บทที่ 8
อลินดาต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยงามของนารีรัตน์วิ่งไปขึ้นรถสปอร์ตคันงามที่แซคคารีย์ติดเครื่องรออยู่ด้วยความรีบร้อน แต่ไม่ว่าหล่อนจะทำดีแค่ไหน เขาก็ยังหาเรื่องตำหนิหล่อนอยู่ดี
“ทำไมต้องแต่งหน้าจัดแบบนี้ด้วย” คนตัวโตหันมามอง และถามเสียงขุ่น “อย่าคิดนะว่าเธอแต่งตัวแต่งหน้าเลียนแบบนารีแล้ว ฉันจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร” เขายังคงใช้วาจาเชือดเฉือนไม่หยุด “ถึงเธอกับนารีจะเป็นฝาแฝดกัน แต่นารีไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นเหมือนกันเธอ รู้เอาไว้เสียด้วย”
อลินดาเจ็บจนจุก แต่ก็จำต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ และก็กลั้นใจหันไปสบประสานสายตากับแซคคารีย์ ผู้ชายปากร้าย และวาจาคมกริบราวกับใบมีดโกน
“เคยดมหรือคะ ถึงรู้ว่าตัวของฉันเน่าเหม็น”
หล่อนเห็นเขาขบกรามแน่น ดวงตาสีสนิมที่จ้องเขม็งมองมาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“กลิ่นเน่าเหม็น ไม่ต้องดมหรอก แค่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นแล้ว”
“งั้นฉันไปทำงานเองก็ได้ค่ะ” หล่อนโมโหมาก จึงจะลงจากรถ แต่แขนถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“เธอเห็นใช่ไหมว่าคนใช้เดินให้พล่าน อย่าทำให้ฉันต้องตกเป็นขี้ปากของคนอื่น นั่งเฉยๆ และคาดเบลล์ซะ”
หล่อนหันไปมองตามสายตาของเขา ก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ที่คฤหาสน์ของแซคคารีย์มีคนใช้รวมกันน่าจะเกินร้อยชีวิต และพวกคนใช้ก็กระจายอยู่ทั่วไปหมด
อลินดาเม้มปากอิ่มแน่นจนเป็นเส้นตรง มือเล็กคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถคันงามแล่นทะยานออกไปจากรั้วใหญ่
ความเงียบงันภายในรถสร้างความอึดอัดให้กับหล่อนอยู่นานเกือบยี่สิบนาที ก่อนที่แซคคารีย์จะเค้นเสียงห้วนกระด้างออกมา
“เดี๋ยวฉันจะแวะปั๊ม เพื่อให้เธอล้างหน้าล้างตา”
“ทำไมคะ ทำไมฉันต้องล้างหน้าล้างตาด้วย ในเมื่อฉันก็อาบน้ำมาแล้ว”
รถคันงามเลี้ยวเข้ามาจอดในสถานีบริการน้ำมันที่เป็นทางผ่านอย่างรวดเร็ว
“หรือว่าเธออยากให้เพื่อนร่วมงานแปลกใจที่วันนี้เธอแต่งหน้าไปทำงานล่ะ อ้อ แล้วชุดทำงานของเธออยู่ด้านหลังรถ เอาไปเปลี่ยนเสียด้วย”
นอกจากจะชอบออกคำสั่งแล้ว แซคคารีย์ก็เป็นผู้ชายที่ละเอียดรอบคอบจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว เพราะคำพูดของเขาถูกต้องทุกอย่าง ปกติหล่อนจะหน้าสดไปทำงานเสมอ มีเพียงแค่แป้งฝุ่นและลิปกลอสเท่านั้นที่มีสิทธิ์อยู่บนหน้าของหล่อน ตรงกันข้ามกับนารีรัตน์ผู้เป็นพี่สาว เพราะรายนั้นชอบแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะออกไปเที่ยวหรืออยู่บ้าน ใบหน้าก็จะต้องจัดเต็มเสมอ
“ค่ะ”
“รีบด้วย ฉันมีประชุม”
เขาย้ำเสียงกระด้าง
หล่อนไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป นอกจากเอี้ยวตัวไปคว้าถุงกระดาษหลังรถ และถือมันติดมือลงไปทันที
แซคคารีย์มองตามร่างอวบอัดของอลินดาไปด้วยความหงุดหงิด ความจริงเขาไม่อยากจะใกล้ชิดผู้หญิงส่ำส่อนคนนี้นัก แต่ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อสาวคนรักหายตัวไปในคืนแต่งงาน การรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักธุรกิจอย่างเขา
“นารี... คุณหายไปไหน”
ชายหนุ่มถอนใจออกมาแรงๆ ด้วยความสับสน ก่อนจะรีบกดรับโทรศัพท์ เมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น
“ได้เรื่องอะไรหรือยังครับ”
“กล้องวงจรปิดที่ป้อมตำรวจใกล้กับโรงแรมที่เกิดเหตุจับภาพรถยนต์ต้องสงสัยได้คันหนึ่งครับ”
เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจตอบกลับมาตามสาย และมันก็ทำให้แซคคารีย์ระบายยิ้มอย่างมีความหวัง
“ผมจะรีบไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้ครับ”
แซคคารีย์กดวางสาย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ อลินดาเดินกลับมาที่รถพอดี และทันทีที่หญิงสาวก้าวขึ้นมานั่งบนรถ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน
“เธอคงต้องไปทำงานเองนะวันนี้ ฉันมีธุระสำคัญ”
อลินดาแปลกใจไม่น้อย เพราะเมื่อสักครู่เขายังบอกว่ามีประชุมอยู่เลยนี่น่า
“ไหนคุณแซคบอกว่ามีประชุมแต่เช้ายังไงล่ะคะ”
“เรื่องของนารีสำคัญที่สุด เธอลงไปจากรถได้แล้ว”
น้ำเสียงของเขาเลือดเย็น ท่าทางและคำพูดของเขาก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย
อลินดาเม้มปากเป็นเส้นตรง น้ำตาซึม แต่ก็จำต้องทำตามความต้องการของเจ้าของรถ
“ลงไปสิ ฉันรีบ”
“ค่ะ”
รถสปอร์ตคันงามแล่นจากไปทันทีเมื่อประตูรถถูกหล่อนดันให้ปิดสนิทลง น้ำตาที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ รินไหลออกมาอาบแก้ม ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจ จนจุกพูดไม่ออก