ธาริดาต้องมาที่นี่ บ้านเก่าของพ่อที่แทบจะไม่ได้ย่างก้าวมาเหยียบนานแล้ว แต่แม่ก็เคยบอกว่า หล่อนเคยมาที่นี่หนหนึ่งนานแล้ว ครั้งอายุได้ห้าขวบ จากนั้นก็ไม่เคยมาอีก มีเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้พ่อไม่อยากกลับมาที่นี่ เป็นสิ่งที่พ่อซ่อนเอาไว้มานาน
รัฐมนตรีแผน บิดาของหล่อน ท่านดำรงหน้าที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยปัจจุบัน กับคุณพิมาลามารดาของหล่อน ธาริดาจำใจต้องมา ถือว่าเป็นคำสั่งของบิดา ที่หล่อนถูกเรียกตัวจากญาติของบิดาที่หลงเหลืออยู่ จะว่าญาติก็หาใช่ หล่อนไม่เคยรู้เรื่องนี้ มารดาก็ไม่ได้เล่าเท้าความอะไรมากมาย หล่อนแทบไม่รู้ปูมหลังหรืออดีตของบิดาสักเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะเด็กด้วยผู้ใหญ่จึงไม่อยากสนใจนัก
แต่ว่าธาริดาก็เป็นเด็กหญิงที่เรียกร้องเอาแต่ใจของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก หล่อนยอมรับว่า ทั้งบิดาและมารดาตามใจ ในตระกูลพันธ์โภคาของหล่อน ใช่จะมีหล่อนเพียงคนเดียว น้องสาวที่คลานตามกันมา น้องนุชสุดท้องของบ้าน ที่มีชื่อว่า ญดานุช หรือยายนุชของพี่และพ่อแม่
ญดานุชคนเดียวที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยเพราะติดสอบ ถ้าเป็นไปได้หล่อนเองก็อยากเลี่ยง เพราะภาพชนบทที่เรียกว่าบ้านนอกคอกนา ไม่มีส่วนไหนเจริญเลยสักนิด ธาริดาพี่สาวคนโตของบ้าน การมาที่นี่ติดตามบิดามาจึงเหมือนซังกะตายและใจถูกบังคับ เอาเหอะ หลับหูหลับตาเชื่อตามผู้ใหญ่ ที่ท่านต้องการคงไม่นานหรอก ถือว่าเอาใจคนแก่ และจากนั้นพอหล่อนกลับเข้ากรุงเทพ ก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ออกจากบ้าน เมื่อวานนี้เกือบจะห้าทุ่ม เพราะบิดาตระเตรียมหลายอย่าง สั่งงานไว้กับลูกน้องเบื้องหน้า ของฝากของขวัญอีกล่ะ ที่จะให้แก่บรรดาญาติที่บ้านนอก หล่อนขอเรียกว่าบ้านนอก เพราะสีหน้าของหล่อนนั้นออกจะชิงชังรังเกียจเสียเต็มประดา ใครรู้ว่าหล่อนมีญาติอยู่ที่บ้านนอก ห่างไกลจากความเจริญแสนทุรกันดารน่าดู คงจะอับอายเขาทั่วไปหมด ดังนั้นธาริดาจึงไม่อยากเอ่ย
โดยเฉพาะบิดาของหล่อนมีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรี ใหญ่โต เป็นที่รู้จักนับหน้าถือตา อยู่ในวงสังคมชั้นสูง สนิทสนมคบหากับผู้ใหญ่ระดับเดียวกัน ไม่มีชั้นต่ำไปกว่านั้น มารดาของหล่อน คุณพิมาลา ก็เหมือนจำใจต้องมา ไม่ต่างจากลูกสาวนัก
หนำซ้ำบ่นว่า กะปอดกะแปด
“มาทำไมตั้งไกล ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรล่ะ คงจะมีแต่คอกควาย ขี้ควายแล้วก็ทุ่งแล้งๆ หนำซ้ำร้อนตับแตก”
