‘รักมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ’
คำถามสั้น ๆ ที่ยังตราตรึงแม้ในยามตื่นนอนทำให้เสวียนหนิงอันถึงกับต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม นางจำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น ก้มหน้ายอมรับความจริงอย่างปวดร้าว ทั้งยังจำได้อีกด้วยว่ามารดามิได้ดุด่าว่ากล่าวเหมือนทุกครั้งที่ก่อเรื่อง บนใบหน้างดงามมีเพียงความเห็นใจ มิตอกย้ำซ้ำเติมเรื่องการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่นั่นกลับทำให้นางรู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าเดิม
‘ใช้หัวใจให้มาก ใช้สมองวางแผนน้อยลงหน่อย หนิงเอ๋อร์เข้าใจที่แม่พูดหรือไม่’
‘เจ้าค่ะ ท่านแม่’
‘อย่าลืมใช้สติให้มาก เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ อดีต...แก้ไขไม่ได้ ที่ทำได้คือการมองไปข้างหน้าและทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด แล้วทุกอย่างจะออกมาดีเอง’
เสวียนหนิงอันคิดตามคำสอนของมารดาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เข้าใจดีแล้วว่าบุรุษมิชอบสตรีมากเล่ห์ร้อยกล แค่ถูกวางยาจัดฉากให้อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมจนต้องรับนางมาเป็นภรรยา เพียงเท่านั้นก็ยากจะกอบกู้ความ สัมพันธ์ให้กลับมาดีได้แล้ว แต่กระนั้นเสวียนหนิงอันก็ยังคาดหวังว่าเขาจะยังใจดีไม่ต่างจากวันวาน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่นางคาดเดาผิดไป
ลืมนึกไปว่าเขามิใช่คนเดิมที่นางเคยรู้จักแล้ว...
“ท่านจะต้องรักข้า...”
นางปลอบใจตนเองมิให้ใส่ใจกับถ้อยคำร้ายกาจที่เขาเอ่ยเมื่อหลายชั่วยาม[1]ก่อน ในเมื่อนางทำผิดจริงก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาและในระหว่างนั้นก็หาทางทำให้เขากลับมาเอ็นดูนาง… รักนางดังเดิม
แน่นอนว่าต้องเป็นความรักฉันสามีภรรยา มิใช่อากับหลานเช่นเมื่อหลายปีก่อน แม้หนทางมีมากมายที่จะทำให้เขาลุ่มหลงจนถอนตัวได้ยาก แต่นางกลับเลือกวิธีที่ลำบากที่สุด
เสวียนหนิงอันเลือกที่จะไม่ใช้มารยาสตรี ละวางเล่ห์กลที่คล้ายฝังอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่กำเนิด หมายมาดว่าจะใช้ความจริงใจไถ่ความผิด ภาวนาว่าสักวันเขาจะเห็นถึงความตั้งใจดี นางมิได้ต้องการให้เขารักตอบอย่างที่นางรักเขา ขอเพียงไม่ผลักไสหรือดุเสียงแข็งเช่นคืนที่ผ่านมาก็พอแล้ว
แต่กระนั้นนางก็ยังอดขุ่นเคืองใจมิได้
“ไม่มีสาวใช้จริง ๆ หรือนี่” นางสูดลมหายใจลึก ก่อนพาร่างบอบบางไปยังหลังฉากที่อยู่ไม่ไกลนัก
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากด้วยน้ำเย็นเสวียนหนิงอันก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย เสื้อผ้าที่เป็นของเก่าสวมแล้วอึดอัดเพราะทรวงอกของนางอวบขึ้นมากแล้ว ส่วนบังทรงนั้นรัดแน่นและทำให้หายใจลำบาก ทว่านางกลับไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพรรค์นั้น ภาพสะท้อนบนกระจกต่างหากที่สำคัญจนถึงขั้นต้องอุทานออกมาอย่างตื่นตกใจ
“แย่แล้ว!”
มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เสวียนหนิงอันยอมไม่ได้ นั่นคือเรื่องความงาม ยามนี้ขอบตาของนางบวมเล็กน้อย ริมฝีปากไม่อวบอิ่มเพราะเมื่อวานตื่นเต้นจนแทบมิได้ดื่มน้ำ ไหนจะเรื่องที่นอนหลับไม่สนิทตลอดคืนนั่นอีก
นางค้นของในหีบใบเล็กอย่างรวดเร็ว หวาดกลัวเหลือเกินว่าท่านพ่อจะมิอนุญาตให้สาวใช้บรรจุของสำคัญลงหีบมาด้วย แต่พอเห็นเครื่องประทินโฉมและสมุนไพรบำรุงผิวยังอยู่ครบถ้วน รวมถึงยาบำรุงร่างกายที่มีมากถึงสิบสองขวด ใช้ได้นานถึงสิบสองเดือน นางก็พลันรู้สึกอุ่นวาบทั่วทั้งหัวใจ
เสวียนหนิงอันทราบดีแล้วว่าท่านพ่อมิได้โกรธเคืองถึงขั้นลงโทษด้วยการยึดข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวทั้งหมด เรื่องเสื้อผ้าเก่าที่ส่งมานางพอทนได้ หากของสำคัญเหล่านี้มิได้ถูกขนย้ายตามมาด้วย เสวียนหนิงอันคงปวดใจมากเป็นแน่ แต่พอนึกดูให้ดีบิดาของนางภาคภูมิใจในความหล่อเหลาของตนอย่างมาก ย่อมไม่อาจหักใจทำร้ายบุตรสาวที่มีนิสัยเช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องยาบำรุงที่ต้องกินในทุก ๆ เช้าเป็นของที่ขาดไม่ได้ มีติดมาด้วยย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
หลังจากกินยาที่กินมาตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยสาวเรียบร้อยแล้ว มือเรียวจึงหยิบตลับขนาดเล็ก ตั้งใจว่าจะป้ายสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นเพื่อให้ขอบตาของนางคล้ำน้อยลงสักหน่อย แต่สุดท้ายกลับชะงักมือชั่วคราว
หรือว่าจะใช้ร่องรอยเหล่านี้เรียกร้องความสนใจดี?
“ไม่ได้ ไม่ได้เป็นอันขาด” เสวียนหนิงอันโคลงศีรษะเบา ๆ เตือนสติตนเองว่าจงใช้ความจริงใจเข้าสู้ มิใช่วางแผนจนถูกเกลียดชังมากขึ้นไปอีกขั้น นางทาสมุนไพรบำรุงผิวชั้นดีบนใบหน้า ซ่อนความไม่สดใสไว้ได้แปดส่วน แต่มิได้สนใจแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นางพยายามเกล้าผมเช่นสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่กลับทำได้ไม่ดีจึงปล่อยผมยาวสยายลงตามเดิม ตั้งใจว่าจะทำผมเรียบง่ายเพราะคงได้อยู่แต่ในเรือนเล็กหลังนี้ ทว่ายังมิได้ทำอย่างที่ใจหวัง เสียงนุ่มทุ้มที่ดังมาแต่ไกลก็เปลี่ยนความตั้งใจนางเสียก่อน
เสวียนหนิงอันผลักประตูเล็กและเดินกึ่งวิ่งไปยังเจ้าของเสียงคุ้นเคย ปรากฏว่าเขายืนสั่งงานหญิงสูงวัยและสาวใช้อีกนาง ท่าทางเคร่งเครียดราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย
“ท่านอา!” เสวียนหนิงอันเห็นเขาหยุดชะงักเล็กน้อย นางจึงยิ้มกว้างและก้าวขาเร็วยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายกลับได้ยินประโยคที่ไม่น่าฟัง
“หากไม่มีเรื่องจำเป็นก็อย่าให้นางมารบกวนข้า”
น้ำเสียงเฉื่อยชาไร้อารมณ์ทำให้เสวียนหนิงอันหุบยิ้มทันที ใบหน้าของนางแดงก่ำเพราะความน้อยใจ ทั้งยังไม่รู้ว่าต้องทำเช่นใดต่อ ควรเดินกลับเข้าห้องไปขว้างปาข้าวของระบายอารมณ์ หรือว่าทักทายสตรีสูงวัยที่เมื่อวานเปิดประตูต้อนรับนางกลางดึกดี
“ฮูหยินน้อยรับมื้อเช้าเลยหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้ายังไม่หิว…” ทว่าสายตาตำหนิของหญิงสูงวัยทำให้เสวียนหนิงอันกลืนน้ำลายพลางทัดปอยผมหลุดลุ่ยที่ใบหู พร้อมกับเตือนตนเองว่าที่นี่ไม่ใช่ตำหนักเยว่ฉี นางจึงควรระวังกิริยาให้มาก “ท่านป้าทำตามธรรมเนียมของบ้านนี้เถิด”
“เช่นนั้นก็รับอาหารเลยนะเจ้าคะ เลยเวลามาสองเค่อแล้ว”
เสวียนหนิงอันพยักหน้า ไม่ทำตัวยุ่งยากเอาแต่ใจอีก หากต้องการใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้อย่างราบรื่น นางก็ควรหาพรรคพวกไว้สักหน่อยมิใช่หรือ?
[1] ๑ ชั่วยาม = ๒ ชั่วโมง