แม่นี่คงอยากเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่แน่ ๆ
เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง กลางคืนก็ออกไปยืนคอยให้ท่าเขา
พอเช้าเขาจะจัดการคนงานของเขาเสียหน่อย ก็ยังฝ่าวงล้อมเข้ามาทำเป็นออกตัวแทนไอ้หนอม แค่นั้นไม่พอ ยังทำเมินเฉยกับคำถามของเขาอีกด้วย เลยบอกเสียงไม่ใส่ใจกลับไปว่า
“ยังไม่กิน ก็ไม่ต้องกิน ไปทำงานเลย ไม่รู้จักเวลาดีนัก”
จบคำของเขา ก็มีเสียงร้องจากท้องของเขาและเสียงร้องจากท้องของเธอดังขึ้นเบา ๆ ในความเงียบ แทบจะพร้อม ๆ กัน
อภิยาอมยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “หยินไม่กินก็ได้ค่ะ แต่คุณน่ะเป็นเจ้าของพื้นที่ ต้องกินนะคะ เดี๋ยวจะไม่มีแรงออกคำสั่ง”
พสุธาคำรามเบา ๆ หักพวงมาลัยรถจอดลงที่หน้าคาเฟ่ ก่อนจะสั่งให้สมกับคำประชดประชันของเธอว่า “ดี! อย่างนั้นเธอก็ลงไปกินข้าวด้วย เดี๋ยวจะไม่มีแรงมาของานทำ ลงมา!”
ไม่รอให้เขาสั่งซ้ำสอง อภิยาเปิดประตูรถลงไปในทันทีที่จบคำสั่งของเขา ท้องเธอหิวอยู่ และเธอก็ไม่ใช่คนมีแง่งอนอะไร มีไปทำไม มีไปแล้วต้องมาทนทรมานหิวข้าว เผลอ ๆ อาจตกงานด้วย
คนงานในคาเฟ่เพิ่งมาถึง เห็นเจ้าของไร่เทียมพสุธาโผล่มาแต่เช้า ก็ลนลานเข้ามาหา
“รับอะไรหรือคะคุณพุธ”
“อาหารเช้าสองที่”
“ได้ค่ะ รอครู่เดียวนะคะ ไม่นานค่ะ” หญิงสาวคนนั้นบอกด้วยสีหน้าตื่น ๆ ก่อนจากไป รอไม่นานอย่างที่บอกจริง ๆ อาหารเช้าสองที่ก็วางลงที่ตรงหน้า
อภิยามองอาหารเช้าสไตล์อเมริกันแบบกระจุ๋มกระจิ๋มในจานเสิร์ฟก็ถอนใจเบา ๆ เพราะปกติเธอกินจุ กินเยอะ ยิ่งมื้อเช้าด้วยนะ ต้องกินข้าวเท่านั้น ส่วนกับข้าวเธอไม่เกี่ยง กินอะไรก็ได้ พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็รู้เลยว่าไม่อิ่ม
“อะไร” เสียงถามห้วน ๆ ดังมาจากเขาอีกแล้ว
เธอเงยหน้าจากจานขึ้นสบตาเขา ถามสั้น ๆ ไปว่า “คะ?”
“เห็นมองอยู่นานแล้ว ทำไมไม่กินสักที หรือกลัวจะหักจากเงินเดือน ไม่ต้องกลัว” เขาบอกเสียงรื่นเริงในตอนท้าย ได้ยินก็นึกชื่นชมเขาอยู่ในใจ เขาเป็นคนใจกว้างเหมือนกันนี่นา เลยยิ้มตอบพร้อมกับพูดไปว่า
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่หัก หักแน่ หักจากเงินเดือนของเธอนั่นแหละ เพราะอาหารตรงนี้ไม่ใช่อาหารที่เป็นสวัสดิการของคนงาน มันเป็นของในคาเฟ่ มีราคาขาย มีต้นทุนการผลิต ไม่ได้มีไว้ให้กินฟรี”
ได้ยินอย่างนั้นก็หุบยิ้มลงแทบทันที นึกว่าเขาจะมีเมตตาให้กินอาหารเช้าโดยไม่หักเงิน นี่เขี้ยวมากถึงกับจะหักค่าอาหารจากเงินเดือนของเธอด้วยอย่างนั้นหรือ แล้วลงมือเทซอสกินจนเกลี้ยงจาน
กินอิ่มแล้วออกมายืนคอยเขาที่ด้านนอก ได้เวลาทำงานแล้วล่ะ ตามองที่ป้าย เห็นชี้ไปยังตึกสองชั้น นั่นคงเป็นตึกสำนักงานของที่นี่ แล้วก็สะดุ้งน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงของเขาดังที่ด้านหลัง
“ขึ้นรถ” พสุธาสั่งด้วยน้ำเสียงเข้ม ๆ แบบเดิม
ชี้มือไปทางตึกที่หมายตาไว้แล้วถามเขา “ออฟฟิศไม่ใช่ตึกนั่นหรอกหรือคะ”
“ใช่” เขาตอบห้วน ๆ แต่เธอไม่ได้สนใจอีกแล้ว คิดว่าเขาคงมีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียงคุยมากกว่า บอกกลับเขาไปว่า
“ที่จริง เดินจากคาเฟ่ไปก็ไม่ได้ไกลเลยนะคะ หยินเดินไปเองได้ค่ะ”
ได้ยินแบบนั้น พสุธานึกได้ว่าเอาอีกแล้ว ทำเล่นตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาอีกแล้ว สั่งพร้อมกับเดินไปยังประตูรถฝั่งคนขับ
“ขึ้นรถ”
มองตามเขาอย่างเริ่มจะเคืองขึ้นมาอีกนิด เปิดประตูขึ้นนั่งได้ก็พึมพำเบา ๆ “อ้อ ลืมไปว่าคุณเป็นเจ้าของพื้นที่”
พสุธาหันมามองพร้อมกับคิดอย่างฉุน ๆ ว่าแม่นี่ไม่ธรรมดาเลย ต่อปากต่อคำ เรียกร้องความสนใจจากเขาไม่หยุดหย่อน
ขึ้นนั่งได้ เขากระชากรถออกจากตรงนั้นไปยังอีกทาง
อภิยาเม้มปากแน่น มองที่เขาว่าทำไมจะต้องออกรถกระชากขนาดนี้ ก่อนจะสำรวจไปรอบ ๆ คัน รถคันนี้จะว่าไปก็เก่ามากแล้ว บางทีอาจจะต้องเหยียบคันเร่งแรง ๆ มันถึงจะทำงานก็เป็นได้
แล้วมองไปยังข้างทาง เห็นเขาเลี้ยวไปอีกทางที่ไม่ใช่ไปสำนักงานก็ร้องถาม “ทางนั้นไปออฟฟิศ ไม่ใช่หรือคะ”
“ใช่” เสียงห้วนและดุกว่าเดิมเสียอีก ก่อนจะขยายความหลังจากนั้นว่า “แต่เดี๋ยวจะไปทางนี้ก่อน เธอรู้จักในนี้ครบหมดแล้วหรือไง”
“ยังค่ะ”
“ถ้ายัง ก็ไปดู ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง วันนี้ต้องจำทางในไร่ให้ได้ทั้งหมด พรุ่งนี้เป็นต้นไป จะหักเงินเดือนออกห้าร้อยบาททุกครั้งที่หลงทาง”
ได้ยินว่าจะถูกหักเงินก็แอบมุ่ยหน้า หันไปยังทิศทางที่ไม่มีเขา
“ที่นี่ออกจะกว้าง กินพื้นที่ตั้งเยอะ แล้วทางก็ทำซอกแซกคดเคี้ยวเลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายตรอกซอกซอย หากจะหลงก็ไม่แปลกหรอกค่ะ แต่มาหักเงินกันแบบนี้เพราะหลงทางสิแปลกมากเลย”
ตาคมติดดุดันมองไปอีกทางชั่วขณะ พร้อมกับรอยยิ้มปรากฏตรงมุมปากของเขา แปลกแล้วจะทำไม ใครสนด้วยเล่า