คำบ่นของภรรยาแว่วไปถึงหูของท่านรัฐมนตรีที่นั่งคู่กัน รู้สึกร้อนหนาว แต่ก็รู้ถึงความประสงค์ที่เกิดอยู่ข้างหน้าที่จะถึง จากแม่บุญธรรม นางสาทิน นายแผนยังสำเหนียกอยู่ในใจว่านางนั้นมีบุญคุณกับเขามากแค่ไหน ที่ช่วยเลี้ยงดูเด็กกำพร้ารับเอามาจากวัด มาเลี้ยงเป็นลูก หลังจากที่สองสามีภรรยาพ่อแม่ของเด็กตายอย่างกะทันหัน
สาเหตุการตายของสามีและภรรยาคู่นี้ คือถูกจ้วงแทงด้วยคมมีด จับฆาตกรไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนที่อยู่ในวงเหล้า ในขณะนั้นท่านแผน เพิ่งจะอายุได้ห้าขวบ เพิ่งจะหย่านม โตขึ้นจึงได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น จึงฝังใจเกลียดเคียดแค้น ที่พ่อแม่ถูกกระทำ
ท่านแผนฝังใจไปกับเรื่องในอดีตที่นมนานไปแล้ว มันเหมือนกระตุ้นระลึกถึงความหลัง ที่มีทั้งรักและแค้นที่เขาซ่อนในใจ และไปถึงที่นั่น เขาจะได้พบหน้ากับคู่อริอีกครั้ง หลังจากที่ในวันนี้เขาทำได้ดีกว่าเพื่อนโง่เง่าที่เอาเปรียบเห็นแก่ตัวกับเขา นายแผนถีบทะเยอทะยานตัวเองมาไกล จบจากชั้นมหาวิทยาลัยจากคณะรัฐศาสตร์ สอบเข้ารับราชการไต่เต้าตำแหน่งมาเรื่อย จนกระทั่งเข้าสู่ตำแหน่งนายตำรวจยศพันโทเขาจึงลาออกจากตำแหน่ง เข้าสู่สนามการเมืองจากการชักชวนของเพื่อนสนิท และทำให้เขาพาตัวเองกรุยทางสู่ความสำเร็จอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ไปไหนมาไหนทุกคนเกรงขาม การเดินทางออกไปตามถิ่นที่เพื่อตรวจงานในหน้าที่ ภาพข่าวผ่านจอทีวีมีให้เห็นบ่อยครั้ง ไม่ต่างจากศิลปินที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ที่บรรดานักข่าวประจำทำเนียบรู้จักดี
ที่นี่ห่างไกลจากที่หล่อน เคยเจอ ทั้งกันดาร แต่ก็เข้าใจ ว่า นี่ คือ รกราก ของพ่อในอดีต ก่อนจะจากชนบท ไปอยู่กรุง นี่ คือ ครั้งแรก ที่ หล่อนต้องกลับไปหาสิ่งเหล่านั้น แต่ก็คิดว่า ไป ไม่นานแล้วจะกลับ เพราะที่นั่นไม่มีอะไรดีเลย ในสายตาของหล่อน
เธอไม่คุ้นเคยกับอะไรทั้งสิ้น ที่นี่มีแต่ผืนแผ่นดินที่แตกระแหงในสายตาของเธอเมื่อรถของบิดาเล่นเข้ามาตามเส้นทางที่เป็นถนนราดยางมาตอย เห็นฝูงควายอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลสายตา และเล็มหญ้าควายจำนวนมากเหล่านั้นเธอให้เธอรู้สึกตื่นกลัว เธอนึกอยู่ในใจ จะมาอยู่กี่วันเชียวเดี๋ยวก็กลับ เมื่อธุระของบิดาเสร็จ
ส่วนเธอเล่าจะว่าไปกำลังจะไม่มีที่ไปเหมือนกัน การงานที่ไม่มั่นคง เธอถูกบีบคั้นมาก จะลาออกหรือไม่ลาก็มีค่าเท่ากัน ด้วยความนึกเซ็งในกรุงเทพฯนี่เอง ธาริดาจำยอมมาในครั้งนี้ แต่ว่าบิดาเหมือนแกมบังคับเธอด้วย
น้องสาวไม่ต้องพูดถึง ญดานุชไม่มาเด็ดขาดเพระาติดเรียน ทำให้เธอต้องแบกหน้าและรับผิดชอบตรงนี้ พอมาถึงตรงนี้เส้นทางของถนนไม่สู้ดีนัก บางครั้งเป็นหลุมเป็นบ่อ จนรถคันหรูของบิดานั้นกระเด้งกระดอน
"ใกล้ถึงแล้วลูก" บิดาของเธอบอก แม่ของเธอคุณพิมาลานั่งรถไปก็ยกมือขึ้นทาบอก
"ให้ถึงเร็วๆเถอะค่ะ ถนนไม่สู้ดีเลย นี่แหละบ้านนอก" คุณพิมาลากล่าวค่อนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไยดีและชอบใจกับสถานที่แห่งนี้ที่ห่างไกลความเจริญ ส่วนธาริดาได้แต่นั่งนิ่งภาวนาให้ถึงโดยเร็วเถอะ
กลิ่นโคลนและสาบควายฉุนปะทะเข้ากับจมูก ท่านรัฐมนตรีเผลอสูดดม รำลึกความหลัง เกือบไปแล้วสิ เกือบลืมว่าเคยเป็นคนในหมู่บ้านนี้ ถ้าไม่ได้ความทรงจำเก่าๆ จากญาติ ที่ถือว่า เป็นพี่สาว พวกลูกจะต้องเรียกนางว่ายาย อีกทั้งแม่บุญธรรม นางสาทิน
เพราะตามใจพ่อมากกว่าแม่ไม่ได้เห็นด้วย ยิ่งมาแถว บ้านนอกที่ไร้การพัฒนา ที่ ธาริดาว่าพวกล้าหลัง หล่อนค่อนขอดพูดสนุกสนานกับแม่ คุณพิมาลาเห็นดีด้วย เรียกว่ามา ตามคำเชื้อเชิญ ไม่ได้มาด้วยใจจริง
รู้แต่ที่นี่ ไกลจากบ้าน ซึ่งอยู่ในกรุงเทพ จำเป็นต้องอดทน ธาริดาไม่ได้ ต้องการมาแต่แรก หากไม่ เพราะ พ่อรบเร้า ถือว่า หล่อนมาตามน้ำ มาตาม คำชวน ไม่ได้มาด้วยใจจริง จะมีอะไร นอกจาก ท้องทุ่งกว้าง เห็น มี สีเขียวขจี เพราะหน้าฝน
“เพราะยังงี้สิคะ คุณแม่ ธา ถึงไม่อยากจะมาเลย ไม่เห็นมีอะไร น่าดูสักอย่าง”
หล่อนพูดไปตามความรู้สึก ส่วนคุณพิมาลา เห็นลูกสาวพูดอย่างนั้น รีบจุ ปากไว้ ธาริดา ลูกสาว คนนี้ โพล่งขึ้นมาทันที เพราะ กำแพงมีหู ประตู มี ช่อง นาง เชื่อคำ พวกนี้
“ไม่ใช่ บ้านเรา” พอมารดา เอ่ย พูด ธาริดา เลย หยุด ปากเอาไว้
“จะต้อง อยู่ ถึงอาทิตย์ เชียว หรือ คะ ไหนว่า สองสามวัน”
พอ ได้ ยิน อย่างนี้เข้า ทีแรกจาก บิดาเอ่ยน่า จะทำธุระ แค่สองสามวัน หลังจาก บิดาเข้าไปคุยกับเครือญาติ ดู เหมือนจะเลื่อนให้เป็น ถึงสัปดาห์ หน้า
“มันนาน เกินไปธา มีงานต้องทำแล้วไม่ได้สบายอย่าง ยัยดานี่คะ มีหน้าที่แค่เรียนหนังสืออย่างเดียว”
คุณพิมาลา เข้าใจคำบ่นของลูกสาวคนโต สำหรับนางก็ ไม่พอใจ เหมือนกันเมื่อ ถามสามี ท่านรัฐมนตรีแผนก็ ได้ คำตอบว่า
“มีงานฉลองอัฐิ ทำบุญบรรพบุรุษ ซึ่งพ่อคิดว่า มีความสำคัญ ควรจะต้องร่วม พ่อไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว” นายแผน เอ่ย บอก ลูกสาว รวมทั้งให้ภรรยาเข้าใจด้วย คุณพิมาลา เงียบ