ไม่กี่ปีก่อนลูการ์ คาลเซอร์ ได้รับเลือกให้ออกปฏิบัติภารกิจยึดครองดวงดาวในกาแล็กซีฟรอสต์ ซึ่งเป็นกาแล็กซีที่เพิ่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจของดาวเมม ตามกฎของสมาพันธ์ การค้นพบกาแล็กซีใหม่นั้น ดาวของนักสำรวจที่จดแจ้งการค้นพบจะมีสิทธิ์ในการครอบครองดวงดาวในกาแล็กซีนั้นๆ สิบเปอร์เซ็นต์ โดยจะมีเวลาในการทำเครื่องหมายบนดาวที่ครอบครองไม่เกินหนึ่งเดือน หลังจากนั้นดาวอื่นๆ ก็จะส่งกองกำลังของตนเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ในกาแล็กซีใหม่นี้เพื่อขยายฐานอำนาจและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าย่อมเกิดการปะทะระหว่างกองกำลังของแต่ละฝ่าย เรียกว่าสงครามแย่งชิงดาวก็ไม่ผิด
ผลงานของลูการ์เป็นที่ประจักษ์ นอกจากจะทำเครื่องหมายบนดาวได้หลายดวงแล้วยังช่วยเหลือกองทัพของดาวอื่นที่ถูกชาวพื้นเมืองจับเอาไว้ด้วย รวมถึงให้การคุ้มครองทีมวิจัยออกไปสำรวจดาวต่างๆ ฆ่าล้างบางสัตว์ประหลาดระดับราชา และอื่นๆ อีกมากมาย
ภารกิจแย่งชิงดาวในกาแล็กซีที่เพิ่งถูกค้นพบไม่ต่างอะไรกับการผจญภัยในดินแดนพิศวงที่มีทั้งอันตรายสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นทั้งมิตรและศัตรู รวมถึงอารยธรรมและทรัพยากรใหม่ๆ ที่รอให้ไปค้นหา แต่แล้วลูการ์ที่กำลังสนุกกับภารกิจก็ถูกเรียกตัวกลับดาวอามอสเพื่อร่วมพิธีปฏิญาณตนในนามเฮปตากอนกับสมาชิกใหม่ที่ได้รับบรรจุพร้อมกันรวมทั้งหมดห้าคน นักรบสี่และนักวิจัยหนึ่ง
การได้รับเลือกให้เข้าร่วมกับเฮปตากอนกองกำลังหลักแห่งดาวอามอสถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของพลเมือง ซึ่งน้อยคนนักจะก้าวไปถึงจุดนั้น
ลูการ์โดดเด่นตั้งแต่อยู่โรงเรียนต่อสู้อาธีน่า จนกระทั่งทดสอบเข้าร่วมกองทัพอวกาศภาคท้องถิ่นได้สำเร็จและค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นสู่ระดับเมือง ประเทศ ไปจนถึงระดับทวีป ใช้เวลาเติบโตทั้งหมดสิบปี และในสิบปีนี้ลูการ์ก็สามารถก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังหลักเฮปตากอน ศูนย์กลางอำนาจของดาวอามอสได้สำเร็จในวัยเพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น
ความสำเร็จของลูการ์นอกจากสร้างเกียรติยศให้กับครอบครัวแล้ว ยังได้รับการเชิดชูจากตระกูลอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ตระกูลทรงอำนาจอย่างตระกูลโฮแกน
บ้านใหญ่ตระกูลลูเซอร์
จดหมายแสดงความยินดีที่ได้รับบรรจุเข้าเฮปตากอนส่งมาเป็นร้อยร้อยฉบับ แต่ที่สะดุดตามากที่สุดเห็นจะเป็นจดหมายจากตระกูลโฮแกน
“วะฮ่าๆ เจ้าบ้าเดรกนั่นถึงกับเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานฉลองให้เลยรึ” มาคัส ลูเซียร์ ผู้นำตระกูลลูเซียร์คนปัจจุบันหัวเราะเสียงก้องห้องโถง
