บรรยากาศภายในร้านหมูกระทะช่วงเย็นถูกปกคลุมด้วยกลิ่นหอมของน้ำซุปและเนื้อสัตว์บนกระทะย่าง ตรงข้ามกับพระพายคือเพื่อนสนิทอย่างปริมลดาที่วันนี้มานั่งทานข้าวเป็นเพื่อน อย่างน้อยๆ ก็เข้ามาช่วยทำให้บางช่วงเวลาไม่ต้องรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวมากจนเกินไป
ชีวิตในแต่ละวัน ต่อให้เธอกลับบ้านเร็ว หน้าที่ของเธอมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก ต่อให้มีใครบางคนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันแต่เธอกลับไม่เคยรู้สึกอบอุ่นเลย
เอาจริงๆ ให้คุยกันดีๆ สักครั้งมันยังยากเลย สิงหาเกลียดเธอมาก เธอเชื่อว่ามันมากจริงๆ
“สรุปมันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยเหรอพาย ไอ้คุณสิงมันหน้ามืด ยึดตึดกับความโกรธที่อีกคนทำแล้วมาลงที่แกเนี่ย” ถามออกไป ก่อนจะนึกถึงใบหน้าหล่อๆ ของเพื่อน ถามว่าโกรธไหมก็โกรธแหละ มีเคืองบ้างเป็นธรรมดา บทจะร้ายอีตาบ้านั่นก็ร้ายสารพัด ร้ายเกินคน
“อือ จริงๆ ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้” แม้ลึกๆ จะหวังว่าอาจมีสักวันที่สิงหาเข้าใจ แต่นับวันเข้าเขาก็ยิ่งทำให้เห็นว่าการให้อภัยมันมีเพียงเธอที่คิดไปเองแค่ฝ่ายเดียว
มันจะมีวันนั้นหรือเปล่าเถอะ หากดูจากวันนี้เธอไม่เห็นมีวี่แววของวันนั้นเลย
“แล้วพิณเป็นไงบ้าง แกได้คุยกับน้องบ้างหรือเปล่า” คำถามส่งผลให้ตากลมตวัดขึ้นมอง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเบาๆ
“หรือถ้าตอบออกมาแล้วมันทำให้แกต้องรู้สึกไม่โอเคแกไม่ต้องตอบก็ได้นะ แต่แกต้องลองคิดดูอีกทีนะเว้ยว่าถ้าในขณะที่น้องของแกมีความสุขดี ต่างจากแกที่ต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้มันแฟร์แล้วเหรอ แกก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แกทนแบกรับอะไรแบบนั้นตลอดไปไม่ได้หรอกพาย”
“แต่พิณเป็นน้องสาวของฉันนะ”
“แต่ถ้าพิณคิดแบบที่แกคิดถ้ามองว่าแกเป็นพี่สาวเหมือนที่แกมองเขาเป็นน้อง เขาก็ต้องไม่ทำให้แกเดือดร้อนแบบนี้หรือเปล่าวะ สรุปพิณรู้ไหมว่าทุกวันนี้แกต้องเจอกับอะไรบ้าง ต้องแต่งงานแทนแล้วมันก็ไม่ได้ดีไม่ได้สวยงามแบบที่คิด ตัวแกเหมือนตกนรกทั้งเป็นด้วยซ้ำ” ปริมลดาเอ่ยออกมาเพราะสุดจะทน
เธอจะไม่อะไรเลยหากเธอเห็นเพื่อนของตัวเองมีความสุขเหมือนที่เคยผ่านมา แต่สี่เดือนหลังจากที่พระพายแต่งงานมันแทบไม่มีวันไหนเลยที่เพื่อนของเธอต้องตกอยู่ในสภาพนั้น คนที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้ควรออกมาแสดงตัวเพื่อรับผิดชอบหรือเปล่า ไม่ใช่ปล่อยให้พี่สาวต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้แบบนี้
“พิณมีเหตุผลน่ะปริม”
“เหตุผลอะไร ต่อให้แกจะรักน้องสาวของตัวเองแค่ไหนแต่อย่าลืมนะพายว่าเรื่องนี้คนที่ผิดคือพิณ ในเมื่อคนสองคนรักกันมากขนาดนั้น แล้วทำไมพิณต้องทิ้งสิงหาด้วย มีเหตุผลอะไรทำไมไม่เลือกคุยกันดีๆ หรือปัญหาที่กำลังเจอมันมากเกินจะเล่างั้นเหรอ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะ”
“แล้วการที่คนคนหนึ่งถูกเจ้าสาวเทงานแต่งงานทั้งที่มันถึงวันอยู่แล้วมันแฟร์กับสิงหางั้นเหรอ บอกตรงๆ เลยนะ ฉันเองก็ไม่รู้จะจัดการตัวเองยังไงกับเรื่องนี้เหมือนกัน พยายามแยกแยะทุกเรื่องออกจากกันจนหัวฉันรวนไปหมดแล้ว สิงหาถูกกระทำที่น้องเธอหนีงานแต่งงาน เรื่องนั้นก็ต้องยอมรับว่าฉันเห็นใจฝ่ายนั้นมากกว่า ส่วนสิ่งที่ทำกับเธอ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่ได้ผิดอะไรอันนั้นก็เกินไปเหมือนกัน สรุปเลยนะคนที่ไม่ต้องเจอกับอะไรเลยทั้งที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้แท้ๆ กลับหายตัวไปจากที่นี่ ไม่มีข่าวคราวและถ้าการหายไปครั้งนี้ต้องไปอยู่แบบสุขสบายไม่ต้องทุกข์ร้อนไม่ต้องสนใจว่าคนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างแทนตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพไหน แบบนั้นมันเกินไปนะพาย” พระพายถอนลมหายใจออกมาเบาๆ
เธอเข้าใจในสิ่งปริมลดาพยายามสื่อ เหตุผลที่เพื่อนพยายามตักเตือนก็เพราะว่าเพื่อนห่วงใยนั่นแหละ
“แกนี่ก็นะ ไม่รู้จะทนไปถึงไหน หรือจะทนจนกว่าตัวเองจะไม่ไหวหรือไงแกถึงจะหยุด แกถึงจะพอ” ถามพร้อมกับถลึงตาใส่ยัยตัวดี
“แกขี้บ่นเกินไปแล้วนะ ไม่สงสารฉันที่ต้องทนนั่งฟังเลยเหรอ” พระพายกลบเกลื่อนด้วยการคีบเนื้อหมูที่อยู่บนเตาย่างแล้วไปวางบนจานของเพื่อน ทำให้คนที่มองอยู่ ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
เตือนก็แล้ว บ่นก็แล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีขึ้นมาเลย คนไม่คิดจะฟังต่อให้พยายามตักเตือนแค่ไหนก็ไม่ยอมฟังอยู่ดี
“ดื้อๆ แบบแกถ้าเป็นลูกของฉัน ฉันตีก้นวันละหลายรอบแล้วนะ”
“แกใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่หรอกมั้ง ฉันรู้ว่าแกใจดีจะตาย”
“ไม่ต้องเลยนะ คิดจะพูดให้ฉันใจอ่อนดูสิ่งที่แกทำก่อน ทนเกินไป ทนเหมือนไม่รู้สึก ทนเหมือนแกไม่มีหัวใจอ่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ทนๆ ไปก่อน บางทีวันข้างหน้ามันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ”
“แล้วจะถึงวันข้างหน้าตอนกี่โมง”
“ยัยปริม….”
“เนี่ย พอฉันอยากรู้แกก็ตอบฉันไม่ได้อยู่ดีเพราะฉะนั้นสิ่งที่แกคิดแกก็แค่เดาเอาเองนั่นแหละพาย”
“แกก็รู้ว่าฉันเก่งอยู่แล้ว ไม่ว่าปัญหาอะไรก็เข้ามาเถอะถึงยังไงฉันก็ทนได้ปัญหามันไม่มีทางทำฉันได้อยู่แล้ว”
“จ้า…. แม่คนเก่ง เก่งเหลือเกินเนอะ” พระพายฉีกยิ้มอวดฟันสวย พยายามที่จะเข้มแข็งต่อหน้าเพื่อนทำเหมือนตัวเองไม่เป็นอะไรต่อให้ภายในใจจะสาหัสแค่ไหนก็ตาม
“แล้วตอนอยู่บ้านเป็นยังไงบ้างเนี่ย คุยกันดีๆ บ้างไหม”
“จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก ตอนนั้นเป็นเพื่อนกันเราก็ได้เห็นสิงหาอีกมุมมองหนึ่ง แต่พอตอนนี้สถานะมันเปลี่ยนไปอะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิม”
“ยังไง”
“อยู่บ้านเดียวกันถามว่าทะเลาะกันตลอดเวลาไหมมันก็ไม่ ฉันก็แค่ทำหน้าที่ของฉัน ถ้าเกิดเขาอารมณ์เสียพูดจากระทบกระทั่งบ้างก็แค่ปล่อยผ่านหรือไม่ก็เดินหนีสุดท้ายช่วงเวลานั้นมันก็ผ่านไปเอง”
“ถามจริงๆ นะพาย แกโกรธสิงหาบ้างไหม เอาจริงๆ ฉันเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเรื่องนี้มันจะจบลงยังไง แต่ถ้าสุดท้ายมันมีวันนั้นจริงๆแกสองคนจะยังกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ไม่รู้ดิ เวลาคงจะเป็นคำตอบของทุกอย่างเอง” พระพายยิ้มเศร้า อย่าว่าต้องตอบคำถามคนอื่นเลย ถ้าเป็นคำถามนี้แม้แต่เธอต้องหาคำตอบให้กับตัวเองเธอก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจหรือมีเรื่องอะไรอยากปรึกษาแกคุยกับฉันได้ตลอดเวลานะเว้ย ถึงฉันจะเป็นแบบนี้ บ่นเยอะ บ่นเก่ง แต่ฉันเป็นห่วงแกมากนะ”
“รู้… ขอบใจมากนะแก แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าฉันไม่มีแก วันนี้ฉันจะต้องตกอยู่ในสภาพยังไง”
“จ้า… ไหนๆ วันนี้ก็ออกมากินข้าวด้วยกันแล้ว ไปค้างบ้านฉันไหม”
“ไม่เป็นไร เกรงใจน่ะ”
“แล้วกลับบ้านช้าแบบนี้มันจะมีปัญหาอะไรไหม”
“สิงหาไม่เคยสนใจอยู่แล้ว ขนาดตัวเขาเองอยากกลับตอนไหนเขาก็กลับไม่ได้กลับเป็นเวลาเหมือนกัน”
“อือ เทคแคร์นะแก มีอะไรก็เล่านะ ค่อยหาทางออกช่วยกัน”
“อือ ขอบใจนะ”