พระอาทิตย์…
ทะเล…
เสียงเรือสปีดโบ๊ทแล่นกระทบบนพื้นผิวทะเลด้วยความเร็ว จุดหมายคือเกาะเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป…
“ไม่ได้มาเที่ยวทะเลด้วยกันนานเลยนะว่ามั้ย?” หญิงสาววัย 50 ต้นๆ เดินมายืนคู่กับชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “คิดถึงคนที่นั่นจะแย่แล้วเนี่ย”
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งดูดีไปทุกสัดส่วนสวมแว่นกันแดดสีชาหันมามองผู้เป็นแม่พร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย เพราะเขารู้ดีว่าแม่เขานั้นอยากมาเที่ยวที่นี่อยู่นานแล้วแต่ด้วยที่ว่าพ่อเขานั้นทำงานหนักจนไม่ค่อยมีเวลา ส่วนเขาเองก็เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายทำให้วุ่นอยู่กับโปรเจคจบเหมือนกัน และวันนี้เป็นวันที่ทุกคนว่างตรงกันผู้เป็นแม่จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ครอบครัวของเราจะได้มาที่นี่สักที
ใช้เวลาไม่นานนักเรือสปีดโบ๊ทก็จอดเทียบที่ท่าเรือส่วนตัวของ ‘เกาะมารีริน’ ซึ่งเป็นที่ที่แม่ของเขานั้นต้องการมาพบกับเพื่อนสนิทคนสำคัญ
“มาลี!! แอร๊ยยยย ฉันคิดถึงแกมาก อยากมาหาตั้งนานแล้วเนี่ย”
ทันทีที่ขึ้นมาบนฝั่งผู้เป็นแม่ก็เห็นว่าเพื่อนสนิทของเธอนั้นยืนรอรับอยู่ก็รีบเดินเข้าไปหาพร้อมกับสวมกอดด้วยความคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันก็คิดถึงแกนับดาว! ฮือออ อยากไปหาแกที่กรุงเทพแต่ทางนี้ก็วุ่นมากยังปลีกตัวไปไม่ได้เลย แต่ตอนนี้แกก็มาหาฉันแล้วนี่ ไปๆ เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
สองสาวเพื่อนสนิทจูงมือกันเดินเข้าไปด้านในโรงแรมแห่งเดียวบนเกาะแห่งนี้โดยที่ไม่หันมามองลูกมองสามีที่ยืนทำตาปริบๆ อยู่ที่เดิมแม้แต่น้อย
“แม่แกเป็นแบบนี้ตลอด เจอเพื่อนแล้วลืมผัว!” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นพลางส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเมียสุดที่รักที่ตอนนี้เดินนำออกไปไกลแล้ว
นับดาวกับมาลีเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยจนกระทั่งเรียนจบ นับดาวนั้นได้แต่งงานกับรพีภัทรและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนคือ ‘อาทิตย์’ และหลังจากนั้นอีกไม่นานมาลีก็ได้แต่งงานกับสายชลและย้ายมาอยู่ที่ภาคตะวันออกเนื่องจากสายชลนั้นมีธุรกิจอยู่โซนนี้ที่ต้องดูแล รวมถึงเกาะมารีรินนี่ก็ด้วย ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อ ‘มาริน’
ส่วนเกาะ ‘มารีริน’ สายชลซื้อหลังจากที่มาลีคลอดลูกสาวสุดที่รักเขาจึงตั้งชื่อเกาะโดยเอาชื่อคนที่เขารักที่สุดสองคนมารวมกัน และสร้างโรงแรมขึ้นที่นี่เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาพักได้รับความสะดวกสบาย แถมยังมีการพูดคุยกับชาวบ้านเรื่องการสร้างรายได้ให้กับชุมชนบนเกาะ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่นอกจากจะได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นธรรมชาติที่ติดกับทะเลแล้วยังได้สัมผัสวิถีชุมชนชาวเกาะจากที่นี่ไปอีกด้วย
“สวัสดีครับคุณสายชล ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” รพีภัทรพูดขึ้นทักทายสามีของเพื่อนสนิทของภรรยาเขา
“สวัสดีครับคุณรพี… นี่ตาอาทิตย์ใช่มั้ยครับ เรียนอยู่ปีไหนแล้วล่ะเราหรือว่าจบแล้ว” สายชลหันไปตอบรับคำทักทายของรพีภัทรก่อนจะหันไปทักทายอาทิตย์ที่เขาเอ็นดูเหมือนลูกชายอีกคนด้วยน้ำเสียงใจดี
“ปีสุดท้ายแล้วครับ” อาทิตย์ตอบกลับยิ้มๆ
“มาลีแล้วหนูมารินอยู่ไหนล่ะ? ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นเลย คิดถึงหลานสาวสุดที่รักใจจะขาดแล้วเนี่ย” นับดาวพูดพร้อมกับสอดส่องสายตามองหา ‘มาริน’ ที่เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทและก็เป็นคนที่นับดาวรักเหมือนลูกสาวอีกคนด้วย
“ฉันบอกให้ยัยรินไปเจอกันที่ห้องอาการน่ะ พวกเราก็ไปที่นั่นกันเถอะ วันนี้ฉันสั่งเชฟทำเมนูโปรดของแกไว้ทั้งนั้น” มาลีพูดพร้อมกับจูงมือนับดาวเดินนำไปยังห้องอาหารโดยที่ไม่สนใจสามีและลูกอีกตามเคย
“ฮ่าๆๆ คิดเหมือนผมมั้ยครับคุณรพี สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วพวกเราดูเป็นธาตุอากาศไปเลย” สายชลหันไปกระซิบกับรพีภัทรก่อนที่ทั้งคู่จะมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
ภายในห้องอาหารที่ตอนนี้จัดเป็นโซนส่วนตัวเพื่อให้ทั้งสองครอบครัวได้คุยสารทุกข์สุกดิบกัน ซึ่งส่วนมากจะเป็นมาลีกับนับดาวซะมากกว่าที่พูดกันไม่หยุดทั้งๆ ที่เธอสองคนก็โทรหากันออกจะบ่อย แต่ก็ไม่วายมีเรื่องเม้ากันไม่รู้จบเสียที
“ยัยรินนี่ช้าจังเลยนะคะ คุณโทรตามหน่อยสิ” มาลีกันไปบอกผู้เป็นสามีและพ่อของลูกสาวเมื่อเห็นว่าผ่านมาสักพักแล้ว ลูกสาวตัวแสบยังไม่ตามมาที่ห้องอาหารสักที
“นู่นไง! เดินมาแล้ว” สายชลพูดพร้อมกับมองไปยังตรงทางเข้าที่เห็นลูกสาวสุดที่รักกำลังเดินยิ้มเข้ามา
ปึก!!
เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมารินที่เอาแต่เดินยิ้มมาโดยที่ไม่มองทางได้ชนเข้ากับพนักงานที่นำอาการเข้ามาเสิร์ฟพอดี
“ยัยริน!!!”
“หนูริน!!!”
มาลีและนับดาวอุทานพร้อมกันด้วยความตกใจ ส่วนผู้ชายบนโต๊ะอาหารทั้งสามคนก็ตกใจไม่แพ้กันแต่ไม่ได้อุทานอะไรออกมา โชคดีที่อาหารจานนั้นไม่ได้เป็นพวกต้มหรือแกงที่ร้อนๆ ไม่อย่างนั้นมารินก็คงจะเจ็บตัวไม่น้อยเลยทีเดียว
“คุณแม่…” มารินเรียกชื่อผู้เป็นแม่พร้อมกับทำท่าเบะเล็กน้อย เธอไม่ได้เจ็บตัวตรงไหนแต่แค่รู้สึกอายมากกว่าที่การเจอกันในรอบหลายปีของสองครอบครัวเธอเปิดตัวได้แย่สุดๆ ไปเลย
"เดี๋ยวรินว่ารินไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่านะคะ เชิญกินกันก่อนได้เลย แล้วก็ขอโทษด้วยที่เงอะงะจนเกิดเรื่องแล้วสร้างงานให้คนอื่นอีก แหะๆ”
“จริงๆ เลยลูกคนนี้นี่” มาลีส่ายหน้าให้กับลูกสาวที่ขนาดว่าตอนนี้จะจบมอหกแล้วก็ยังไม่วายทำตัวให้น่าเป็นห่วงอยู่เรื่อย
ใช้เวลาไม่นานมารินก็กลับมานั่งร่วมโต๊ะกับทุกคนด้วยชุดใหม่ เมื่อมาถึงเธอก็ทักทายครอบครัวของเพื่อนสนิทแม่และรวมไปถึง ‘พี่อาทิตย์’ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กด้วยเช่นกัน แต่ด้วยเพราะไม่ได้เจอกันมานานทำให้การเจอกันในครั้งนี้อาจจะดูเคอะเขินไปบ้างด้วยที่ทั้งคู่ก็เริ่มโตขึ้นแล้วคงจะให้ไปกระโดดกอดพี่อาทิตย์เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กแบบนั้นไม่ได้แน่
“หนูรินปีนี้จบมอหกแล้วใช่มั้ยคะ? แล้วไปเรียนต่อที่ไหนเอ่ย” นับดาวถามหลานสาวคนสวยด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเป็นที่สุด
“รินไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพค่ะป้านับ กว่าพ่อกับแม่จะยอมให้ไปก็แทบแย่เหมือนกัน”
“ก็ลูกสาวคนเดียวนี่นะพ่อก็อดห่วงไม่ได้ เมื่อกี้ยังซุ่มซ่ามอยู่เลย โตแล้วที่ไหนกัน” คนเป็นพ่อพูดเสียงเรียบๆ แต่แฝงด้วยความเป็นห่วงลูกสาวอย่างชัดเจน
“แล้วพักที่ไหนจ๊ะ? หรือไปอยู่ที่บานป้าดีมั้ย ป้าจะได้ช่วยดูแลหนูด้วย”
“ยัยรินอ้อนให้ซื้อคอนโดให้แล้วล่ะ” มาลีพูดตอบนับดาวแทนลูกสาว
“เสียดาย…” นับดาวทำเสียงเศร้าลงนิดหน่อย อุตส่าห์นึกว่าจะได้หลานสาวไปอยู่ที้บานด้วยเสียอีก ถ้ามารินไปอยู่ด้วยเธอก็คงจะมีความสุขไม่น้อย
“รินบอกพ่อกับแม่ว่าอยากลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองดูค่ะป้านับ ไม่งั้นรินก็ไม่โตสักทีเพราะพ่อกับแม่คอยดูแลอยู่ตลอด แต่ถ้าป้านับคิดถึงรินเดี๋ยวรินแวะไปหาที่บ้านบ่อยๆ ได้นะคะ” มารินพูดอย่างเอาใจคนเป็นป้าพร้อมกับกอดแขนอย่างออดอ้อน
“จะอยู่ได้แน่ใช่มั้ยเรา?” คนเป็นพ่อถามย้ำอีกครั้ง
“แน่นอนค่ะ! แล้วรินก็จะทำตัวดีๆ ตามที่สัญญากับพ่อแม่ไว้ด้วย สบายใจได้เลย ไม่นอกลู่นอกทางเด็ดขาด”
“เสียดายที่พอหนูรินเข้ามหาวิทยาลัยอาทิตย์ก็เรียบจบพอดี ไม่งั้นก็จะให้อาทิตย์คอยช่วยดูแลอีกทาง” รพีภัทรพูดขึ้นมาบ้าง
“ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณลุง… เกรงใจพี่อาทิตย์” ประโยคท้ายมารินพูดเสียงเบาลงเพราะเธอก็เกรงใจเขาจริงๆ นั่นแหละ พี่อาทิตย์หล่อขนาดนี้อาจจะมีแฟนหรือมีคนคุยแล้วก็ได้ เธอไม่อยากให้คนนั้นของพี่อาทิตย์ต้องมาเข้าใจผิด
“ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก” อาทิตย์พูดตอบกลับไป ถึงแม้ว่ามารินจะพูดเสียงเบาแต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
“แหะๆ ทุกคนอย่าทำเหมือนกับว่ารินจะดูแลตัวเองไม่ได้อย่างนั้นสิคะ เชื่อใจรินเถอะนะคะ” มารินพูดย้ำอีกครั้ง ซึ่งทุกคนบนโต๊ะอาหารก็ไม่ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกันอีก
.
.
ตอนเย็น
อาทิตย์มาเดินเล่นแถวชายหาดและได้ยินเสียงเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานจึงได้เดินตามเสียงนั้นไป แล้วเขาก็พบกับมารินที่กำลังนั่งเล่นกับกลุ่มเด็กๆ ที่คาดว่าคงจะเป็นลูกหลานของชาวบ้านบนเกาะแห่งนี้ด้วยความสนิทสนม
“พี่รินจะไปเรียนต่อแล้วเหรอคะ?”
“ใช่จ้ะ” เธอตอบกลับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงใจดีพร้อมกับรอยยิ้มน่ารัก
“แล้วพวกเราจะได้มาเล่นแถวนี้อีกมั้ยถ้าพี่รินไม่อยู่ แบบนี้ก็ต้องอดกินขนมอร่อยๆ ที่พี่รินเอามาฝากด้วยนะสิ” เด็กชายอีกคนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปกอดขาของมารินอย่างออดอ้อน
“พี่ไม่อยู่พวกเราก็มาเล่นได้เหมือนเดิมนั่นแหละนะ ส่วนขนมเดี๋ยวพี่บอกคนที่โรงแรมเอาไว้ว่าแก๊งเด็กของพี่มากันเมื่อไรก็เข้าไปเอาขนมกันได้เลย”
“เย่~” เสียงเด็กๆ ตะโกนด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งเล่นทรายบนชายหาดกันต่อโดยที่มารินเองก็วิ่งเล่นกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน
อาทิตย์มองภาพตรงหน้าพร้อมกับระบายยิ้มออกมา มารินเป็นคนที่มีจิตใจดีมาตั้งแต่เด็กแล้วเท่าที่เขาจำได้ ถึงจะมีความแสบซนไปบ้างตามวัยแต่เธอก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักสำหรับเขาเสมอมา คนที่บอบบางต้องคอยมาอ้อนให้เขาไปปกป้องอยู่ตลอด แต่ตอนนี้มารินโตเป็นสาวแล้วแถมก่อนหน้านี้ยังบอกอยู่ว่าอยากจะดูแลตัวเองได้ เธอก็คงจะไม่มาอ้อนให้พี่ชายคนนี้คอยตามดูแลแบบเมื่อก่อนแล้วสินะ
“ดูสิๆ ใครมาวิ่งเล่นกับเด็กๆ วันนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มชายวัยรุ่นประมาณ 4-5 คนเดินเข้าไปตรงกลุ่มเด็กและมารินที่กำลังเล่นกันอยู่
---------------------------------------
---------------------------------------
ฝากกดหัวใจ + กดเพิ่มเข้าชั้นเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยน้า
ตอนเด็กก็สนิทกันดีแต่พอไม่ได้กันมาหลายปี มาเจอกันตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็ต้องมีเคอะเขินกันเป็นธรรมดาอะเน้อ
แต่อีพี่มาแอบยืนดูน้องแล้วยิ้มแบบนี้คิดอะไรหรือเปล่าเอ่ย~