“อะไรนะ” มีอา พี่สาววัยกลางคนฉกจดหมายในมือของมาคัสมาดู สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ มองข้อความที่บรรจงเขียนด้วยลายมือแล้วพอจะคาดเดาเจตนาของเจ้าของจดหมายได้เลือนราง
“เดรก โฮแกน… ตระกูลเก่าแก่ที่ร่วมก่อตั้งเฮปตากอน ว่ากันว่าบ้านนั้นมีแต่ลูกสาว ไร้คนสืบทอดตระกูล แถมเดรกยังไม่คิดแต่งภรรยาเพิ่ม ลูกสาวคนโตแต่งงานออกเรือนไปเมื่อสองปีก่อน ครั้งนั้นก่อนจะประกาศการหมั้นหมายก็จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับว่าที่ลูกเขยที่ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าทีมวิจัยของเฮปตากอน นี่อย่าบอกนะว่าคิดจะจับคู่ลูการ์กับลูกสาวตัวเองอีกน่ะ”
“แล้วมันไม่ดีเหรอ ได้ดองกับตระกูลโฮแกนไม่มีอะไรเสียหายเลย”
“คนที่ควรได้รับโอกาสนี้ควรเป็นมิคาเอลของเราต่างหาก” มีอาเอ่ยถึงหลานรักของตนเอง
ระหว่างที่ลูการ์ไปทำภารกิจที่กาแล็กซีฟรอสต์ มิคาเอลก็ผ่านการคัดเลือกเข้ากองทัพภาคพื้นแล้วเช่นกัน เพียงแต่ผลงานยังไม่โดดเด่นพอจะบรรจุเข้าเฮปตากอน เรียกได้ว่าตามหลังลูการ์อยู่หลายก้าว ไม่แปลกที่ผู้นำตระกูลโฮแกนจะมองข้ามมิคาเอลไป
“เจ้าหลานรักของพี่น่ะเหรอ” มาคัสส่ายหน้า “มันมีอะไรให้ผู้นำตระกูลโฮแกนสนใจล่ะ ก็แค่เด็กเพิ่งหัดเดิน ไว้ให้มันมีผลงานที่โดดเด่นก่อนค่อยคาดหวัง ยังไงตระกูลโฮแกนก็เหลือลูกสาวตั้งสองคน ลูการ์แต่งคนกลาง มิคแต่งคนเล็ก เข้าท่าอยู่นา”
“เหอะ หวังว่าผู้นำตระกูลโฮแกนจะไม่รีบหาคนมาแต่งกับลูกสาวคนเล็กซะก่อน แล้วก็นะ ฉายาของลูกสาวคนเล็กก็ไม่น่าฟังเท่าไหร่ด้วย ฉันไม่อยากได้เด็กปีศาจแบบนั้นมาเป็นหลานสะใภ้หรอกนะ”
“ผู้หญิงดีๆ ชาติตระกูลสูงศักดิ์บนดาวอามอสไม่ได้มีแค่ตระกูลโฮแกนสักหน่อย อีกอย่างเรื่องลูกสาวคนเล็กของเดรกก็แค่ข่าวลือ เรายังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ จะตัดสินเลยก็คงไม่ได้หรอก”
“แต่ในบรรดาเด็กสาวรุ่นนี้ก็ไม่มีใครสูงศักดิ์เท่าลูกสาวจากตระกูลโฮแกนอีกแล้ว”
มาคัสฟังพี่สาวเอ่ยแล้วยักไหล่ ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้น อีกอย่างเขาแค่พูดเล่นไม่ได้คิดจริงจังเรื่องคู่ครองของลูกชาย จะแต่งจะหมั้นหมายกับใครได้หมด มาคัสใจกว้างอยู่แล้ว
“เราปฏิเสธดีไหม”
เงียบกันไปสักพักเสียงมีอาก็ดังขึ้น มาคัสนึกว่าคุยกันจบแล้ว เรียวคิ้วเข้มยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินพี่สาวของตนพูด
“จะปฏิเสธทำไมล่ะ ยื่นชิ้นเนื้อมาขนาดนี้ไม่งับก็โง่แล้ว อีกอย่างถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลด้วย”
“คนอื่นจะหาว่าบ้านเราเกาะชายกระโปรงผู้หญิงเอานะ”
“หืม... พี่คิดมากไปหรือเปล่า ลูการ์ประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้มีแต่คนอยากได้เป็นเขย ไม่มีใครเขาคิดอย่างที่พี่ว่าหรอก ไม่ต้องกังวลไป”
“นี่แปลว่าแกเห็นดีเห็นงามให้ลูการ์หมั้นหมายกับลูกสาวคนกลางของเดรกงั้นเหรอ”
“แล้วทำไมผมจะต้องไม่เห็นด้วยล่ะ” มาคัสยืดอกเอ่ยอย่างภาคภูมิ
“ยิ้มหน้าบานเชียวนะ อย่างกับลูการ์เป็นลูกแกจริงๆ งั้นล่ะ”
“ผมเลี้ยงเขามา ถึงจะไม่ใช่สายเลือดโดยตรงแต่เขาก็คือลูกผม”
“เหอะ ห่อข้างแคร่น่ะสิ”
“พี่! พูดอะไรน่ะ อย่าพูดแบบนี้อีกนะ ถ้าลูการ์กับแม่เขามาได้ยินรู้ไหมว่าจะเสียใจขนาดไหน”
มาคัสพูดจบก็ฉวยกระดาษในมือของมีอาคืนแล้วลุกเดินออกไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“มาคัส!”
มีอามองตามน้องชาย ไม่พอใจที่ถูกอีกฝ่ายชักสีหน้าใส่แบบนั้น
คฤหาสน์โฮแกน
ก๊อกๆ
“เข้ามา” เสียงทุ้มในห้องเอ่ยขึ้น หลังจากนั้นประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดเข้ามา
“คุณพ่อให้คนไปตามเวียร์ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
แอเวียร์ โฮแกน ลูกสาวคนรองของตระกูลโฮแกน รูปโฉมงดงาม กิริยาอ่อนช้อย มีความเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว ก้าวเข้ามาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานแล้วถอนสายบัวเล็กน้อย มองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
เดรก โฮแกน ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันมองลูกสาวที่แสนภาคภูมิใจ ใบหน้าของชายวัยกลางคนระบายยิ้มอบอุ่น เดรกเปิดภาพชายหนุ่มบนจอโต๊ะทำงานให้แอเวียร์ดู
“ดูนี่สิ”
แอเวียร์ชำเลืองมองรูปชายหนุ่มหน้าเข้ม ผมสั้นเตียน ดวงตาสีดำสนิท นับว่าเป็นภาพถ่ายประจำตัวที่ดูดุดันใช้ได้
“ลูการ์ คาลเซอร์” เธอเอ่ยชื่อของเขาออกมา
“ลูกรู้จักสินะ”
“ลูการ์นักรบที่เพิ่งบรรจุเข้าเฮปตากอน ไปที่ไหนใครๆ ก็พูดถึง เวียร์จะไม่รู้จักได้ยังไงคะ”
“แล้วลูกคิดว่าเขาเป็นยังไง”
“คุณพ่อหมายถึง?”
“ในความคิดของลูกน่ะ ลูกคิดว่าลูการ์เป็นยังไง”
แอเวียร์เหลือบมองภาพชายหนุ่มบนจออีกครั้ง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบไปตามตรง “มองจากรูปก็รู้สึกเลยค่ะว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ในสนามรบถ้ามีคนคนนี้อยู่ด้วยก็คงรู้สึกอุ่นใจไม่น้อย”
“แล้วในฐานะคู่ครองล่ะ ลูกคิดเห็นยังไง”
“คุณพ่อคงไม่ได้หมายถึง... คู่ครองของเวียร์หรอกนะคะ” แอเวียร์ใจสั่น มองสบตาผู้เป็นพ่ออย่างตั้งตัวไม่ทัน เธอรู้เรื่องที่พ่อจับคู่ให้พี่สาวดี และคิดว่าสักวันก็คงถึงคราวของตัวเอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับรู้สึกต่อต้านขึ้นมาในใจ
“ใช่ พ่อคิดจะหมั้นหมายลูการ์ให้กับลูก”
“คุณพ่อ...”
“ผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะมองยังไงก็ยังพัฒนาได้อีกไกล เหมาะจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเราที่สุดแล้ว”
“แต่เวียร์กับเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน คุณพ่อพูดเรื่องนี้กับเขาแล้วหรือยังคะ” แอเวียร์แม้แอบไม่พอใจที่ถูกจับคู่แต่ก็ไม่บุ่มบ่ามใช้อารมณ์เพราะรู้ดีว่าโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ข้อดีของแอเวียร์คือต่อให้ไม่ชอบใจแค่ไหนก็ยังคงความสงบนิ่งเอาไว้ได้เสมอ
“ยัง พ่อบอกลูกก่อน”
“คุณพ่อแน่ใจเหรอคะว่าเขาจะยอมหมั้นหมายกับเวียร์”
“ไม่มีใครกล้าปฏิเสธไมตรีจากตระกูลโฮแกนหรอก” เดรกยิ้มอย่างมั่นใจ
“พี่เวียร์ พี่เวียร์!”
แอลิน่าน้องเล็กแห่งบ้านโฮแกนกำลังทดลองใช้เครื่องตัดหญ้าอัตโนมัติที่ตนคิดค้นขึ้น ช่วยคนสวนเล็มหญ้าในสวนเห็นพี่สาวเดินผ่านมาพอดีจึงตะโกนเรียก แต่แอเวียร์ใจลอยไม่ได้ยิน แอลิน่าจึงเรียกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมจนแอเวียร์สะดุ้ง หันกลับไปมองแอลิน่าด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก
“ลิน”
“เหม่ออะไรอยู่เหรอ เมื่อกี้พี่เข้าไปในห้องทำงานพ่อใช่ไหม มีอะไรหรือเปล่า”
แอลิน่าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เรื่องนั้น...” เวียร์มองสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของแอลิน่าก่อนจะเล่าให้ฟังแบบไม่มีปิดบัง เพราะยังไงแอลิน่าก็ต้องรู้อยู่แล้ว
หลังจากฟังพี่สาวเล่าจบ แอลิน่าก็เอามือกอดอก มองท่าทางกลุ้มใจของแอเวียร์ก่อนจะเอ่ยทัก “พี่ไม่ชอบเหรอลูการ์น่ะ”
แอเวียร์อึ้งเล็กน้อยกับคำถามของน้องสาว เธอมัวแต่ตกใจตอนที่รู้ว่าพ่อคิดจะหมั้นหมายเธอกับลูการ์ คาลเซอร์ เลยไม่ทันได้สำรวจความรู้สึกที่เธอมีต่อชายคนนั้น
ทว่าแอเวียร์ใช้เวลาคิดไม่นานก็ตอบน้องสาวว่า “พี่ไม่เคยเจอ ไม่รู้หรอกว่าชอบไหม”
“ชอบไม่ชอบดูรูปก็น่าจะตอบได้แล้วนา”
“พี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูการ์สักนิด แล้วจะให้พี่พูดว่าชอบออกมาส่งๆ ได้ยังไง”
“แล้วพี่ตอบพ่อว่ายังไง”
“พ่อไม่ได้เรียกพี่เข้าไปถามความสมัครใจนะลิน แค่เรียกเข้าไปบอก... ลินก็น่าจะรู้ว่าเรื่องนี้พี่ปฏิเสธไม่ได้”
“น่าสงสารจัง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูด พอถึงเวลาลินก็ต้องโดนจับคู่เหมือนกันนั่นแหละ”
แอลิน่าเบ้หน้า “ลินไม่ยอมหรอก ถ้าพี่ไม่ชอบพี่ก็อย่ายอมสิ”
แอลิน่าชี้นำพี่สาวให้แข็งข้อกับคนเป็นพ่อ แอเวียร์ฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อนกับความตรงไปตรงมาของแอลิน่า ไม่ได้ตอบอะไรอีก