EP 1/1 อ้อมแขนซาตาน

1189 คำ
คืนที่รักเร่าร้อน [1] อ้อมแขนซาตาน ในค่ำคืนอันเหน็บหนาว สองฝั่งล้วนคลี่คลุมด้วยปุยหิมะ นานๆ ทีจะมีรถยนต์แล่นผ่านสักคันหนึ่ง เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ยังครางอยู่หึ่งๆ มันบินผ่านเธอไปราวกับนกยักษ์ตัวใหญ่บินผ่านแมลงวันตัวจ้อย ลำคอเธอแห้งผาก อยากได้น้ำสักหยด ขนมปังสักก้อน กี่ชั่วโมงแล้วที่เธอไม่มีอาหารตกถึงท้อง หากอยู่ที่เมืองไทย อย่างน้อยยังได้กินอิ่มนอนหลับ เธอไม่น่าหาเรื่องใส่ตัว ไม่น่าเชื่อใจใครง่ายๆ จนสุดท้ายต้องมาตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก ไม่มีแม้แต่พาสปอร์ต ใครกันเล่าจะยื่นมือเข้ามาช่วยเธอ ไม่มีหรอก...นี่คือประเทศที่ผู้คนล้วนคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ประเทศที่กฎหมายมีไว้เพื่อเพิกเฉย หากมิได้อยู่ใต้ความคุ้มครองขององค์กรใดองค์กรหนึ่งแล้วละก็ อย่าหวังว่าเธอจะรอด ใช่...เธอกำลังจะตายแล้ว หลังจากหนีออกมาจากที่นั่น คลับสุดหรูที่มีไว้เพื่อให้มาเฟียเจ้าถิ่นมาแสวงหาความสำราญ อย่าถามว่าเธอไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร เพราะหากต้องให้เล่า เรื่องมันคงยาว! “ฉันจะฆ่าแก! ยัยน้องตัวแสบ!” ณัชรินทร์ ชนัญธา ร้องออกมาสุดเสียง ท่ามกลางปุยหิมะที่กำลังโปรยปราย แสงไฟจากรถยนต์คันข้างหลัง ส่องร่างเธอให้รู้สึก เธอโบกมือใส่หย็อยๆ แต่ไม่มีใครยอมจอด “พวกคนแล้งน้ำใจ!” บ่นให้เจ้าของประเทศที่ไม่มีใครแสดงน้ำใจช่วยเหลือ นี่มันเกาะส่วนตัวนะ ต่อให้เธอเดินไปถึงท่าเรือก็ใช่ว่าจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ เธอต้องมีคนช่วย ต้องมีใครสักคนพาออกไปจากที่นี่ ป่านนี้คนของคลับแห่งนั้นคงได้ตามหาตัวเธอจ้าละหวั่น ช่างหัวสิ เธอไม่ผิดนี่ “ถ้าเจอแกฉันจะฆ่า แกกล้าทำได้ยังไง ฉันไม่ใช่พี่แกเหรอ ทิ้งฉันไม่พอ ทำไมต้องเอากระเป๋าฉันไปด้วย พาสปอร์ตฉันอยู่ในนั้น เงินฉันอีก ทำถึงขนาดนี้เอาปืนมายิงฉันเถอะ!” ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงบ่นไปเรื่อย เธอคงต้องทำใจ เพราะคงได้กลายเป็นผีเฝ้าเกาะก็คราวนี้ จู่ๆ หยดน้ำใสก็ไหลออกจากตา พอนึกย้อนกลับไป เธอไม่น่าหลวมตัวมาเที่ยวที่นี่กับ ‘พาขวัญ’ ลูกพี่ลูกน้องของเธอเลย เจ้าหล่อนเพิ่งได้สามีเป็นคนรัสเซีย และคะยั้นคะยอให้เธอมาเที่ยว ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะจบลงที่เธอถูกหลอก พาขวัญหนีไปพร้อมกับกระเป๋าของเธอ ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนที่เธอเก็บหอมรอมริบเอาไว้ เพื่อมาเที่ยวต่างประเทศสักครั้งในชีวิต นั่นคือจุดมุ่งหมายของสาวโสดที่ทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่อายุสิบแปด เธอไม่มีพ่อแม่ให้พึ่งพิง แค่ที่ลุงกับป้า พ่อแม่ของพาขวัญ ให้ชื่อเธอเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้านของพวกเขาก็นับว่าเป็นพระคุณมากแล้ว ชีวิตเธอเหมือนตัวเอกในละครน้ำเน่า ต่อให้ปฏิเสธอย่างไร นั่นก็ชีวิตเธอ ณัชรินทร์ปาดน้ำตาป้อยๆ กระชับเสื้อขนสัตว์ตัวบางที่ไม่ได้กันไอหนาวให้เธอมากนัก พาขวัญยกเสื้อตัวนี้ให้เธอ แถมตอนอยู่สนามบินยังใจดีช่วยถือกระเป๋าให้ด้วย แน่ละ นั่นก่อนหน้าที่หล่อนจะจากไปพร้อมกับข้าวของของพี่สาว ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ตุ้บ! “โอ๊ย!” ณัชรินทร์หกล้มหัวคะมำ หิมะใต้ฝ่าเท้าเป็นอุปสรรคสำหรับการหลบหนี แต่เธอจะถอยไม่ได้ ต่อให้ต้องตาย เธอก็ไม่ยอมกลับไปที่คลับนั่นหรอก เธอแค่เบี้ยวค่าอาหารเพราะไม่มีปัญญาจ่าย ถ้าพวกนั้นอยากได้เงินก็ไปตามเก็บเอาที่พาขวัญแล้วกัน ถ้ารู้ละนะว่าเจ้าหล่อนอยู่ไหน ปรี๊นๆๆ เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นที่เบื้องหลัง แสงไฟด้านหน้าสาดส่องมาที่ร่างเธอ คนบนรถกำลังก้าวลงมา ณัชรินทร์ใจหายวาบ มองรถยนต์สองคันที่จอดซ้อนกันอยู่อย่างระแวง กลัวแสนกลัวว่าจะเป็นคนของคลับ เธอรีบหันหลังให้ ใจเต้นระส่ำ สองเท้ากับบั้นท้ายเย็นจัดด้วยจมอยู่ในปุยหิมะ แล้วจู่ๆ ปลายรองเท้าสีนิลเงาวับคู่หนึ่งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถอะ อย่าให้เป็นคนของพวกนั้นเลย “มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณผู้หญิง” หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง เขาเป็นผู้ชายร่างสูง และสูทที่เขาสวมอยู่ก็ดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ผู้ชายอย่างเขาต้องมีความมั่นอกมั่นใจแค่ไหนถึงกล้าสวมสูทลายดอก มันเป็นสูทเข้ารูปสีดำ ทอลายกุหลาบชมพูดอกเล็กดอกน้อย เขาดูโดดเด่นท่ามกลางปุยหิมะและแสงไฟหน้ารถสว่างจ้า “คุ...คุณ พูดภาษาไทยได้หรือคะ” ถามแล้วนิ่วหน้า ขาเธอแข็งชาไปแล้วในตอนนี้ เขาพยักหน้า “ตอนนี้ผมก็พูดภาษาไทยนะ” ตอบยิ้มๆ ให้คนถาม ไอร้อนจากร่างสูงใหญ่พ่นออกมาเป็นไอยามเอื้อนเอ่ยวาจา เขาก้มลงมาหาหญิงสาว จนสายตาสองคู่เกือบอยู่ในระดับเดียวกัน “หิมะตกอย่างนี้ แถมตะวันตกดินไปนานแล้ว คิดว่าน่าแปลกที่เห็นคนยังเดินอยู่ข้างถนน แถมเป็นผู้หญิงด้วย คุณไม่กลัวเหรอ” ณัชรินทร์อยากจะร้องไห้ น้ำเสียงอ่อนโยนที่เขาใช้ทำเอาใจเธอไหวยวบ หยดน้ำใสๆ เอ่อคลอในสองตา “เอ่อ...คือว่า...ฉันมาเที่ยวค่ะ แต่ว่ากระเป๋าฉันถูกขโมย แล้วพาสปอร์ตก็หายด้วย” “อย่างนั้นเหรอ แล้วผมพอจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง” “เอ่อ...ช่วยพาฉันไปหาตำรวจได้ไหมคะ” นั่นคือคำร้องขอ แต่อีกฝ่ายมุ่นคิ้ว “แล้วคุณจะทำยังไง หรือไปอยู่ที่ไหนตอนที่ตำรวจกำลังติดตามพาสปอร์ตมาให้” เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ มองข้ามไหล่เขาไปก็เห็นชายชุดดำนับสิบ ทุกคนสวมแว่นตาดำ กระจายตัวยืนอยู่เป็นจุดๆ รอบตัวเขา ราวกับพวกบอดี้การ์ด หรือว่าเขาจะเป็น...มาเฟีย! “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคิดว่าฉันไปหาตำรวจเองดีกว่า” บอกแล้วลนลานลุกขึ้นยืน เธอยอมตายอยู่ข้างถนนดีกว่าถูกจับไปอีกรอบ “ไม่ดีมั้ง เกรงว่าผมจะให้คุณทำอย่างนั้นไม่ได้ ที่นี่อันตรายเกินไป” “หมายความว่าไง?” ณัชรินทร์มึนงง แล้ววินาทีถัดมาเธอก็ถูกหิ้วปีกไปขึ้นรถคันหลัง แม้ส่งเสียงกรีดร้องแต่ก็เท่านั้น นี่มันประเทศอะไรกัน ฉุดผู้หญิงกันโต้งๆ อย่างนี้ก็ได้เหรอ! คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม