ลูกค้าประจำของร้านซิงเยียนทยอยออกจากร้านในช่วงปลายยามอู่[1] เนื่องจากทราบดีว่าในทุก ๆ สิบห้าวันร้านจะเปิดเพียงครึ่งวันและปิดในช่วงบ่ายเพื่อตรวจรับสินค้าจากต่างเมือง ส่วนลูกค้าใหม่ที่ยังไม่ทราบก็ยังคงเลือกดูสินค้าต่อไปเรื่อย ๆ เสวียนหนิงอันที่เข้ามาสืบความเองก็เช่นกัน
นางมั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่มีผู้ใดจำได้ มิใช่เพราะสวมเสื้อผ้าธรรมดาหรือทำผมต่างไปจากเดิม แต่เป็นเพราะหมวกที่สวมอยู่มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า ช่วยพรางตัวให้พ้นจากสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดี
เสวียนหนิงอันคิดผิด…
เจ้าของร่างสูงเอ่ยลาลูกค้าสตรีอย่างมีมารยาท ก่อนเบือนหน้าหนีเหล่าแม่สื่อที่ขยันแวะเวียนมาบ่อยจนน่ารำคาญ แต่กระนั้นพวกนางกลับมิใช่สาเหตุที่ทำให้เขาปวดหัวจนแทบกุมขมับ แต่เป็นสาวงามในวัยสิบหกปีที่แสร้งทำเป็นเลือกสินค้าอยู่ต่างหากเล่า
หลี่จินหมิงอยากตรงเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนนาง แล้วพากลับบ้านเพื่อลงโทษให้หลาบจำ แต่สายตาสอดรู้สอดเห็นในร้านนั้นมีมาก จึงต้องค่อย ๆ หาวิธีการที่ไม่ทำให้ผู้คนแตกตื่น เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วหลี่จินหมิงจึงเลือกกำจัดแม่สื่อเป็นอย่างแรก
“การตัดสินใจของข้ายังคงเป็นเช่นเดิม นั่นคือต้องการไว้ทุกข์จนกว่าจะครบสามปี หากพวกท่านคิดพูดเรื่องแต่งงานก็กลับไปเสียเถิด” เขาไม่เปิดโอกาสให้พวกนางพูดก่อนด้วยซ้ำไป
“แต่อีกเก้าเดือนก็จะครบกำหนดไว้ทุกข์แล้วนะเจ้าคะ นายท่านควรมองหาสาวงามไว้บ้าง หากไม่พร้อมแต่งก็หมั้นหมายเอาไว้ก่อนได้” แม่สื่อรายแรกรีบเสนอเพราะได้รับการไหว้วานในราคาสูงลิบลิ่ว
“หากยังไม่ต้องการแต่งภรรยา นายท่านเลือกอนุภรรยาสักสองคนก่อนก็ย่อมได้เจ้าค่ะ” แม่สื่ออีกรายก็มิได้ยอมแพ้เช่นกัน
บุรุษที่ถูกตามตอแยไม่หยุดหย่อนเริ่มข่มอารมณ์ของตนเองมิได้แล้ว เขาสูดลมหายใจลึกและผ่อนออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมทั้งบังคับตนเองไม่ให้แสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้ามากจนเกินไป
“ที่ผ่านมาข้าให้เกียรติพวกท่าน ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ทั้งยังอธิบายซ้ำ ๆ ถึงสาเหตุที่ทำให้ข้ายังไม่พร้อมที่จะแต่งสตรีใดเข้าสกุลหลี่อย่างใจเย็น แต่นอกจากพวกท่านจะไม่เคารพความต้องการของข้าแล้ว ยังรบกวนเวลาทำงานอยู่เรื่อย ๆ”
หลี่จินหมิงอดทนกับเรื่องไร้สาระเหล่านี้นานเกินไปแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าพวกนางเข้าใจความหมายของคำว่าเกรงใจหรือไม่ แต่คำตอบที่ได้รับทำให้เขาต้องยอมรับกับตนเองแล้วว่า การทำตัวสุภาพในบางสถานการณ์ก็ใช่ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
