มือเล็กขาวสะอาดยกขึ้นปิดปากหาวหวอดๆ ด้วยความง่วงนอน ขณะมองตามท้ายรถคันงามสีดำไปจนลับสายตา มันเป็นแบบนี้ทุกวัน ที่ต้องเฝ้ารอคอยการผ่านไปของรถคันหรู แต่หล่อนไม่ได้ชื่นชอบรถราคาแพงนี้หรอกนะ สิ่งที่ดึงดูดสายตาของหล่อนคือผู้ชายตัวโตที่มักจะมองผ่านกระจกรถมายังป้ายรถเมล์ที่หล่อนยืนอยู่มากกว่า ถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางที่สายตาคู่นั้นจะมองมาที่ตัวเอง แต่กระนั้น งามระยับ รักเงิน ก็อดที่จะเก็บมาเพ้อฝันเป็นแรงใจให้กับชีวิตไม่ได้
เขาคือคุณหมอหนุ่ม เป็นผู้อำนวยการและเป็นเจ้าของโรงพยาบาลหรูที่หล่อนทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ หล่อนเคยแอบมองเขาหลายครั้งยามที่อยู่ในโรงพยาบาล แต่เขาไม่เคยรู้หรอก เพราะดอกหญ้าต่ำต้อยเช่นหล่อน ใครจะมองเห็น
รอยยิ้มเศร้าๆ แต้มบนใบหน้า พลางนึกถึงชีวิตที่ต้องปากกัดตีนถีบของตัวเอง ชีวิตของหล่อนทำงานมาตั้งแต่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก หล่อนเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในวันเสาร์และอาทิตย์จนใกล้จะจบอยู่แล้ว และก็คาดหวังว่าเมื่อเรียนจบจะสามารถหางานที่ดีกว่าพนักงานทำความสะอาดทำได้
หล่อนไม่ได้เห็นแก่เงินอย่างที่ทุกๆ คนตราหน้า แต่หล่อนต้องประหยัดทุกบาททุกสตางค์เพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แม่ด่าทอหล่อนเสมอเมื่อหล่อนไม่ยอมให้เงินไปกินเหล้า แต่หล่อนก็ยอมให้ท่านด่าทอ เพราะเงินมันหายากจริงๆ
“สักวันฉันจะต้องรวยให้ได้”
งามระยับพึมพำกับตัวเอง และก็พยายามทำงานให้มากขึ้นเพื่อที่จะมีรายได้หลายๆ ทาง พ่อขอร้องให้หล่อนหยุดพักบ้าง แต่หล่อนยืนยันว่าทำไหว และถ้าไม่ไหวจะบอกเอง
“รถเมล์มาแล้ว...”
เสียงคนร่วมเดินทางหันมากระซิบกระซาบกัน แต่ดังพอที่หล่อนจะได้ยิน รถเมล์วิ่งมาจอดเทียบที่ป้าย ทุกคนต่างพากันกรูขึ้นไปอย่างไร้ระเบียบ ซึ่งหนึ่งในคนพวกนั้นมีหล่อนรวมอยู่ด้วย ก็ขืนทำตัวเป็นคุณหนูใจดีสิ รถเมล์มาอีกสิบคันก็ยังไม่ได้ไปทำงาน
ชีวิตของหล่อนมันก็แค่นี้แหละ โบกรถเมล์ ไปทำงานทำความสะอาดที่โรงพยาบาล เสร็จแล้วก็ไปรับจ๊อบต่อที่ปั๊มน้ำมัน จากนั้นก็ไปเสิร์ฟอาหารที่ร้านของคนรู้จักกัน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ตีหนึ่งกว่าๆ วงจรมันเป็นแบบนี้ มันเหนื่อยนะ แต่หล่อนก็ชินกับมันแล้วล่ะ ยังไงซะก็ได้เงิน ดังนั้นต้องทำ จริงไหม
“หลีกทางหน่อยยยย...”
งามระยับวิ่งไม่มีเบรก เมื่อพิษรถติดทำให้หล่อนกำลังจะมาทำงานสาย และเบี้ยขยันที่รักษามานานหลายปีก็จะต้องลอยหายไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าทอโชคชะตา ดังนั้นสองเท้าจึงต้องขยับซอยให้ไวที่สุด จุดสแกนบัตรอยู่ห่างจากหล่อนอีกเพียงไม่ถึงห้าสิบเมตร และหากหล่อนวิ่งเร็วแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ต้องรูดบัตรได้ทันแน่ๆ แต่...
เอี๊ยดดดดด
โครมมมม
ร่างของหล่อนกระเด็นถอยหลังไปกองกับพื้นเพราะจู่ๆ ก็มีวัตถุที่แข็งราวกับแผ่นศิลามาขวางหน้าเอาไว้ หล่อนเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องช็อกอ้าปากค้าง
“ผู้...อำนวยการ”
ผู้ชายที่หล่อจนกระชากสติออกไปจากร่างของหล่อนได้ มีเพียงแค่ไทเรลล์คนนี้คนเดียวเท่านั้น
“เดินให้มันดูตาม้าตาเรือบ้างนะ เห็นไหมชนคุณหมอแล้วน่ะ”
เลขาฯ ของไทเรลล์ตำหนิหล่อนทั้งสายตาและคำพูด
“ลุกขึ้นสิ แล้วกราบขอโทษคุณหมอซะ”
“เอ่อ ค่ะ”
หล่อนรีบสลัดความตื่นตะลึงที่ได้มองเขาในระยะชิดใกล้ออกไปอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นยืน พร้อมกับยกมือไหว้เขา
“ไม่เป็นไรหรอก ไปทำงานเถอะ”
คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งสุภาพ แถมยังใจดีอีกต่างหาก รอยยิ้มจากใบหน้าหล่อจัดนั้น ทำให้หล่อนแทบล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้งเสียให้ได้ คนบ้าอะไรหล่อราวกับไม่ใช่มนุษย์
“ยังจะมายืนมองอยู่อีก ไปทำงานได้แล้ว” เลขาฯ ของไทเรลล์ออกคำสั่งอีกครั้ง
“ค่ะ ค่ะ...”
หล่อนก้มหน้ารับคำสั่ง แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ทันได้รูดบัตรเข้างาน ดวงตากลมโตช็อกค้าง ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาจ้องมอง และกรีดร้องดังลั่นอย่างลืมตัว
“แย่แล้ววววววววว”
“นี่เธอ เดี๋ยวไปพบฝ่ายบุคคลที่ห้องด้วยนะ” เลขาฯ ของไทเรลล์ตวาดลั่น ก่อนจะหันไปทำหน้าเจื่อนกับไทเรลล์
“เชิญคุณหมอทางนี้ดีกว่าค่ะ”
ไทเรลล์มองผู้หญิงที่กำลังหน้าซีดสลับแดงด้วยความแคลงใจ ก่อนเดินจากไปจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คือว่า...”
“คุณหมอถามก็รีบตอบมาสิ เร็วเข้า”
หล่อนถูกตำหนิอีกแล้ว
“คือวันนี้รถติดมาก ทำให้ฉันมาทำงานเกือบสาย แต่ก็ยังไม่สาย หากฉันไปสแกนบัตรได้ทันค่ะ”
“แล้วทำไมถึงไม่ไปสแกนบัตรล่ะ”
“ก็เพราะ...”
หล่อนจ้องหน้าไทเรลล์ อยากจะโมโหเขานักที่ทำเบี้ยขยันของหล่อนหลุดหายไปต่อหน้าต่อตา แต่ท่าทางใจดีและแววตาอบอุ่นของเขาทำให้หล่อนโกรธไม่ลง
“พอดีฉันหกล้มน่ะค่ะ ก็เลยไปรูดบัตรไม่ทัน”
“เพราะฉันสินะ”
“ไม่ใช่เพราะคุณหมอหรอกค่ะ” เลขาฯ รีบแย้ง “เพราะแม่นี่ซุ่มซ่ามเองต่างหาก ใช่ไหม”
แววตาดุๆ ของเลขาฯ ใส่แว่นหนาของไทเรลล์จ้องมองมาที่หล่อน และก็บังคับหล่อนกลายๆ
“ค่ะ”
“ไปทำงานได้แล้ว”
หล่อนอดที่จะสบตากับไทเรลล์อีกครั้งก่อนไปไม่ได้ เขาระบายยิ้มเห็นใจให้หล่อน ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินจากไป หล่อนอดไม่ได้ที่จะมองตามผู้ชายในฝันไปจนลับตา
“นี่ฉันต้องเสียค่าแตะเนื้อต้องตัวคุณด้วยเบี้ยขยันทั้งหมดของฉันเลยเหรอเนี่ย โอ๊ยยยยย” หล่อนยกมือขึ้นกุมศีรษะของตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย