บ้านสกุลหลี่มีสาวใช้ พ่อครัว คนสวน และคนขับรถม้ารวมแล้วไม่เกินสิบห้าชีวิต หากมีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้นย่อมรู้โดยทั่วภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ เรื่องที่ฮูหยินน้อยประกาศว่าหากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีไม่ได้แล้วจะกลับตำหนักเยว่ฉีก็เช่นกัน
ซุนหยาเองก็ได้ยินคำว่าตำหนักเยว่ฉีเต็มสองหู ทว่านางไม่กล้าคาดเดาส่งเดชจึงแอบไปถามเจียอีที่กำลังนอนพักฟื้นและสุดท้ายก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ต้องกุมขมับ ถึงขั้นทึ้งผมของตนเองเบา ๆ
ฮูหยินน้อยเสวียนหนิงอันคือบุตรสาวของตวนอ๋องมิผิดแล้ว!
“ความจริงซุนหยามีความรู้แค่พอเอาตัวรอดได้ ฮูหยินน้อยควรเชิญ หมัวมัวจากในวัง…”
“เรื่องนี้ให้คนนอกรู้ไม่ได้เพราะข้าแต่งเข้าสกุลหลี่ในฐานะภรรยาลับ ต้องรอจนกว่าท่านอาจะพ้นช่วงไว้ทุกข์แล้วค่อยหาฤกษ์แต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี”
เสวียนหนิงอันเห็นว่าความลับของตนไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้วจึงปล่อยตัวปล่อยความคิดตามสบาย ไม่ปิดบังเรื่องที่นางใช้แผนการเจ้าเล่ห์เพื่อให้หลี่จินหมิงแสดงความรับผิดชอบ รวมถึงเรื่องที่นางมิได้รับการอบรมก่อนออกเรือนด้วยเช่นกัน
“หากท่านพ่อไม่บังคับข้าหมั้นหมายออกเรือน ข้าก็คงไม่ทำเช่นนั้น”
นางยังพูดด้วยว่าหากเป็นสตรีอื่นคงทำเช่นเดียวกัน วางแผนเพื่อให้ได้แต่งงานกับบุรุษที่ตนรัก แทนการออกเรือนไปกับคนแปลกหน้า ซุนหยาได้ยินแล้วพลันรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะหมดสติ เรียกหาสาวใช้ที่อยู่ใกล้ ๆ ให้มาประคองแทบมิทัน
หลังจากตั้งสติและพอทำใจได้แล้วซุนหยาก็ค่อย ๆ สอบถามว่าฮูหยินน้อย หรือสาวงามในวัยสิบหกปีที่นางทราบแล้วว่าเป็นบุตรีของตวนอ๋องเลื่องชื่อ ว่ายามอยู่ที่ต่างเมืองทำเรื่องอันใดในแต่ละวันบ้าง หรือว่ามีความถนัดในด้านใดเป็นพิเศษหรือไม่
ปรากฏว่าความสามารถของฮูหยินน้อยนั้นหลากหลายมากเลยทีเดียว
“ฮูหยินน้อยดูแลร้านค้าที่ต่างเมืองด้วยตนเองหรือเจ้าคะ”
“ข้าชอบมองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาจึงแวะไปที่ร้านทุกวัน แต่ออก ไปเฉย ๆ อาจถูกท่านพ่อดุได้ จึงแสร้งทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยการทำบัญชีและดูแลร้านด้วยเสียเลย แต่ก็มีหลายครั้งที่ทะเลาะกับลูกค้าจนท่านพ่อสั่งกักบริเวณข้านานเจ็ดวัน”
“ท่านอ๋องดุมากเลยหรือเจ้าคะ” ซุนหยาอดถามมิได้
“ดุอย่างที่สุด เว้นแต่ท่านแม่อยู่ด้วยก็จะมิค่อยดุนัก”
หลังจากที่อกสั่นขวัญหายเพราะวีรกรรมของฮูหยินน้อย ซุนหยาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปยิ้มกว้างเพราะเรื่องราวที่ได้ฟัง ตวนอ๋องเลื่องชื่อดุดันอย่างมากนั้นเป็นความจริงโดยแท้ แต่เรื่องที่ทำให้นางประทับใจคือความอ่อนโยนที่เขามีต่อพระชายา
“ท่านพ่อเข้มงวดอย่างที่สุด บังคับให้ข้าอ่านหนังสือท่องตำราตั้งแต่อายุห้าขวบ…”
เสวียนหนิงอันเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการเขียนอักษรและมีนิสัยรักการอ่านไม่ต่างจากบิดา ความคิดอ่านจึงค่อนข้างแตกต่างจากคุณหนูในห้องหอทั่วไป นอกจากนั้นนางยังชำนาญเรื่องการชงชาและการทำเครื่องหอม เรียกได้ว่ามีความรู้แตกฉานในทุก ๆ ด้าน เว้นแค่เพียงเรื่องเดียวที่มิค่อยชอบทำนัก นั่นคืองานเย็บปักถักร้อยและการตัดเสื้อผ้าสวมใส่เอง
