เช้าวันต่อมา... ไม่มีเงาของบรูซร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วย ทานตะวันนั่งเขี่ยอาหารในจานอย่างเหงาหงอย มารดาที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยจึงอดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“เป็นอะไรไปเหรอซันนี่”
คนที่นั่งเหม่ออยู่สะดุ้ง ก่อนจะหันมาหาแม่ของตัวเอง และถามซ้ำเพราะใจลอยไม่ทันได้ฟังคำถามของท่าน
“แม่ว่าอะไรนะคะ”
ดวงพรส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะถามอีกครั้ง
“แม่ถามหนูว่าเป็นอะไรไป ทำไมนั่งเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้”
ทานตะวันฝืนยิ้ม ก่อนจะตอบมารดา “ซันนี่... ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่...”
“แค่ทะเลาะกับพ่อบรูซใช่ไหม”
ผู้เป็นมารดาพูดขึ้นอย่างรู้ทัน แต่ทานตะวันหลบสายตาและส่ายหน้าปฏิเสธ หล่อนไม่ได้ทะเลาะกับบรูซสักหน่อย แค่... แค่... แล้วก็ลืมตัวยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังฝังอยู่ในความทรงจำ
“ทะเลาะกันเรื่องอะไรอีกล่ะซันนี่”
“ไม่... ไม่ได้ทะเลาะกันหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ทะเลาะกัน แล้วทำไมพ่อบรูซไม่ลงมาร่วมโต๊ะล่ะ”
ทานตะวันช้อนตาขึ้นสบประสานกับมารดา ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ หล่อนเองก็สุดจะคาดเดาอารมณ์ของผู้ชายที่ชื่อบรูซ คาร์ตันเหมือนกัน
“ซันนี่ก็ไม่รู้ค่ะ”
ดวงพรระบายลมออกจากปากเบาๆ อย่างอ่อนใจ ความจริงหล่อนก็อดที่จะรู้สึกเกรงใจบรูซไม่ได้ที่ลูกสาวของหล่อนทำตัวติดเขาแจแบบนี้ แถมทานตะวันยังทำตัวเอาแต่ใจทุกเวล่ำเวลาอีกด้วย
“ช่างเถอะ เราทานกันสองคนก็ได้”
“อ้าว แล้วคุณพ่อไปไหนซะล่ะคะ”
“รายนั้นออกไปล่องเรือตกปลาหมึกน่ะ สนุกสนานเขาล่ะ”
เห็นมารดาระบายยิ้ม ทานตะวันจึงอมยิ้มตาม จากนั้นก็รวบเส้นผมที่ปล่อยสยายเอาไว้เต็มแผ่นหลังขึ้นตั้งใจจะรวบขึ้นไปรวมกันบนกลางศีรษะ แต่ก็มีมือของใครบางคนมากระชากมือของหล่อนให้ปล่อยเส้นผมพวกนั้นซะก่อน หล่อนหันไปมองและก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“พี่บรูซ”
“นึกว่าจะไม่มาร่วมโต๊ะกับอาซะแล้วพ่อบรูซ” ดวงพรทักทาย
“ผมต้องมาสิครับคุณอา”
บรูซยิ้มสุภาพพลางเลือกนั่งข้างๆ ร่างของทานตะวัน เด็กสาวขัดเขินเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน แต่ความคิดถึงมีมากกว่า
“พี่บรูซตื่นสายเหรอคะ”
บรูซหันมาหรี่ตามองเด็กสาวที่ยิ้มแฉ่งให้เขา หล่อนทำราวกับว่าเมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นแหละ เด็กบ้า...
“ครับ ซันนี่”
“ทำไมตื่นสายล่ะคะ เมื่อคืนก็เห็นนอนแต่วัน”
นี่ต้องให้บอกออกไปเลยไหมว่าเพราะเขามัวแต่คิดถึงจูบ คิดถึงปากอิ่มของหล่อนน่ะ บรูซมองเด็กสาวอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะรีบซ่อนเอาไว้
“พี่เพลียน่ะ ทานอาหารเถอะ”
“ทานนี่สิคะ อร่อยน่ะ ซันนี่ชอบ”
แล้วทานตะวันก็กุลีกุจอตักอาหารใส่จานให้กับชายหนุ่มอย่างเอาอกเอาใจ ดวงพรเห็นบุตรสาวกำลังมีความสุขจึงไม่อยากจะอยู่เป็นก้างขวางคอจึงจะปลีกตัวไป
“อาอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะพ่อบรูซ”
“แม่อิ่มแล้วเหรอคะ” ทานตะวันถามอย่างแปลกใจ
“จ้ะ ซันนี่ หนูก็ทานกับพี่เขานะ แล้วอย่าดื้อล่ะ” ดวงพรกำชับบุตรสาว ก่อนจะหันไปพูดกับบรูซด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ
“ถ้าซันนี่ดื้อ อาอนุญาตให้ตีได้เลยนะพ่อบรูซ”
บรูซหันมามองหน้างอๆ ของทานตะวัน ซ่อนยิ้มแทบไม่มิด ก่อนจะรับคำของผู้เป็นมารดาของเจ้าหล่อนเสียงขบขัน
“ครับ ถ้าดื้อ ผมตีไม่ยั้งครับ”
ดวงพรหัวเราะ เอ่ยขอบคุณบรูซ ก่อนจะเดินจากไป ทานตะวันมองตามมารดาไปและก็อดที่จะบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้
“ซันนี่โตแล้วนะ ใครเขาให้ตีอีกล่ะ”
“โตแต่ตัวน่ะสิ สมองยังเหมือนเด็กสามขวบอยู่เลย”
“พี่บรูซน่ะ ซันนี่โตทั้งตัวและก็ทั้งสมองนะคะ”
เด็กสาวโวยวายไม่ยอม บรูซส่ายหน้า และขยับตัวลุกขึ้นยืน
“พี่บรูซยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะคะ อิ่มแล้วเหรอ”
“พี่ไม่หิว”
ทานตะวันงงงวย ลุกขึ้นยืนและมองหน้าคู่สนทนาที่หล่อราวกับเทพบุตรด้วยความข้องใจเป็นนักหนา
“อ้าว ไม่หิวแล้วมาที่ห้องอาหารทำไมคะ”
ร่างเล็กของทานตะวันถูกดึงเข้ามาใกล้ จากนั้นคนตัวโตก็รวบเส้นผมทั้งหมดของเด็กสาวขึ้น พลางก้มหน้าเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“ที่คอของเธอมีรอยแดง”
“คอเหรอคะ”
จังหวะที่เขาปล่อยเส้นผมนุ่มๆ ของหล่อนให้กลับลงไปสู่ที่เดิม มือเล็กก็ยกขึ้นกุมลำคอของตัวเองพอดี แต่ผิดข้าง ร้อนถึงบรูซต้องจับมือเล็กไปวางตรงรอยแดงช้ำที่เกิดการถูกดูดด้วยริมฝีปากของเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา
“ตรงนี้...”
“สงสัยมดจะกัดค่ะ”
ทานตะวันไม่เข้าใจจึงพูดแบบนั้น ในขณะที่คนฟังเต็มไปด้วยความหมั่นเขี้ยว อยากจะกระชากเจ้าหล่อนเข้ามาดูดให้แดงทั่วทั้งลำคออีกรอบนัก ดูสิคราวนี้จะบอกว่าถูกมดกัดได้อีกหรือเปล่า
“ทำไมมาว่าพี่เป็นมดล่ะ”
“ซันนี่ไม่ได้ว่าพี่บรูซนะคะ พี่บรูซมั่วแหละ”
เด็กสาวหัวเราะขบขัน แต่คนตัวโตหาได้มีทีท่าขบขันไม่ เพราะร่างของหล่อนที่ยืนอยู่ใกล้ตอนนี้ถูกรวบเอาไปกอดแน่น แม้จะไม่แน่นสนิทเหมือนเมื่อคืน แต่นั่นก็ทำให้หล่อนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ตื่นตัวอยู่ใต้กางเกงของเขา
หล่อนเคยเห็นมันมาแล้ว... และมันก็หน้าตาน่ากลัวพิกล...
“พี่ไม่ได้มั่ว... ก็ซันนี่บอกว่ารอยแดงนี่เพราะมดกัดไม่ใช่หรือ”
“ก็ซันนี่ไม่รู้นี่คะว่าอะไรกัด ซันนี่หลับทั้งคืน”
ทานตะวันตอบพาซื่อ
“จำไม่ได้จริงๆ หรือว่าใครกัด”
บรูซถามเสียงแหบพร่าจนผิดสังเกต ทานตะวันลืมตาแป๋วจ้องมองเขา แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าเมื่อคืนตัวเองถูกอะไรกัด
“หรือจะเป็นยุงคะ”
“ยายเด็กประสาท พี่ดูดคอเธอจำไม่ได้หรือไง”
บรูซหมดความอดทนจึงเฉลยออกไป และนั่นก็ทำให้ทานตะวันแก้มแดงก่ำ เสหลบตา พร้อมกับพูดอู้อี้ตอบกลับไป
“พี่บรูซ... ดูดตอน...”
“ห้ามถามเชียวนะว่าตอนไหน เพราะพี่รู้ว่าเธอจำได้”
มือเล็กยกขึ้นแตะลำคอของตัวเอง แก้มนวลยังคงแดงก่ำ
“ก็ซันนี่ไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บเลยนี่คะ... ตอนที่พี่บรูซ... ดูดคอซันนี่...”
ให้ตายเถอะ ยิ่งอยู่ใกล้ยายเด็กนี่ เขาก็ยิ่งอึดอัดทรมาน
“เลิกพูดถึงมันได้แล้ว”
ชายหนุ่มคลายแขนออก และถอยออกห่าง แสดงท่าทางห่างเหิน
“แล้ววันนี้ทั้งวันห้ามรวบผมเชียวนะ เข้าใจที่พี่พูดหรือเปล่า”
ทานตะวันที่ยังคงหน้าแดงและขัดเขินอยู่ก้มหน้ารับคำ
“ค่ะ พี่บรูซ”
เมื่อได้ยินคำพูดของทานตะวันแล้ว บรูซก็ก้าวยาวๆ ออกไปทันที ทานตะวันเห็นก็รีบวิ่งตามร่างสูงใหญ่นั้นไปติดๆ
“พี่บรูซ... รอซันนี่ด้วยสิคะ พี่บรูซ”
สองคนนั้นออกไปจากห้องอาหารแล้ว ผู้หญิงที่แสร้งยกเมนูขึ้นปิดหน้าก็ค่อยๆ เปิดโฉมออกมา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เมธาวีนั่นเอง
“นังเด็กคนเมื่อคืนนี้ มันเป็นอะไรกับคุณบรูซ”
หญิงสาวกำมือแน่น ก่อนจะกดโทรศัพท์หาใครบางคนที่หล่อนคิดว่าสามารถพึ่งพาได้ในยามที่ต้องการหาข้อมูลแบบนี้
“แกไปสืบมาสิว่านังเด็กผู้หญิงที่อยู่กับคุณบรูซ มันเป็นใคร ใช่เมียหรือเปล่า”
“ครับ คุณเม”
เมธาวีตัดสายทิ้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน นัยน์ตาเป็นประกายริษยา
“ต่อให้คุณมีเมีย ฉันก็จะเอา”
พูดจบร่างอรชรของเมธาวีก็ก้าวยาวๆ เดินออกไปจากห้องอาหาร จุดหมายน่ะเหรอก็คือสถานที่ที่บรูซ คาร์ตันอยู่ยังไงล่ะ