EP.05 เรือนโบราณกลางสวนลำใย

1379 คำ
EP.05 เวลาย่ำค่ำสนธยา ลมยามเย็นพัดสะบัดพลิ้ว ไผ่สีสุกกอใหญ่ไหวเอนลู่ตามแรงลมดังหวีดหวิว ดวงตะวันกลมโตที่กำลังจะลาลับยอดไม้สีแดงฉานปานสีเลือด นกนานาชนิดต่างก็บินกลับรวงรังหลังจากที่ได้ออกหากินมาตลอดทั้งวัน ในขณะที่สีหมึกของรัตติกาลก็แผ่เข้าควบคุมโลกมนุษย์อันวุ่นวาย เรือนไทยโบราณทรงล้านนาหลังหนึ่งตั้งเด่นอยู่ริมลำน้ำปิง สายน้ำอันเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวเชียงใหม่และลำพูน เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ในอาณาเขตของจังหวัดลำพูน ไม่มีใครรู้ว่าสร้างมาแต่สมัยใด ถ้าจะมองตามอายุอย่างต่ำคงจะมีอายุกว่าร้อยปีขึ้นไป แต่ก็นั้นแหละขนาดถามชาวบ้านแถวนั้นยังตอบได้แต่เพียงว่าตั้งแต่เกิดมาก็เห็น ‘เรือนบุษยา’ อันเป็นชื่อของเรือนตั้งอยู่ที่นี่นานมาแล้ว เรือนทั้งหลังถูกสร้างด้วยไม้สักทอง สลักเสลาตามฝาผนังและประตู อีกทั้งหน้าต่างอย่างวิจิตรงดงาม ทว่าเรือนหลังนี้กลับเหมือนมีมายามนต์ สะกดให้สายตาของชาวบ้านที่พบเห็น เห็นเป็นเรือนที่เก่าคร่ำครึและดูน่าสะพรึงกลัว พวกเขาต่างรู้ดีว่าเจ้าของแท้จริง ในเวลานี้อยู่ที่กรุงเทพฯ ทิ้งให้เรือนหลังใหญ่คงความมีเสน่ห์และแลลึกลับสยองขวัญให้กับชาวบ้านแถวนั้นได้ขนพองกันทั่วหน้า ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงต่างเล่าลือกันว่าเรือนหลังนี้มีผีสิง และในวันดีคืนร้ายก็มักจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีล้านนาประเภทสะล้อ ซอ และซึง บรรเลงออกมาอย่างได้จังหวะ และในบางครั้งก็จะเห็นสตรีนางหนึ่งแต่งตัวอย่างสวยงามออกมาฟ้อนรำประกอบเสียงเพลงอย่างแช่มช้อย ดวงสุริยันลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ขณะที่พระจันทร์ดวงโตก็โผล่ออกมาลอยเด่นอยู่กลางห้วงนภา รายล้อมด้วยหมู่ดาราน้อยใหญ่นับร้อยนับพันดวง ไผ่กอใหญ่และต้นลำไยไหวเอนลู่ไปตามแรงลม เงาของมันคล้ายหมู่ปีศาจจากขุมนรกอเวจีออกมาร่ายรำตามเสียงเพลงที่บรรเลงอย่างไพเราะ ตลอดแนวคุ้งลำน้ำปิงขึ้นไปทางเหนือเป็นสวนลำไยทั้งหมด ถูกทิ้งให้รกร้างไปพร้อมกับเรือน กลายเป็นป่าลำไยขนาดย่อม ไร้ซึ่งผู้ใส่ใจเพราะต่างก็รู้กิตติศัพท์ดีว่าเจ้าของเรือนหลังนั้นหวงแหนขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวในบริเวณนั้นอย่างเด็ดขาด เพราะขนาดแค่เดินผ่านเท่านั้นยังโดนหลอกกันซะหัวโกร๋น เสียงแมลงกลางคืนต่างกรีดปีกประสานเสียงอย่างไพเราะ แต่ก็ยังไม่ระรื่นหูเท่าเสียงของวงดนตรีล้านนาที่บรรเลงมาจากเรือนบุษยาสักน้อยนิด เหนือขึ้นไปที่ป่าลำไยอันรกครึ้ม มีเสียงกร็อบแกร็บอันเกิดจากฝีเท้าของใครคนหนึ่งเหยียบย่ำมาอย่างแผ่วเบา ผู้ที่เดินมานั้นบัดนี้หาได้มีสติไม่ แต่เธอกลับเดินมาตามคำบงการของอะไรสักอย่าง กิริยาการเยื้องย่างดั่งกุลสตรี เดินเข้ามาด้วยท่าทีที่แช่มช้อย ลมหนาวพัดผ่านต้องกายของหญิงสาวผู้นั้นจนสะท้าน เสื้อสายเดี่ยวตัวจิ๋วที่เธอสวมใส่มันหาได้คุ้มกันลมหนาวได้ไม่ แต่เธอก็ยังคงเดินต่อไปโดยที่ไม่สนใจเลยว่าตนกำลังจะไปที่ไหนและเพื่อจุดประสงค์อันใด จุดหมายตามคำบงการคือ ‘เรือนบุษยา’ เรือนหลังนั้นเธอหาได้รู้จักไม่ แล้วทำไมเธอถึงจะต้องไปด้วย เรือนที่ได้ชื่อว่ามีผีสิง แต่หญิงสาวกลับไม่สนใจและเกรงกลัว เพราะตอนนี้เธออยู่ในสภาวะจิตว่างเปล่า ร่างกายเบาหวิวไร้วิญญาณ ทว่ากลับมีดวงวิญญาณของใครคนหนึ่งเข้ามาสิงสถิตอยู่แทนที่ เพื่อคอยบงการให้ทำตามคำสั่งการที่ดังอยู่ข้างๆ หู ห่างออกไปทางเบื้องหลังไม่เกินสิบก้าว สองชายวัยรุ่นวัยคะนองต่างกำลังย่องเงียบกริบตามมาอย่างกระชั้นชิด เสื้อสายเดี่ยวตัวจิ๋วและกางเกงรัดรูปสมสัดส่วนของหญิงสาวมันล่อตาล่อใจเสือป่าทั้งสองวัยรุ่นเป็นอย่างมาก อารมณ์ความใคร่คือตัวบงการให้มันทั้งสองอยากได้และตามมาทั้งๆ ที่รู้ว่าที่ดินแปลงนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะอารมณ์ชั่ววูบแท้ๆ มันทั้งสองจึงคิดผิด ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับผู้อื่นในภายหลัง แต่มันทั้งสองก็หารู้ไม่ว่าความเดือดร้อนนั่นแหละกำลังจะย้อนเข้าหาตัวมันโดยไม่รู้ตัว หญิงสาววัยกำดัดคนนั้นทำท่าเหมือนจะรู้ตัว ว่ามีคนกำลังตามตนมา จึงยืนหยุดอยู่กับที่ไม่ไหวติง ขณะที่ทั้งสองวัยรุ่นเดินเข้าหาอย่างกระหยิ่มใจว่าสาวเจ้าให้ท่าเข้าซะแล้ว “หยุดรอพี่แล้วหรือจ๊ะน้องสาว” หนึ่งในสองวัยรุ่นร้องถามอย่างคะนองปาก จ้องมองสะโพกของหญิงสาวตาเป็นมัน กลิ่นหอมของดอกแก้วโชยมาตามสายลมเย็น ในขณะที่หญิงสาวคนนั้นกลับยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร “ว่าอย่างไรจ๊ะน้องสาว พี่สองคนถามทำไมไม่ตอบล่ะจ๊ะ หรือคิดเปลี่ยนใจจะรอพี่แล้วเดินไปพร้อมกัน” สองหนุ่มวัยรุ่นต่างหัวเราะขบขันกันอย่างอารมณ์ดี เดินย่องเข้าหาหญิงสาวด้วยท่าทีอันย่ามใจ เสียงดนตรีสะล้อดังแทรกเข้ามาตามสายลม สองวัยรุ่นหยุดชะงักโสตประสาทสดับได้ยินเสียงบรรเลงเพลงดนตรีล้านนาเป็นท่วงทำนอง ‘เพลงปราสาทไหว’ เตือนให้มันมีสติขึ้นมา ความกลัวก่อตัวเข้าแทนที่ เพราะทำนองเพลงนี้เหมือนเตือนไม่ให้มันเข้าไปในอาณาเขตที่หวงห้ามนั้นเด็ดขาด ในขณะที่หญิงสาววัยกำดัดผู้ไร้สติยังคงดำเนินต่อไปตามคำบงการอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น ตัณหาหน้ามืดก็เข้ามาแทรกแซงจิตใจของทั้งสองให้มืดมัวอีกครั้งหนึ่ง มันทั้งสองจึงรีบรุดตามไปเพราะกลัวว่าจะคลาดกันกับเหยื่อสาวอันโอชะ เสียงดนตรีล้านนาดังใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อทั้งสองเดินตามหญิงสาวไป เสียงเพลงมันช่างระรื่นหู ช่วยสร้างบรรยากาศให้มันทั้งสองคิดไปถึงสวรรค์ที่รออยู่เบื้องหน้า สมองวาดสวรรค์ที่รออยู่รำไรกับเรือนร่างอันสมส่วนที่เปลือยเปล่าอยู่เบื้องหน้าของมัน ส่วนปากก็ตะโกนโหวกเหวกออกไปอย่างคะนองปาก “เดินช้าๆ หน่อยก็ได้น้องสาว อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงเรือนนั่นแล้วไม่ต้องกลัวพี่ทั้งสองจะหนีไปดอกนะ ยังไงพวกพี่ก็จะอยู่ถ้ายังมีน้องอยู่ด้วย” ผิวปากอย่างอารมณ์ดี แต่พอนึกอีกทีก็อยากจะตบปากตัวเองสักครั้งที่พูดถึงเรือนหลังนั้นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวหยุดเดินอีกครั้ง มองฝ่าเงามืดเห็นเรือนบุษยาเป็นเงาตะคุ่มอยู่เบื้องหน้า ดวงตาที่เลื่อนลอยกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเจิดจ้า ลมพัดแรงขึ้นทุกขณะ เศษใบหญ้าใบไม้ปลิวว่อน ผมสยายของหญิงสาววัยรุ่นปลิวไสวตามแรงลม สองวัยหนุ่มรุ่นกระทงเพิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะหยุดตะโกนโหวกเหวกเหมือนเมื่อครู่ “ท่าจะไม่ดีแล้วพี่ เรากลับกันก่อนดีกว่ามั้ย” หนุ่มผู้มีอายุน้อยกว่าร้องเตือนรุ่นพี่ ขณะที่มันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างขลาดๆ “เฮ้ย เอ็งดูนู้นไอ้ยุทธ” คนเป็นลูกพี่ชี้มือไปข้างหน้า ด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มตื้นไปด้วยความดีใจขีดสุด เรือนร่างบางระหงที่หยุดยืนอยู่ข้างหน้า บัดนี้ได้หันกลับมาอีกครั้ง ดวงหน้าสวยหวานแย้มยิ้มอยู่ในหน้า ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องจรัส เหมือนจะเชิญชวนให้ทั้งสองเข้าไปหา “เข้ามาสิจ๊ะ ฉันรออยู่” เสียงแว่วหวานดังขึ้นอย่างเชิญชวน พร้อมกับมือบางที่ค่อยๆ ยกขึ้นกวักเรียกอย่างเชื่องช้า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม