นมือไปกุมท่อนแขนกำยำเอาไว้ และช้อนนัยน์ตาถามย้ำอย่างมีจริต แต่บรูซไม่ลุ่มหลงไปด้วย
“คุณบรูซไม่โกหกเมนะคะ”
“ครับ ผมไม่โกหก ผมจะไปทานข้าวกับคุณหนึ่งมื้อ”
บรูซแกะมือนุ่มออกจากแขนของตัวเอง และถอยหลังออกห่างเล็กน้อย “ถ้าคุณเมไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เอ่อ... ได้ค่ะ แต่ว่าเม... ขอผ้าเช็ดหน้าคืนได้ไหมคะ”
คิ้วเข้มของบรูซเลิกขึ้นสูงด้วยความสงสัย แต่เขายังไม่ทันจะถามเมธาวีก็รีบชิงอธิบายออกมาเสียก่อน
“คือ... เมยังไม่ได้ซักเลยน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ส่งผ้าเช็ดหน้าในมือให้ “แล้วไม่ต้องเอามาคืนผมแล้วนะครับ ผมมีหลายผืน ขอตัวครับ”
บรูซก้าวเข้าไปในห้อง และปิดประตูห้องลง ในขณะที่เมธาวียกผ้าเช็ดหน้าของบรูซขึ้นมาจูบด้วยความดีใจ พร้อมกับเดินฮัมเพลงออกไป แต่เพราะว่ามัวแต่คิดถึงบรูซทำให้หญิงสาวไม่ทันมองทาง เดินชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งจนผ้าเช็ดหน้าในมือกระเด็นตกลงไปกับพื้น
“อุ้ย... ขอโทษค่ะ”
ทานตะวันรีบย่อตัวเก็บผ้าเช็ดหน้ามาคืนให้กับคนที่เดินชนกับหล่อน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าเต็มตา
‘นี่มันผ้าเช็ดหน้าของพี่บรูซนี่’
เด็กสาวคิดอย่างแปลกใจ เงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี และถามย้ำออกไปเพื่อความแน่ใจ
“ผ้าเช็ดหน้า... ของคุณเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ผ้าเช็ดหน้าของฉันเอง ขอคืนด้วยค่ะ”
ทานตะวันยังไม่ทันส่งคืนให้เลย เมธาวีก็กระชากไปจากมือเสียก่อน จากนั้นเจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นยืนมองหล่อนด้วยสายตาไม่พอใจ
“ทีหลังเดินให้มองทางบ้างนะคะ จะได้ไม่ทำคนอื่นเดือดร้อนอีก ดูสิผ้าเช็ดหน้าของฉันเปื้อนหมดแล้ว”
ท่าทางปัดสะบัดผ้าเช็ดหน้าเพราะเกรงว่าจะเปื้อนฝุ่นสร้างความหมั่นไส้ให้กับทานตะวันยิ่งนัก แต่หล่อนก็พยายามจะอดทนเอาไว้ให้มากที่สุด
“ค่ะ ฉันขอโทษ”
พอหล่อนพูดขอโทษจบ แม่นั่นก็สะบัดหน้า และเดินจากไปทันที ทานตะวันมองตามไปจนแม่นั่นหายลับตาเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะหันไปมองทางข้างหน้าด้วยความสงสัย
“คงแค่เรื่องบังเอิญ”
เด็กสาวบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปยังห้องพักของบรูซ คาร์ตัน เมื่อมาถึงหน้าห้องหล่อนก็ยกมือขึ้นเคาะสองที ไม่นานเจ้าของห้องก็มาเปิดประตู
“พี่บรูซ”
รอยยิ้มหวานๆ ของทานตะวันทำให้บรูซแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็ยังพยายามที่จะทำหน้าตาเรียบเฉยต่อไป ทั้งๆ ที่ดีใจจะตายที่คนเคาะประตูคราวนี้เป็นหล่อน
“มาทำไม”
“ขอซันนี่เข้าไปได้ไหมคะ”
“ถึงพี่ไม่อนุญาต เธอก็เข้ามาจนได้อยู่ดี”
เขาพูดอย่างรู้ทัน ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้ามาภายในห้อง เด็กสาวรีบก้าวเดินตามเข้ามา โดยลืมดึงประตูห้องให้ปิด
“ปิดประตูเสียด้วย”
“ค่ะ บอส”
เด็กสาวทำเสียงประชดประชันเล็กน้อย รีบหันไปดึงประตูปิด กำลังจะล็อกประตูแต่เสียงเข้มๆ ดังขึ้นอย่างรู้ทันเสียก่อน
“ไม่ต้องล็อกนะ เดี๋ยวพี่หนีไม่ทันตอนเธอจะปล้ำพี่”
คนถูกกล่าวหาหน้าแดงก่ำ ขัดเขิน แต่ก็หัวเราะกลบเกลื่อน
“แหม พี่บรูซก็พูดไปนะคะ ซันนี่เสียหายหมด”
“หรือมันไม่จริงล่ะ”
เขาว่าหล่อนเสร็จก็เดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ทานตะวันเดินตามไปหยุดตรงหน้า และก็อดคิดเลยเถิดไปไกลไม่ได้ ดังนั้นแก้มนวลจึงแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก ซึ่งแน่นอนว่าคนฉลาดอย่างบรูซ คาร์ตันจะต้องรู้ทัน
“พี่จะไม่ทำอะไรแบบที่เธอคิดหรอกนะ ซันนี่”
“พี่บรูซ... รู้ได้ยังไงคะว่าซันนี่คิดอะไรอยู่”
ชายหนุ่มจ้องหน้าหล่อนมองอย่างหมั่นไส้ “ในหัวของเธอจะมีเรื่องอะไรกันล่ะ แถมตายังจ้องเตียงนอนตาเป็นมันแบบนั้น ยายเด็กแก่แดด”
เมื่อถูกเขาต่อว่าเป็นชุด ทานตะวันก็อดที่จะหน้าเจื่อนไม่ได้ ทำไมนะบรูซถึงได้รู้ทันความคิดของหล่อนไปซะทุกอย่าง ในขณะที่หล่อนไม่เคยล่วงรู้ความคิดในหัวของเขาได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
“พี่บรูซน่ะ”
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานเลย มีอะไรกับพี่หรือ”
เขาตบที่ขอบเตียงข้างๆ ตัว ส่งสัญญาณให้หล่อนเดินเข้าไปนั่งข้างๆ แต่หล่อนไม่ทำตาม เพราะการได้ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ได้มองเขาแบบนี้มันให้ความรู้สึกดีกว่า
“ก็แค่คิดถึง”
“พูดเป็นการเป็นงานเถอะ พี่เบื่อคำว่าคิดถึงของเธอเต็มที่แหละ”