“แล้ววันจันทร์ นี่ ก็ เป็นวันรวมญาติกัน เขา เรียก ว่า วันสารท อย่าลืมนะ ว่า รกรากของ พ่อ โคตร เหง้า น่ะ อยู่ ที่นี่” รัฐมนตรีแผน บอกทั้งลูกสาว
ความไม่พอใจของธาริดา ทำให้นึกตงิดในใจ มาอยู่ที่นี่ ชีวิตเหมือนถูกขังไม่มีผิด หล่อนไม่ได้ พิศวาสที่นี่เลย มาตามคำบัญชา ที่สมองของหล่อนไม่เอาด้วย จะว่า บังคับขู่เข็ญ ล่ะ ใช้ได้ที่สุด ธาริดา จึงไม่คิดจะออกไปไหน พ้นจากชายคาของบ้าน เหมือนหล่อนจะบ่มผิว เก็บผิวที่ขาวละเอียดลออนวลผ่องของหล่อน ไว้ในที่ร่ม โดยที่ไม่ต้องการเผชิญแดด แม่ของหล่อน พ่อของหล่อน ออกไป หาผู้ใหญ่ มีคุยกันจิปาถะ มีแต่หล่อนเท่านั้น ที่ล็อกกลอนห้อง แล้วนั่งเซ็งอยู่บนเตียงเก่า ที่ปูผ้า เหม็นกลิ่นอับเล็กน้อย เพราะความไม่คุ้นชินที่นี่
ถ้าให้คะแนนในความรู้สึก ที่นี่ไม่ผ่าน ความสะอาดเอย ข้าวของที่ใช้ แตกต่างจากบ้านหล่อนในกรุงเทพ ซึ่ง ธาริดาอยากจะเร่งวันคืน เพื่อกลับไปเสวยสุข ในชีวิตสไตล์โฮโซ ของหล่อน
โอ๊ย ทำไมต้องตื่นเช้า ธาริดาชอบนอนตื่นสายถึงไม่อยากตื่น แต่ เสียงผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา รวมทั้งเครื่องขยายเสียง ทำให้หล่อนไม่อาจฝืนที่จะข่มตานอนหลับได้ เสียงตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างล่าง ผสานกับเสียงเพลงลูกทุ่งดังกระหึ่มไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
เขาชื่อ ลัคสิทธิ์ ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ที่หล่อนต้องตะโกนโหวกเหวกลั่น เพราะเขาเปิดเสียงเพลงค่อนข้างดัง เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว เพราะห้องของเขานั้น มีหน้าต่างตรงกับห้องของหล่อน
“หยุดได้ มั๊ย หนวกหู ไปเปิดที่อื่นไป๊” หล่อนทั้งงัวเงีย และยืนด่าริมหน้าต่าง ลัคสิทธิ์ ที่ตื่นนานแล้ว เงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่ยักกะรู้ว่า คนกรุงเทพ นี่ตื่นสายอย่างนี้เอง” เขาว่าหล่อน
“นายมีสิทธิ์ อะไรมาว่าฉัน”
“สิทธิ์ ที่ผมเป็นคนบ้านป่า ทำอะไรอย่างอิสรเสรีได้ เพราะนี่ มันบ้านนอกของผม”
เขาปากร้ายมากกว่าที่คิดทำให้หล่อนนึกเถียงไม่ออก
“อีกหน่อย ฉันก็ไม่ได้อยู่นานหรอก บ้านนอกสับปะรังเคนี่ ฉันจะไม่เหยียบกลับมาอีกแล้ว” คำของหล่อน นั้น ก้องเข้าไปในหูของเขา ด้วยอารมณ์ที่แสนแค้น
“อย่างนั้นเหรอ อย่าคิดว่า จะได้ กลับไปอีก”
ไม่นึกเลยว่าจะได้รับคำยียวนกลับไปอย่างนั้น ในความคิดลัคสิทธิ์คิดว่า สาวเจ้าแสบไม่ใช่น้อย คงเอานิสัยสาวเมืองกรุงเกียจคร้านมาใช้
“ท้าได้เลยนะ ฉันว่า เธอจะไม่ได้กลับไปอย่างเด็ดขาด” ลัคสิทธิ์ลั่นคำเอาไว้
“เอาช้างมาฉุดฉันก็เอาไม่อยู่หรอก แก ไอ้บ้านนอก” หล่อนใช้คำพูดกรีดเสียงเน้นคำ ซึ่งมันเจ็บจี๊ดในหัวใจของลัคสิทธิ์เกินทนได้ คำว่าบ้านนอก
“เออ คอยดู สิ แม่สาวเมืองกรุง ต่อให้มีปีก เธอก็ติดปีกบินไปไหนไม่ได้”
“เชอะ แกมีสิทธิ์ อะไรมาสั่งฉัน” ธาริดาพ่นคำพูดออกไป อย่างไม่ยี่หระ
ใครกันนี่ ที่ปากเขาช่างกล้าและพูดจาไม่ดีใส่หูของเธอ ฉันเองก็ตื่นกลัวเหมือนกัน มองดูรอบนี้คือสภาพแวดล้อมที่ดูแต่มีความวังเวงกับต้นไม้ใบหน้าและแสงแดดทออ่อน แน่นอนเธอไม่รู้จักใคร แต่นายนนนี้พูดเหมือนหาเรื่องเธอ ธาริดาที่อยู่ในบ้านพักของญาติทางบิดาจัดให้เป็นบ้านชั้นสอง บ้านไม้ครึ่งปูน ดูกว้างขวางเป็นสัดส่วนเสียอย่างเดียวร้อนไปหน่อย เธอชินกับแอร์ แต่ช่างเถอะ ทนๆไป เดี๋ยวก็ได้กลับ เพระาบิดามาทำธุระเท่านั้น คนบ้านติดกัน ช่างไม่มีมารยาทเปิดเพลงไม่เกรงใจคนนอนเลย
ธาริดาขี้คร้านเถียง เป็นเพราะฉันเดินทางมาด้วยความเหนื่อยอยากจะพักผ่อนมากกว่า ส่วนคุณพ่อและคุณแม่ออกไปต้อนรับญาติ คงคุยธุระกัน และฉันไม่ได้สนใจด้วย แต่ยังดีที่มีพัดลมให้ ก็ช่วยได้บ้างอยู่หรอกเข้าไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าจนรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวบ้าง
ไม่นานฉันก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียนั่นล่ะ รู้สึกว่า จะมาตื่นอีกครั้งเพราะน้ำเสียงจากด้านนอก ที่เหมือนเถียงกันด้วยคำบางอย่าง ที่ดิฉันฟังไม่ออกด้วยภาษาพื้นเมืองของที่นี่ ชาวกูย คุณพ่อฉันพูดเป็นและดูเหมือนกำลังจะเถียงกับใครสักคน ที่ฉันไม่เคยรู้จัก ไม่คุ้นเคยน้ำเสียง แต่ก็พยายามเงี่ยหูฟังในความหมาย จนกระทั่งบิดาเอ่ยด้วยภาษาไทย
"ผมรับผิดชอบไม่ไหวหรอกแม่ ตอนนี้ในครอบครัวก็ใช่ว่าจะดี ขาดสภาพคล่อง เงินเดือนผมแต่ละเดือนหมดไปกับการใช้หนี้"
"ก็แกเคยเก็บหอมรอมริบเสียที่ไหน มีแต่ล้างผลาญ" เสียงดังนั้นเป็นของผู้หญิงที่ดูทรงอำนาจ บิดาเหมือนจะเกรงอยู๋ในที พลอยทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจด้วยกับน้ำเสียงของหญิงผู้นั้น เพราะเห็นน้ำเสียงประชดหยันและตำหนิใส่บิดาอย่างรุนแรง
