บทที่ 7 ไม่อยากขอโทษ 2

1847 คำ
นอกจากจะเป็นสตรีประเภทโกรธแต่ไม่เอ่ยปาก ชอบเก็บความไม่พอใจไว้กับตนเองแล้ว เสวียนหนิงอันยังพบว่าตนมีนิสัยทำผิดแล้วไม่ชอบขอโทษด้วยอีกประการ หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าบุคคลเดียวที่นางเคยเอ่ยปากขอโทษก็คือบิดา นอกเหนือจากนั้นล้วนเลี่ยงใช้คำอื่นที่มีความหมายน่าฟังทดแทน ‘เป็นข้าไม่ดีเอง’ ‘ผิดไปแล้ว’ ‘จะพยายามปรับปรุง’ แม้ทราบดีว่าเรื่องนี้ตนเป็นฝ่ายผิดเต็มสิบส่วน หาข้ออ้างอันใดมาบิดเบือนความจริงไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังนิ่งเฉย ไม่ยอมขอพบบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเพื่อเอ่ยคำขอโทษแต่อย่างใด ทั้งส่วนลึกในใจยังเชื่อมั่นว่าเขาจะยอมอ่อนข้อให้กับนาง ทว่าเวลาล่วงเลยหลายวันเขากลับยังไม่ปรากฏตัว กระทั่งให้ซุนหยามาตามก็ไม่มีแล้ว “ฮูหยินน้อยจะไม่ไปขอโทษนายท่านจริง ๆ หรือเจ้าคะ” เจียอีเป็นทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมาก แต่เจ้าตัวกลับนอนทอดกายสบายอารมณ์ มองผีเสื้อบินไปบินมาหยอกล้อกันอยู่ที่ริมระเบียงอย่างมีความสุข ใบหน้าของเสวียนหนิงอันเปื้อนยิ้ม ทว่าหัวใจห่อเหี่ยวกระวนกระวาย “ข้าไม่ไป” “แต่ฮูหยินน้อยทำไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ” “รู้แล้ว แต่ข้าไม่อยากขอโทษเขานี่” เสวียนหนิงอันตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านยิ่ง “แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอโทษ นายท่านก็จะโกรธฮูหยินน้อยต่อไปเรื่อย ๆ ไม่แวะมาหาที่เรือนให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติ ไม่นอนร่วมเตียง ไม่ผูกสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา…” “พอแล้วเจียอี ข้าไม่อยากฟัง” “ไม่อยากฟังก็ต้องฟังเจ้าค่ะ” เจียอีทราบดีว่าบิดาของฮูหยินน้อยน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังทำใจกล้า กล่าวขัดใจออกไปอีกหลายคำ “หากไม่ทำความเข้าใจกันในเร็ววัน นายท่านอาจเบื่อหน่ายและเลือกบุปผางามที่ว่านอนสอนง่ายมาประดับเรือนได้นะเจ้าคะ” “เจ้าหมายความว่า…” เสวียนหนิงอันหัวใจเต้นเร็ว เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่เข้าใจเรื่องที่สาวใช้ต้องการสื่อชัดเจนดี “โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ม่ายหนุ่มรูปงามฐานะร่ำรวยอย่างนายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ” “เจ้าคิดว่าเขาจะมีคนอื่นอย่างนั้นหรือ” “หากฮูหยินน้อยยังดีกับนายท่านก็คงไม่น่ากังวลใจ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ดี ยังไม่เข้าใจกัน โอกาสที่นายท่านจะสานสัมพันธ์กับสตรีอื่น…” “ไม่ต้องพูดแล้ว” นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อ “เจียอี วันนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นข้างนอกกันเถิด” “เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย” เจียอียิ้มกว้าง พยักหน้ารับคำอย่างกระตือรือร้น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปทันทีที่ฮูหยินน้อยกล่าวว่าต้องการออกไปเดินเล่นที่ใด “นอกบ้านหรือเจ้าคะ แต่นายท่านไม่อนุญาต…” “ไปครู่เดียวเท่านั้น เจียอีอย่ากังวลนักเลย หรือว่าเจียอีไม่อยากเห็นข้ามีความสุขแล้ว” เจียอีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าตนเปรียบได้ดังมดบนกระทะร้อน กระวนกระวายใจไม่เป็นสุข ยิ่งรู้ว่าฮูหยินน้อยตัดสินใจแล้วไม่เปลี่ยนแปลงโดยง่าย เปรียบได้ดั่งตะปูที่ตอกลงบนแผ่นไม้ไปแล้ว นางก็ยิ่งมิรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร “หากลำบากใจก็ไม่ต้องไป ข้าไปคนเดียวได้” “ไปเจ้าค่ะ เจียอีไปด้วยเจ้าค่ะ” หากปล่อยให้ฮูหยินน้อยออกนอกบ้านตามลำพังแล้วเกิดอันตราย นางคงไม่พ้นถูกตวนอ๋องเลื่องชื่อตัดคอแล้วสับร่างกายให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนโยนให้อีกากิน แต่ถ้าออกไปแล้วนายท่านจับได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ถูกโบยสักสิบไม้และอาจใช้เวลารักษาตัวสักครึ่งเดือน ‘เอาเถิด! ถูกโบยก็ยังดีกว่าถูกสับกระมัง!’ เจียอีตัดสินใจได้แล้วจึงช่วยฮูหยินน้อยเลือกเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาอย่างที่สุด หลังจากใช้เวลาค้นหาอยู่เกือบหนึ่งเค่อ นางก็พบชุดสีชมพูอ่อนที่ดูเก่าคร่ำคร่า “ชุดนี้ไม่โดดเด่นมาก เหมาะกับการสวมออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ” “เป็นชุดของท่านแม่ ข้าเก็บไว้เผื่อคิดถึงท่านแม่จนทนไม่ไหว… เจียอี เจ้าเลือกชุดอื่นให้ข้าเถิด” เสวียนหนิงอันแสร้งเบือนหน้าไปยังกระจกและแต่งผมระหว่างรอ ภายนอกดูไม่สนเรื่องราวรอบตัว ทว่าในใจกลับปวดร้าวสุดพรรณนา ‘เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ พ่อไม่อนุญาตให้เจ้าส่งจดหมายหรือติดต่อผู้ใดในตำหนักเยว่ฉี คิดอยากออกเรือนก็ต้องทำตัวให้สมกับสตรีออกเรือน เชื่อฟังสามี ชีวิตเป็นของสามี หากไม่ลำบากจนถึงขั้นคิดเลิกราหย่าร้างก็ไม่ต้องติดต่อมา… หากยังไม่ได้ฤกษ์แต่งงานที่ถูกต้องตามประเพณีก็ไม่มีเรื่องใดต้องสนทนากัน’ ทีแรกเสวียนหนิงอันไม่คิดว่าคำสั่งของบิดาจะสร้างความเจ็บปวดได้ เนื่องจากความคิดเรื่องการเลิกรากับเขาไม่เคยมีอยู่ในสมอง สิ่งที่นางต้องทำมีเพียงรอให้ครบสิบเดือน หาฤกษ์แต่งงานและทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามคำสั่งของท่านพ่อ จากนั้นก็จะติดต่อตำหนักเยว่ฉีได้ตามเดิม กลับไปเยี่ยมครอบครัวได้อย่างที่ต้องการ ทว่าเวลาผ่านไปเดือนกว่าแล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยายิ่งมิต้องกล่าวถึง แค่พูดคุยธรรมดายังทำไม่ได้ แล้วไหนจะเรื่องที่เจียอีบอกว่ามีสตรีมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาหานั่นอีก นางยังจำได้ดีว่ายามอยู่ต่างเมือง มีสาวงามแวะเวียนมาหาคุณชายหลี่จินหมิงบ่อยครั้งเพียงใด ยามนั้นเสวียนหนิงอันและมารดาอยู่เรือนเล็กหลังบ้านของหลี่จินหมิง มีเพียงสวนสวยกั้นกลาง สองบ้านไม่ก้าวก่ายกัน มีเพียงท่านป้าเสี่ยวผิงกับท่านป้าเสี่ยวอันที่แวะมาช่วยดูแลนางและทำงานประจำวัน เสวียนหนิงอันในวัยเด็กนั้นเข้าใจว่าตนไม่มีบิดา จึงเรียกเขาว่าท่านลุงหลี่ จวบจนท่านพ่อปรากฏตัวจึงได้เปลี่ยนไปเรียกท่านอาหลี่ หลังจากนั้นนางและมารดาก็ต้องกลับตำหนักเยว่ฉีเพราะการอยู่บ้านของบุรุษที่ยังไม่แต่งงานเป็นเรื่องไม่สมควร แม้ทั้งสองบ้านจะแยกเป็นสัดส่วน แต่ก็ยังอยู่ในรั้วเดียวกัน ทำให้นางได้เห็นและจดจำเรื่องราวที่ไม่ดี ‘หึ! เจ้าชู้ไม่เปลี่ยน!’ เสวียนหนิงอันจำได้ดีว่าตนลอบเข้าไปหาเขาถึงห้องนอนและพบสาวงามอยู่บนเตียง หลายครั้งมีมากถึงสองนาง ยังพอจำได้ด้วยว่าเขาออดอ้อนพี่สาวที่อยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง ตอนนั้นนางยังเด็กจึงไม่เข้าใจว่าตนเห็นภาพที่ไม่เหมาะสม มาถึงตอนนี้เข้าใจทุกอย่างแล้วจึงเกิดความไม่พอใจและหึงหวงเกินบรรยาย ทั้งยังเกลียดตนเองที่มีความจำดีเกินควร ‘นายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ’ หากปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ไม่แน่ว่าเขาอาจพาพี่สาวทั้งหลายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน แม้ไม่กล้ามอบตำแหน่งภรรยาเพราะเกรงใจบิดาของนาง แต่ความคิดที่ว่าเขาอาจหลับนอนกับสตรีมากหน้าหลายตาก็ทำให้ภรรยาลับเช่นนางทุกข์ใจมากพอแล้ว “ฮูหยินน้อยอยากไปที่ใดหรือเจ้าคะ” เจียอีถามหลังจากช่วยนายหญิงแต่งตัวด้วยชุดที่เหมาะสม ดูแล้วไม่งดงามจนตรึงสายตาคนมอง แต่เพื่อความปลอดภัยนางจึงหยิบหมวกปิดบังใบหน้าติดมาด้วย “ร้านค้าสกุลหลี่ ข้าอยากไปร้านค้าสกุลหลี่” “ฮูหยินน้อยไม่กลัวนายท่านเห็นแล้วจะโกรธยิ่งกว่าเดิมหรือเจ้าคะ” เจียอีอยากบีบคอตนเองให้ตาย ออกไปข้างนอกนับว่าเป็นเรื่องเสี่ยง แต่การแวะเวียนไปยังร้านค้าสกุลหลี่นั้นมิต่างจากการขุดหลุมฝังตนเอง ไม่รอดแน่… เจียอีไม่รอดแน่แล้ว “เจ้าหยิบหมวกมาด้วยแล้วจะกลัวอันใดเล่า” เสวียนหนิงอันฉวยหมวกในมือของสาวใช้มาสวม ก่อนเดินลัดเลาะไปยังประตูเล็กด้านข้างที่ไม่มีคนเฝ้า แต่ถึงมีคนเฝ้าก็คงไม่มีผู้ใดคิดห้ามเพราะอย่างไรนางก็อยู่ที่นี่ในฐานะภรรยา หาใช่นักโทษแต่อย่างใดไม่ เจียอีกระซิบว่านายท่านมีร้านค้ากว่ายี่สิบร้านในเมืองหลวงต้องดูแล แต่โดยมากจะประจำอยู่ที่ร้านค้าผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง หลังจากเดินอย่างช้า ๆ อยู่เกือบหนึ่งเค่อ เสวียนหนิงอันก็พบว่าตนเองยืนอยู่หน้าร้านที่สามีนางเป็นเจ้าของแล้ว ร้านซิงเยียน มีผู้คนเดินเข้าออกไม่หยุดพัก ภายในร้านแน่นขนัดชนิดที่เรียกว่าแทบไร้ทางเดิน บ่งบอกถึงความเป็นที่นิยมของคนในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี เสวียนหนิงอันสอดส่ายสายตาอยู่ครู่เดียวก็สังเกตเห็นว่าลูกค้าส่วนมากเป็นสตรี จึงเชื่อไปแล้วว่าเรื่องที่เจียอีพูดอาจมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วน นางยังมิทันได้เข้าไปข้างในร้านก็พบสตรีสูงวัยท่าทางกระฉับกระเฉงหลายนางยืนสนทนากันอยู่ แต่ยังมิทันจับใจความได้ว่าพูดคุยเรื่องอันใด พวกนางก็พากันเดินเข้าไปในร้านซิงเยียนแล้ว “ฮูหยินน้อยอย่าเข้าไปเลยนะเจ้าคะ หากนายท่านเห็นต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่!” เจียอีร้องห้ามทั้ง ๆ ที่ไร้ความหวัง “เจ้ารออยู่ข้างนอก ข้าจะเข้าไปตรวจสอบเอง” เสวียนหนิงอันเดินเข้าร้าน แสร้งทำเป็นเลือกของไม่ห่างจากเหล่าสตรีสูงวัย หลังจากลอบฟังไม่กี่ประโยค นางก็ทราบในทันทีว่าพวกนางคือแม่สื่อ ที่ถูกว่าจ้างให้มาพูดคุยกับพ่อค้ารูปงามนามหลี่จินหมิง สามีของเสวียนหนิงอันถูกทาบทามจับคู่เสียแล้ว!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม