เขามองลูกน้องตัวดีด้วยสายตาสงสัย
“แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่ามึงชอบเขา”
“ก็ผมน่ะ อยากเห็นหน้าเธอคนนั้นอยู่ตลอดเวลาเลยนี่ครับ พอเห็นหน้าแล้วก็ใจสั่น แต่พอไม่เห็น ใจมันก็จะกระวนกระวาย อยากรู้ว่าไปไหน จนต้องเดินตามหาให้เจอ พอเห็นว่าไปคุยกับใครก็รู้สึกเหมือนกับมีคนมาแย่งลูกชิ้นลูกสุดท้ายในชามก๋วยเตี๋ยวไปเลยนะครับคุณพุธ”
พสุธาส่ายหัว กดมุมปากลง ร้องด่าลูกน้องคนสนิทไปว่า
“อาการมึงหนักแล้วศักดิ์” ก่อนจะหันหลังจากไป ก็สั่งงานศักดิ์อีกว่า “งานที่กูให้มึงไปทำก็อย่าให้เสีย ระวังมึงจะไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวเลยสักกะชามเดียว เพราะกูจะไล่มึงออก จะได้ไปเฝ้าสาวทั้งวัน”
“ไม่เอาครับคุณพุธ ไม่นะครับ”
ศักดิ์ร้องเสียงหลง รีบลุกหนีจากขอบสระ วิ่งกลับไปตามงานที่นายสั่งทันที พสุธาแยกตัวกลับเข้าบ้าน เลิกสนใจอาการของศักดิ์ลูกน้องคนสนิท
จนเช้าวันใหม่เขาออกไปที่ไร่ ดูคนงาน จัดแจงเรื่องผลผลิตที่เตรียมส่งออก ทำงานตามตารางงานของเขาอย่างทุกวันเรียบร้อยดีแล้ว ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ที่สายตาของเขามันเอาแต่หันมองทันทีที่เห็นร่างคุ้น ๆ เดินผ่านหน้าผ่านหลังของเขาไป
แล้วพอเขาไปที่สำนักงาน ก็จะเอาแต่สอดส่ายสายตามองหาผู้หญิงคนนั้นอยู่ตลอด แต่แล้วก็ไม่เจอตัวเจ้าหล่อนง่าย ๆ ปกติก็จะเห็นเดินเพ่นพ่านผ่านหน้าเขาตลอดนี่นา
หายไปไหนวะ
พสุธาลืมคำพูดของศักดิ์ไปเสียสิ้น นิ่งคิดอะไรเงียบ ๆ ก็ค่อยเรียกศักดิ์ให้เข้ามาหา พร้อมสั่งงานให้ศักดิ์ไปทำหลังจากนั้น
จนเลยเวลาเลิกงานไปแล้วสองชั่วโมง อภิยาก็ยังคงนั่งทำงานต่อ พี่ในสำนักงานคนหนึ่งวานให้ช่วยทำงานต่อให้เสร็จภายในวันนี้ เพราะเป็นงานด่วน ส่วนตัวเองต้องขอกลับบ้านก่อน เพราะเป็นวันเกิดของสามี แล้วเลยตอบรับอย่างคนใช้งานง่าย ไม่ได้อิดออดว่าอะไร ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเรื่อย บอกตัวเองว่าเสร็จเมื่อไรก็เมื่อนั้น
แม่บ้านเดินวนมาสองรอบแล้ว เลยบอกให้แกกลับก่อนได้เลย เดี๋ยวจะปิดห้องให้เรียบร้อยเอง ไม่ต้องคอย คล้อยหลังแม่บ้าน ก็ลงมือทำงานต่อจนเสร็จในที่สุดก็ลุกขึ้นเก็บของ เดินไล่ปิดไฟในสำนักงาน เช็กเครื่องใช้ไฟฟ้าปิดให้เรียบร้อย ไล่เช็กหน้าต่างว่าล็อกดีหรือยัง พร้อมกับเรื่องที่กังวลไหลวนกลับเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง
หลายวันมานี้ เธอจงใจหลบเขา รู้สึกว่าตั้งแต่ที่ไม่ได้เจอเขา ไม่ได้ทำงานใกล้เขา คนในบ้านก็เหมือนจะเลิกนินทา เลิกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ไปเลย
พอจะรู้อยู่หรอกว่าไม่มีใครหนีพ้นคำนินทาได้ อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย แต่มันก็อดคิด อดกังวลไม่ได้นี่นา เธอก็เป็นคนเหมือนกันนะ
ขณะหาข้อสรุปให้ตัวเองอยู่นั้น แขนก็ถูกดึงอย่างแรงจากเงาดำตรงมุมมืด ๆ ของทางเดินนั่น
อภิยาง้างขาขึ้นจะเตะเงาดำในมุมมืด แต่พอเห็นว่าเป็นเจ้าของไร่เทียมพสุธานั่นเองที่ฉุดแขนเธอ ก็ลดขาลง ดึงแขนออกจากมือของเขา แต่พสุธาไม่ยอมปล่อย เขายื้อไว้ พร้อมกับถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป็นอะไรของเธอ”
“เป็นอะไรคะ”
“หลบหน้าทำไม”
จบคำถามของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับปดไปว่า “หยินเปล่านะคะ”
“เปล่าอะไร เมื่อวันก่อนเธอหลบเข้าไปตรงหลังตู้เอกสารตอนเห็นพี่เดินเข้าออฟฟิศมา แล้วเมื่อวันโน้นก็หลบไปที่หลังสำนักงานตอนพี่กำลังออกจากห้อง แล้วยังเมื่อวานนี้อีก เห็นจะจะว่ามุดหลบเข้าใต้โต๊ะ หลบหน้าพี่ทำไม” พสุธาถามทั้งยังแทนตัวเขาว่า ‘พี่’ อย่างไม่มีเคอะเขินเลยแม่แต่นิดเดียว
“รุ...รู้ได้ยังไงคะ” ว่าเธอหลบหน้าเขาไปอยู่ที่ตรงไหนมาบ้าง อดมองเขาด้วยสายตางุนงงไม่ได้
พสุธายิ้มมุมปาก ทวนคำถามที่ได้ยินจากเธอในใจ ว่าทำไมเขาถึงรู้น่ะหรือว่าเธอไปหลบตรงไหนบ้าง ตอนเขาเดินเข้าสำนักงานมา ก็เพราะว่าเขาสั่งให้ศักดิ์ไปตามช่างมาติดกล้องเพิ่ม ใครเดินผ่านกล้องตัวไหม มุมไหนของสำนักงานในไร่บ้าง เขาถึงได้รู้อย่างไรเล่า
“รู้ก็แล้วกัน” พสุธาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างคนเหนือกว่า ก่อนจะถามย้ำไปว่า “แล้วสรุปว่าหลบหน้าทำไม”
เขาถามย้ำ น้ำเสียง ท่าทีก็ดูจริงจังเสียจนเธอสู้สายตาคู่นั้นของเขาไม่ไหว จนต้องหลุบตาลงมองที่หน้าอกของเขาแทน
“ถามว่าทำไม” พสุธาย้ำอีกที
เงียบ ถามตัวเองในใจว่าทำไมจะต้องหลบสายตาเขาด้วยเล่า ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย
เสียงถามของเขายังคงจี้เธอไม่หยุด “ทำไม”
อภิยาถอนใจเบา ๆ แล้วถึงได้บอกเขาไปตามตรงว่า “หยินไม่อยากให้คนมองไม่ดีนี่คะ ก็เลยพยายามไม่เข้าไปอยู่ใกล้ ๆ คุณพุธ”
พสุธาขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องหน้าเธอ พร้อมกับถามกลับมาว่า “ใครมองไม่ดี”
“ใคร ๆ ก็มองแบบนั้นกันหมดนั่นแหละค่ะ”
“มองว่าไง”
“มองว่าหยินพยายามเข้าหาคุณพุธ เพราะหวังรวยทางลัดน่ะสิคะ”
พสุธาได้ยินอย่างนั้นก็หรี่ตาลงมองเธอนิ่ง ๆ พร้อมความคิดอย่างหนึ่งแทรกเข้ามาในหัว
โอ...ผู้หญิงคนนี้ร้ายของจริง
นี่กำลังมาลูกไม้ใหม่กับเขาแล้ว
คิดใช้วิธีทำตัวบอบบาง ทำว่าเจียมเนื้อเจียมตัว ใช้ข้ออ้างว่าต้องหลบหน้าเขา เพราะกลัวว่าคนจะมองไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ด่าเขาทิ้งท้ายก่อนจะหลบหน้าหลบตาว่าเขาหัวงูเนี่ยนะ
ยิ้มมุมปากอย่างที่พอจะเข้าใจแผนการมารยาเหล่านั้นเป็นอย่างดี ในเมื่อทำมารยาใส่มา เขาก็จะมารยากลับไปบ้าง จึงทำเสียงอ่อนลง ค่อยเอ่ยถาม
“แล้วไม่จริงอย่างที่คนพวกนั้นพูดหรือไง”