“เดิมทีบุรุษควรไว้ทุกข์ให้กับบิดาสามปี มารดาอีกสามปี แต่เรื่องสิ้นภรรยาแล้วไว้ทุกข์นานถึงสามปีกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าความจริงแล้วนายท่านมีสตรีอื่นในใจจึงไม่ต้องการให้พวกข้า…”
“รบกวนท่านหยุดออกความเห็นก่อนเถิด”
หลี่จินหมิงตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังนัก “เป็นความจริงที่ว่าไม่มีธรรมเนียมการไว้ทุกข์ให้กับภรรยานานถึงสามปี แต่ข้าเลือกที่จะทำเช่นนั้นเพราะมิได้สูญเสียแค่ภรรยา ทว่าบุตรชายทั้งสองในครรภ์นางก็มิรอดด้วย การไว้ทุกข์สามปีให้กับสามชีวิต ท่านว่ามากเกินไปหรือไม่”
“นายท่าน…” แม่สื่อทั้งสามรายถึงกับนิ่งตะลึงเป็นหุ่นไก่เลยทีเดียว
“ถึงเวลาปิดร้านแล้ว หวังว่าพวกท่านคงไม่ถือสา…” หลี่จินหมิงเปรยเพียงเท่านั้นเหล่าแม่สื่อก็กล่าวคำอำลาและผลุนผลันออกจากร้านทันที
เสวียนหนิงอันที่แอบฟังอยู่ไม่ไกลได้ยินดังนั้นก็ลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจแทบทุกอย่าง ความหึงหวงหวาดระแวงล้วนจางหาย เหลือเพียงความเสียใจและความสงสารที่เขาต้องสูญเสียภรรยาและทารกในครรภ์ แล้วยังถูกบังคับใจให้มาดูแลรับผิดชอบสตรีนิสัยไม่น่ารักเช่นนางอีก ในเมื่อเขาต้องเจอปัญหามากมายเช่นนี้แล้ว นางที่เป็นภรรยาก็ควรทำตัวให้ดีกว่านี้มิใช่หรือ
‘ท่านอา ข้าไม่ควรดื้อรั้นเอาแต่ใจกับท่านเลย…’
เมื่อคิดได้ดังนั้นเสวียนหนิงอันก็ขยับหมวกให้กระชับกับใบหน้า เตรียมเดินออกจากร้าน ตั้งใจว่าเย็นนี้จะละวางทิฐิ เข้าไปขอโทษเขาให้เรียบร้อย ทว่าน้ำเสียงกรุ่นโกรธที่ดังมาจากเบื้องหลังทำให้นางพลันรู้สึกชาวาบทั่วร่างและหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ
“นอกจากจะไม่สำนึกผิดแล้ว ยังออกมาข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต ในสายตาเจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรแน่ เสวียนหนิงอัน” หลี่จินหมิงกระซิบข้างใบหูเล็ก ซ่อนความเกรี้ยวกราดที่กำลังปะทุราวกับเพลิงไหม้ไว้ได้ลำบากยิ่ง
“ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนนิสัยไม่ได้เช่นนี้แล้ว เราก็ไม่มีเรื่องอันใดต้องพูดกันอีก”
“ท่านอา ข้า…” เสวียนหนิงอันเอ่ยเสียงเบา ยังคงมิกล้าหันกลับไปมอง
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะปรับปรุงตัว คำเหล่านี้ข้าได้ยินจนเบื่อ แล้วเจ้าล่ะ ไม่เบื่อจะพูดหรืออย่างไร?”
“ข้า…” เสวียนหนิงอันตระหนักได้แล้วว่าตนเองนิสัยแย่ยิ่งนัก
“ข้าไม่มีเรื่องอันใดต้องพูดกับเจ้าอีกแล้ว”
เสวียนหนิงอันปวดร้าวเพราะน้ำเสียงของเขาบอกชัดว่าผิดหวังในตัวนางมากจริง ๆ
[1] ยามอู่ = ๑๑.๐๐ – ๑๒.๕๙ น.