“ท่านแม่มีฝีมือในการออกแบบและปักลายผ้าได้งดงามอย่างมาก ข้าทำสวยสู้มิได้จึงพานไม่อยากเรียนรู้เสียอย่างนั้นเอง”
เสวียนหนิงอันสารภาพอย่างอาย ๆ แต่กระนั้นพอนางเอาตัวอย่างลายที่ปักบนถุงหอมให้ซุนหยาดู หญิงชราก็พลันส่ายหน้า บ่นพึมพำว่าไม่มีเรื่องอันใดต้องสอนแล้วจริง ๆ
หากจะมีก็คงเป็นเรื่องตำราภาพที่ฮูหยินน้อยควรศึกษาไว้บ้าง
“ตำราภาพเล่มนี้เป็นเรื่องราวระหว่างชายหญิง เอาไว้ศึกษาหลังจากความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินน้อยกับนายท่านดีขึ้นแล้วเถิดนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่าสาวงามหน้าแดงเพราะความอาย ซุนหยาจึงรีบเปลี่ยนบทสนทนา “ความจริงฮูหยินน้อยทราบเรื่องทั้งหมดที่ควรทราบแล้วนะเจ้าคะ เพียงแต่มิได้นำเรื่องที่เรียนรู้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ก็เท่านั้นเอง”
“เขาไม่เปิดโอกาสให้ข้าแสดงฝีมือต่างหาก พูดคุยไม่ถึงห้าประโยคก็ดุด่า เจอหน้าครู่เดียวก็เอ่ยไล่ แล้วข้าต้องทำอย่างไรหรือท่านป้า”
“ข้อแรกคือต้องหัดใจเย็นและอดทนให้มาก หากไม่พอใจอันใดก็ให้เอ่ยไปตามตรง ทว่ายามเอ่ยก็ต้องสุภาพอย่างที่สุดเจ้าค่ะ อีกเรื่องที่สำคัญ หากฮูหยินน้อยคิดว่าเรื่องใดพูดแล้วไม่เกิดผลดีก็ควรเงียบ แล้วค่อย ๆ หาทางจัดการอย่างใจเย็นเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ต้องฝึกความอดทนให้มาก” เสวียนหนิงอันเตือนสติตนเอง “แล้วมีเรื่องอื่นที่ต้องปรับปรุงอีกหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยต้องใช้มารยาให้มากกว่านี้สักหน่อย”
คำแนะนำของซุนหยาทำให้คนฟังถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ
“แต่เขาพูดว่ามิชอบสตรีที่มีมารยา… ข้าแทบไม่กล้าพูดจาออดอ้อนหรือยิ้มน้อย ๆ ให้เขาด้วยซ้ำ” เสวียนหนิงอันเคยถูกกล่าวหาว่าใช้มารยาล่อลวงให้เขาหลับนอนด้วยจึงมิกล้าแม้แต่จะยิ้มหวาน เพราะกลัวว่าเขาจะตีเจตนาอันบริสุทธิ์ของนางผิดไป
“มากไปไม่ใช่เรื่องดี แต่ถ้าพอมีบ้างก็จะช่วยให้ความสัมพันธ์ราบรื่นยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ”
“แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องมารยามากน้อยเพียงใด”
“ฮูหยินน้อยเป็นคนงาม พูดจาไพเราะกับสาวใช้ในบ้านเสมอ แต่การห้ามตนเองมิให้ยิ้มแย้มหรือพูดคำหวานกับสามี ย่อมทำให้กิริยาที่แสดงออกมาดูไม่น่ามองนัก” ซุนหยาสงสารสตรีที่แม้กระทั่งยิ้มมากเกินไปก็มิกล้า จึงแนะนำต่ออีกหลายคำ
“ซุนหยาคิดว่าฮูหยินน้อยควรทำตัวให้เป็นธรรมชาติเจ้าค่ะ อยากยิ้มกว้างก็จงยิ้ม อยากหัวเราะก็หัวเราะ ขอเพียงไม่เสียมารยาทหรือทำในเรื่องที่ผิดก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะทำตัวปกติอย่างที่เคยเป็นมา” เสวียนหนิงอันนิ่งไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถามปัญหาที่ค้างคาใจมานาน “ข้าขอถามท่านป้าสักหน่อยเถิด ในเมื่อท่านป้าเป็นคนของจ้าวฮูหยิน ย่อมต้องไม่ยินดีกับการมีนายหญิงคนใหม่ แล้วเหตุใดท่านป้าจึงใจดีกับข้านักเล่า”
“เรื่องนี้ตอบไม่ยากเลยเจ้าค่ะ จ้าวฮูหยินก่อนสิ้นใจได้ขอร้องกับข้าเอาไว้เรื่องหนึ่ง” ซุนหยายิ้มอบอุ่นเมื่อนึกถึงสาวงามนิสัยอ่อนหวานที่นางเลี้ยงดูมาด้วยสองมือ
“นางบอกว่าหากมีสตรีใดรักนายท่านจากใจจริงก็จงสนับสนุนจนกว่านายท่านจะใจอ่อน เพื่อที่อนาคตนายท่านจะได้มีความสุข ไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดเรื่องสูญเสียภรรยาและลูกเจ้าค่ะ”
“จ้าวฮูหยินใจกว้างยิ่งนัก” เสวียนหนิงอันเอ่ยชมจากใจจริง
“ว่าแต่ท่านป้ามั่นใจได้อย่างไรเล่าว่าข้ารักเขาจริง ข้าอาจจะแค่เอาแต่ใจเหมือนทุกครั้งก็เป็นได้”
“คำพูดหลอกลวงได้ การกระทำเสแสร้งได้ แต่ดวงตาโกหกไม่ได้เจ้าค่ะ”
“แล้วดวงตาข้าเป็นอย่างไรหรือ”
“ดวงตาของฮูหยินน้อยที่มองนายท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเจ้าค่ะ”
ซุนหยายิ้มให้สตรีตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู “ชั่วชีวิตของซุนหยาไม่เคยเห็นสตรีใดมองบุรุษด้วยสายตาที่เผยความรักลึกล้ำเช่นนี้มาก่อน นายท่านได้พบกับฮูหยินน้อยเปรียบได้ดั่งสวรรค์ประทานพรโดยแท้เจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันผินหน้าหนีไม่ตอบโต้ ทว่าใบหูแดงจัดกลับเฉลยชัดว่านางกำลังรู้สึกอย่างไรแน่
คำพูดของซุนหยาทำให้นางอายมากเลยทีเดียว
การฝึกความอดทนน่าเบื่ออย่างมาก ในต้นยามเว่ย[1]ของทุกวันสาวใช้จะปรากฏตัวที่หน้าเรือนเล็กและเชิญเสวียนหนิงอันไปยังโรงครัว ทีแรกนาง ก็นึกดีใจว่าจะได้ทำอาหาร ทว่าซุนหยากลับสั่งให้ทำเรื่องน่ารำคาญ เช่นการคัดแยกเมล็ดถั่ว นวดแป้งทำขนม หรือไม่ก็ทำความสะอาดของประดับตกแต่งเรือนชิ้นเล็ก ๆ แต่ในวันนี้สิ่งที่ต้องทำกลับน่าเบื่อเสียยิ่งกว่าทุกวันที่ผ่านมา เพราะซุนหยาเทข้าวสารราวห้าชั่ง[2]ให้นางตรวจดูอย่างละเอียดว่ามีเศษกรวดปะปนหรือไม่
‘นายท่านเคยกัดกรวดเล็ก ๆ จึงอารมณ์เสียอย่างมาก กินอาหารไม่อร่อยไปหลายวันเจ้าค่ะ’
ซุนหยาเล่าว่าภรรยาที่ดีต้องศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับสามีให้ครบถ้วน เรื่องที่เขาชอบหรือไม่ชอบควรจำไว้ให้ขึ้นใจ ซึ่งความรู้ใหม่เหล่านี้เสวียนหนิงอันตั้งใจจดจำอย่างมาก ในยามดึกถึงกับไม่ยอมหลับนอน บันทึกทุกอย่างลงกระดาษทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าตนเองจำมันได้ขึ้นใจ มีเพียงเรื่องเดียวที่นางไม่อยากจดบันทึกไว้ นั่นคือรายชื่อคนในจวนของบิดาที่หลี่จินหมิงเลือกเดินจากมา
ไม่แน่ใจว่าโชคดีหรือร้ายที่หลี่จินหมิงมิค่อยได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิม นับตั้งแต่ทราบว่าภรรยาคนแรกถูกกดดันอย่างไรบ้าง เสวียนหนิงอันจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องจดจำสมาชิกสกุลหลี่ที่อาศัยอยู่ในจวนนั้นให้มากความ
นอกจากนั้นยังออกความเห็นต่อไปด้วยว่าหากถึงเวลาต้องเข้าพบเพื่อคารวะบิดาและมารดาของสามี นั่นก็หมายความว่านางมิได้เป็นภรรยาลับ ทว่าแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีแล้ว และในเมื่อทุกอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม คนในจวนของเสนาบดีหลี่ย่อมทราบแล้วว่านางคือบุตรสาวของตวนอ๋อง ถึงเวลานั้นนางจึงไม่ต้องใส่ใจจำชื่อของผู้ใดอีก
เสวียนหนิงอันจำได้ว่าถูกซุนหยาตีจนมือแดง
[1] ยามเว่ย = ๑๓.๐๐ – ๑๔.๕๙ น.
[2] ๑ ชั่ง = ๖๐๐ กรัม