บิดาของเธอทำอะไรผิดล่ะ ในเมื่อท่านเป็นบิดา ธาริดาก็อยากจะปกป้อง นี่ถ้าเธอวิ่งออกไปได้ เธอจะประกาศและกล่าวพูดต่อหน้าทุกคนกับหญิงสาวใหญ่คนนั้นที่มีวาจาไม่ดีต่อคุณพ่อ เธออาจจะถึงขั้นกล่าวเหน็บแนมประชดกลับไปบ้าง ที่ทางฝ่ายนั้นไม่ให้เกียรติแก่พ่อของเธอ แต่ก็ยากที่ธาริดาจะตัดสินใจออกไปในตอนนี้ น้ำเสียงของบิดาเงียบหายไปแล้ว ต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เสียงของแม่เธอไม่เห็นเอ่ยหรือแม่นิ่งทำปากเงียบ ปกติแม่จะไม่ไว้หน้าใคร และแม่ก็เถียงฉอดๆเพื่อเอาชนะเก่ง แต่ทำไมแม่เงียบ
เมื่อมารดาเงียบนานอย่างนี้ก็แสดงว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนที่มารดาไม่กล้าต่อกรด้วย ทำให้ธาริดายิ่งตัดสินใจอะไรไม่ได้
นี่คือความจริงหรือไงจากปากที่ออกมา หากธาริดาไม่เงี่ยหูฟัง หล่อนจะไม่ทราบเลยว่า จุดประสงค์บางอย่างที่ซ่อนอยู่ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แม่ของหล่อนไม่รู้ พ่อของหล่อนด้วย นี่คือเหลี่ยมเล่ห์
“หนี้สินเก่าๆ ล่ะ อย่าลืมนะว่า ฉันหาให้ และส่งเสีย พ่อคมจนได้ไปเรียนถึงในกรุง เป็นใหญ่เป็นโต ถึงรัฐมนตรี มันต้องชดใช้กันล่ะ”
พ่อของหล่อน พูดไม่ออก ยิ่งแม่ของหล่อน สตรีที่เรียกว่าแม่ใหญ่ ที่หล่อนยกมือไหว้ไปแล้ว เป็นคนที่น่าเกรงขามดวงตามีอำนาจในการข่ม แม้บิดาของหล่อนยังนั่งนิ่ง ท่าทางของผู้หญิงสาวใหญ่ผู้นี้เจ้าระเบียบเข้มงวด ธาริดาสะกดอารมณ์ฟังอย่างเจ็บปวด เมื่อเป็นแบบนี้ หล่อนจะหาทางเลี่ยง ชดใช้หนี้ ใช้หนี้อย่างไร พ่อของหล่อนไม่ได้มีเงินจำนวนมากมายอย่างนั้น
มารับรู้อย่างเงียบๆ แต่ก็เป็นไปด้วยความปวดใจทำไมหล่อนกับครอบครัวจะปฏิเสธหนี้กองโตนั่นไม่ได้
“พ่อ รัฐมนตรีคมอย่าลืมนะว่า เงินที่ฉันส่งเสียให้เธอเรียนสูง มันมากมายขนาดไหน ถึงกับขายที่ขายทาง อีกทั้งพ่อคม ก็ไม่ใช่ลูกในไส้ ลูกห่างที่เก็บเอามาเลี้ยงต่างหาก ให้มันมีอะไรเป็นหลักประกันบ้างสิ ส่งตัวลูกสาวของแกมาอยู่ที่นี่ ฉันจะคอยดูแลเอง มันเป็นไปตามเงื่อนไขในอดีตนะพ่อ ที่เงินราคาเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะไถ่ถอนตรงนี้ได้ พูดตามพูดเถอะ ฉันต้องการพันธ์ของลูกหลานเอามาไว้ที่นี่ อีกอย่างหลานชายของฉันก็ไม่ปฏิเสธ”
สุดที่จะทนนิ่งแอบฟังได้ ธาริดาอยากจะกรี๊ดออกมาที่สุด นี่เห็นหล่อนเป็นแม่พันธ์ไปแล้วหรือไง สตรีผู้มีน้ำเสียงเกรงขามอย่างที่ใครๆ ต้องเรียกว่าแม่ใหญ่ มาบังคับขู่เข็ญเอากับบิดามารดาของหล่อนอย่างนี้ พร้อมทั้งหล่อนด้วย ฟังเงื่อนไขนั่นปะไรเอาเปรียบกันชัดๆ
“เงื่อนไขนั่นด้วย แหม พ่อคม นี่หนีจากการเลี้ยงควายไปสามปี เข้ากรุงเทพไปเรียนหนังสือ ไม่กลับมา จนได้เป็นใหญ่เป็นโต สามสิบปีให้หลัง ฉันจะได้อะไรจากตรงนั้น ที่แน่ๆ เมื่อเจอแล้ว เมื่อได้แล้วฉันอยากจะให้แม่หนูนั่นมารับหน้าที่เลี้ยงควายแทนพ่อคมไงล่ะ พ่อกับลูกมันล้างกันได้นะฉันเสียอัฐโสหุ้ยไปมากมายราคาแพงเท่าไหร่ไม่เคยว่าสำหรับพ่อคมเรื่องนี้ควรจะสนองตอบความต้องการของฉันบ้าง เพราะฉันอยากจะได้หลานสะใภ้ชาวนา เข้ามาช่วยดูแล เลี้ยงฝูงควายห้าร้อยกว่าตัวเชียวนะ นี่เป็นธุรกิจย่อมๆ เลย ควายมันต้องเลี้ยงให้มันกินหญ้าตามทุ่งนี่คือสัญญาหลานสะใภ้ที่ฉันต้องการ จะต้องมาเลี้ยงควายที่นี่หลังจากแต่งงานกับหลานชายของฉันแล้วเพราะธุรกิจนี้กำลังไปได้สวย”
ทุกคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังรับฟังคำนี้ ไม่แม้แต่คุณนายของท่านรัฐมนตรี ที่ในใจอยากจะเบ้ปากไม่รับฟัง เพราะการมาคราวนี้เป็นการเสียเปรียบอย่างที่สุด ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่มีอะไรกอบโกย เป็นชิ้นเป็นอัน หรือได้กำไรกลับมาเลย
เมื่อได้ฟังดังนั้นธาริดาหล่อนยิ่งยี้ เลี้ยงควายกลางทุ่งกลางแดด โอ๊ยไม่เอา ผิวเสีย เกิดมาหล่อนเคยลำบากลำบนที่ไหนแม่ใหญ่ปากอุตพิษคนนี้ดูเหมือนร้ายและแสบสันไม่น้อย นี่หรือหวังดีต่อลูกหลาน หวังดีแบบประสงค์ร้ายนะสิ แกล้งหล่อนแบบนี้ ธาริดาโวยบ่นในใจ หล่อนได้ยินทุกคำพูดแล้วอยากจะไปให้ไกลจากบ้านนอกคอกนาตรงนี้เลย
และไม่อยากอยู่ตรงนี้เสียแล้วอยากจะอันตรธานหายตัวไป หมายความว่าที่เดินทางกันมาแบบนี้ มีการตกลงด้วยหมายเอาตัวหล่อนมาอยู่ที่นี่ พ่อของหล่อนจะทำอะไรได้ พ่อของหล่อนช่วยไม่ได้เลย
ธาริดากำลังครุ่นครวญแทนการกรีดร้อง หล่อนจะกระโตกกระตากให้ใครฟังไม่ได้ ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน เพราะหล่อนจะแอบหนีจากหมู่บ้านแห่งนี้ ด้วยเงินติดตัวพันกว่าบาท คงจะพาหล่อนไปถึงกรุงเทพ พ้นไปจากคำพูดอันน่ากลัวและน่าสะอิดสะเอียนของผู้ใหญ่ที่เหมือนจะยกหล่อนให้กับชายแปลกหน้าฟรีๆ ธาริดากำลังหาทางเก็บเสื้อผ้าและกำลังลงจากเรือน