กลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวนมิสามารถดึงความสนใจของโฉมงามในวัยสิบหกปีได้ นางปล่อยให้ความคิดพัดเอื่อยไปตามสายลมหลังกินมื้อเช้า พลางพิจารณาเรื่องราวที่เพิ่งได้ยินมา ท่านป้าที่ทำหน้าดุเมื่อครู่คือคนสนิทของฮูหยินผู้ล่วงลับ หลี่จินหมิงจึงปฏิบัติต่อนางดีกว่าสาวใช้ทั่วไปอยู่หลายส่วนและนั่นอธิบายได้ว่าเหตุใดสายตาของหญิงสูงวัยจึงไม่เป็นมิตรนัก มิว่านางจะทำตัวสุภาพมากมารยาทเพียงใด สุดท้ายก็ได้รับเพียงสายตาเย็นชากลับมาเท่านั้น
“ฮูหยินน้อยอยากกินขนมหรือไม่เจ้าคะ”
เจียอี สาวใช้ในวัยสิบสี่ปีคือผู้ที่เล่าเรื่องราวอย่างย่อให้นางฟังขณะเก็บโต๊ะอาหาร แต่แค่เรื่องย่อก็ทำให้เสวียนหนิงอันรู้สึกว่าหัวใจของนางบีบรัดด้วยความอิจฉาแล้ว
“สวนดอกเหมยกุ้ยนี่เขาทำเพื่อนางหรือ”
“มิใช่เจ้าค่ะ จ้าวฮูหยินมิชอบดอกไม้กลิ่นแรง นายท่านจึงปลูกดอกเหมยกุ้ยไว้ที่สวนหลังบ้าน เพิ่งจะปลูกเพิ่มจนทั่วเมื่อปีก่อนนี้เองเจ้าค่ะ”
เจียอีตัวเล็กทว่าคล่องแคล่วว่องไวยิ่งนัก หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็รีบจัดของในห้องโดยมิรอคำสั่ง ทั้งยังไม่ลืมยิ้มให้กับนายหญิงคนใหม่อย่างประจบเอาใจ
ฮูหยินน้อยงดงามอย่างมาก ผมสีดำขลับดุจท้องฟ้าในราตรีที่ปราศจากดวงดาว หากได้สัมผัสคงมิต่างจากผ้าไหมชั้นดี ส่วนผิวหรือก็ขาวจนเจียอีไม่กล้ามองนานเพราะกลัวว่าจะปวดตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังละสายตามิได้ เจียอีคิดว่าใบหน้ายามนิ่งเฉยของฮูหยินน้อยมองดูแล้วเพลินตาดียิ่งนัก แต่ยามยิ้มกลับทำให้รู้สึกคล้ายถูกสะกดจนมิกล้าขยับตัว
“ฮูหยินน้อยมิชอบกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหรือเจ้าคะ”
“ชอบ บ้านที่ข้าเคยอยู่ตอนเด็ก ๆ มีดอกเหมยกุ้ยเต็มสวน วันใดอากาศดีข้ามักเล่นซ่อนหาอยู่ในนั้นทั้งวัน…”
เสวียนหนิงอันอาศัยอยู่ในเรือนเล็กหลังบ้านสกุลหลี่ที่ต่างเมืองตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งสามขวบเศษ หากอากาศไม่หนาวมาก นางจะได้รับอนุญาตจากมารดาให้วิ่งเล่นตามใจชอบ ไม่ว่าในสวนหรือเรือนใหญ่ที่หลี่จินหมิงอาศัยอยู่ นางล้วนวิ่งเล่นทั่วทุกบริเวณ แต่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นในสวนที่มีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยนี่เอง
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ เรือนนี้อยู่ไกลก็จริง แต่ก็เป็นเรือนที่ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ฮูหยินน้อยชอบมากที่สุดแล้ว… อาจห่างเรือนใหญ่อยู่บ้าง แต่เจียอีเชื่อว่าระยะทางไม่ใช่ปัญหา หากนายท่านกลับจากต่างเมืองจะต้องแวะมาหาฮูหยินน้อยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เรือนเล็กที่เสวียนหนิงอันอยู่นั้นไกลจากเรือนใหญ่ นับได้ว่าเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุด แม้กลิ่นดอกไม้จะหอมอบอวล ผ่อนคลายอารมณ์เหงาของนางได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่ดีมากพอที่จะช่วยให้นางหายกังวลใจ
หากเขาไม่มีวันรักนางเล่า?
“เขาไม่มาหรอก” สามีของเสวียนหนิงอันเย็นชายิ่งนัก แต่งภรรยาเข้าบ้านได้เพียงสองวันก็เดินทางออกนอกเมือง ไม่แจ้งด้วยว่าจะกลับมาเมื่อใด
“ฮูหยินน้อยงดงามหาสตรีใดเทียบได้ยาก นายท่านจะต้องแวะมาให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติดูแลอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจียอีพูดจาหวานหูน่าฟัง อีกหน่อยข้าคงนิสัยเสียจนกอบกู้ไม่ได้แล้ว”
เสวียนหนิงอันคลายความกังวล อย่างน้อยในบ้านหลังนี้ก็ยังมีคนเห็นว่านางมีค่าพอให้สนทนาด้วย แม้จะไม่สนิทใจเช่นสาวใช้ที่ช่วยให้แผนจัดฉากของนางสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่แค่นี้นางก็ควรจะพอใจแล้วมิใช่หรือ
เมื่อนึกถึงสาวใช้คนสนิทแล้วก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แรกเริ่มเสวียนหนิงอันยืนยันกับบิดาว่านางอยู่ห้องตามลำพังในขณะที่เขาบุกเข้ามา ทว่าสายตาเย็นชาคู่นั้นกลับเค้นแผนการของนางออกมาได้หลายส่วน
‘ลูกวางยาท่านอา ทำทุกอย่างเพียงลำพัง ท่านพ่ออย่าโกรธท่านอาเลยนะเจ้าคะ’
เสวียนหนิงอันละล่ำละลักเมื่อเห็นไกล ๆ ว่าใบหน้าของบุรุษที่นางรักมีรอยเขียวช้ำ มิพ้นถูกบิดาของนางทำร้ายเพราะโทสะร้อน นางจำได้ดีว่าท่านพ่อขอพูดคุยกับเขาตามลำพัง หรือจริง ๆ แล้วเป็นการสอบสวนก็มิแน่ใจ แต่ยามนั้นทราบเพียงว่าต้องปกป้องเขาให้ดี สาวใช้ของนางเองก็เช่นกัน
‘ไม่ต้องพูดมาก ในเมื่อทุกอย่างเลยเถิดแล้ว อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ต้องให้มันรับผิดชอบ… อีกสามวันเจ้าค่อยแต่งเข้าสกุลหลี่’
บิดาของนางยกมือเป็นเชิงห้ามมิให้พูดต่อ ทั้งยังมองมาด้วยสายตาที่สื่อชัดว่าผิดหวังเกินบรรยาย
ก่อนจากยังทิ้งคำพูดไว้ให้นางคิดประโยคหนึ่ง
‘หลี่จินหมิงบอกว่ามีเพียงพ่อที่อบรมเจ้าได้ เห็นทีจะมิใช่เรื่องจริง หรือไม่ก็เป็นตัวของพ่อเองที่บกพร่อง ทำหน้าที่บิดาได้ไม่ดี หนิงเอ๋อร์ หากเจ้าออกเรือนแล้วยังก่อเรื่อง ไม่เห็นค่าของโอกาสที่พ่อสร้างให้ เห็นทีพ่อคงต้องทบทวนตนเองใหม่แล้ว’
คำพูดของบิดาคืออีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เสวียนหนิงอันต้องพิจารณาทุกอย่างเสียใหม่ คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าตนมีข้อเสียอันใดที่ต้องแก้ไขบ้าง นางไม่ชอบพูดจาร้ายกาจ ติดออดอ้อนหว่านเสน่ห์เกินควร ทั้งน้ำใจก็มีมากไม่ต่างจากมารดา เพิ่งจะมาทำตัวไม่น่ารักก็เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
แต่เพราะเหตุใดนางจึงทำตัวเช่นนั้นเล่า?
หลังจากทบทวนอยู่ไม่นานเสวียนหนิงอันก็ตระหนักได้ว่าตนทำตัว ร้ายกาจเพราะถูกขัดใจอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก หากจะมีเรื่องใดที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นก็คงเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจนางนี่เอง
วันที่บิดาเอ่ยว่าถึงเวลาต้องออกเรือน เสวียนหนิงอันที่ไม่เคยมีผู้ใดขัดใจมาก่อนก็ถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางบอกกับท่านแม่ว่าไม่ต้องการแต่งงาน แต่กลับถูกแย้งอย่างนุ่มนวลว่าสมควรแก่เวลาแล้ว หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการหมั้นหมาย ส่วนท่านพ่อนั้นเสวียนหนิงอันไม่กล้าเถียง ทำได้เพียงใช้ความเงียบเข้าสู้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ผล สุดท้ายนางจึงวางแผนจนทุกอย่างออกมาตามต้องการ
เสวียนหนิงอันให้สาวใช้แจ้งต่อบิดาว่าเคาะเรียกอย่างไรคุณหนูก็มิตอบ ทั้งประตูห้องยังลงกลอนไว้แน่นหนา แต่ความจริงแล้วนางกำลังปลดเสื้อตัวนอกของเขาอย่างทุลักทุเล ตามด้วยเสื้อคลุมของตนเอง
เพื่อความสมจริงนางยอมคลายคอเสื้อให้หลวมจนเห็นเนินอกอวบอิ่มเกินวัย…
“เสวียนหนิงอัน เจ้ามันร้ายจริง ๆ นั่นแหละ” นางพึมพำอีกครั้งเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง