EP.10
จากนั้นนางสร้อยก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับหมอผีเฒ่าฟัง เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วเฒ่าทองมีก็หลับตาลงเพื่อตรวจหาสาเหตุอันแท้จริงของอาการของไอ้ทิน
กลิ่นควันธูปลอยอบอวลทั่วบริเวณสำนักทรง มันยิ่งเสริมสร้างความเข้มขลังมากยิ่งขึ้นไปอีก ทางด้านนางสร้อยก็ยิ่งแน่ใจว่าบุตรชายของนางจะต้องหายเป็นปกติอย่างแน่นอน สักพักร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นพิธีก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ในแววตานั้นมันแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
“ลูกของเอ็งไม่ได้ถูกของหรอก”
“แล้วอะไรล่ะพ่อหมอ ที่ทำให้ไอ้ทินมันเป็นเช่นนั้น” นางสร้อยเร่งถามด้วยความกังขา
“ในนิมิตของข้า ข้าเห็นเรือนไทยหลังใหญ่ เรือนไทยในสายหมอกที่มืดมิด เต็มไปด้วยบรรดาวิญญาณที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาท”
“วิญญาณหรือเจ้าคะ” นางสร้อยขนลุกขึ้นมาทันทีที่หมอผีเฒ่าพูดถึงวิญญาณ หรือไอ้ทินจะไปลบหลู่ผีที่ไหนเข้า
“ใช่ มันเป็นวิญญาณที่แรงมาก แต่เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ข้าจะจัดการให้”
“จริงหรือเจ้าคะ พ่อหมอ” นางสร้อยร้องขึ้นอย่างดีใจ คลายความกังวล
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ข้าจะจัดการให้ อีกไม่กี่วันจะถึงวันเพ็ญ เจ้าผีตนนั้นจักมาอยู่ใต้บาทาของข้า ลูกของเจ้าจะไม่เป็นอะไร มันจะต้องหาย แต่ไอ้ผีตัวนั้นมันจักต้องมาเป็นทาสแห่งข้า ฮะ ฮ่า”
นางสร้อยออกจากบ้านของหมอผีทองมีด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าบุตรชายจะต้องไม่เป็นอะไร นางรีบตรงรี่มาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อมาดูอาการของบุตรชาย คิดว่าตอนนี้ไอ้ทินคงจะมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่หล่อนก็พบกับความผิดหวังเมื่อไอ้ทินยังคงร้องแต่คำว่าผีๆ สติสะตังล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หมอจึงฉีดยาสลบเพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อน ขณะที่ผู้ใหญ่อิ่นคำนั่งคอตกเฝ้าบุตรชายอยู่ในห้อง
“พี่ ลูกมันเป็นอะไรกันแน่” หันมาถามสามี
“ไม่รู้ หมอก็ยังบอกอะไรไม่ได้ว่ามันเป็นอะไร” ผู้ใหญ่ตอบเสียงเศร้า
“เออ แล้วเอ็งไปไหนมาทำไมไม่มาดูลูก”
“ฉัน เอ่อ ฉันไปหาหมอผีทองมีมาจ้ะ ก็ไอ้ทินมันเอาแต่ร้องแต่คำว่าผีๆ ฉันก็เลยคิดว่ามันถูกผีหลอกมานะสิ”
“แล้วพ่อหมอท่านว่ายังไงล่ะ”
“พ่อหมอบอกว่ามันคงไปลบหลู่เจ้าที่เจ้าทางที่เรือนไทยที่ไหนสักแห่ง แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าท่านหมายถึงที่ไหน”
ผู้ใหญ่อิ่นคำทำท่านึกพลันภาพของบ้านทรงไทยล้านนาหลังหนึ่งก็ผุดขึ้นมาพร้อมกับเสียงเล่าลือว่าเรือนหลังนี้มีผีเฮี้ยนสุดๆ
“เรือนบุษยา ต้องใช่เรือนบุษยาแน่ๆ ชาวบ้านแถวนั้นว่าผีเฮี้ยนมันนัก”
“เรือนบุษยาที่บ้านดงเจนนะหรือพี่” นางสร้อยอุทานขึ้นด้วยท่าทีที่ตกใจไม่แพ้กัน กิตติศัพท์ความเฮี้ยนของวิญญาณที่เรือนบุษยานั้นมีมากขนาดไหนนางก็พอจะรู้มาบ้าง
“น่าจะใช่ เพราะแถวนี้ไม่มีบ้านทรงไทยแล้วนอกจากที่นั่น แล้วไอ้ทินมันจะไปทำไมที่นั่นล่ะนังสร้อย”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ฉันว่าลูกมันคงจะมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ขนาดรู้ว่าที่นั่นมีผีเฮี้ยนมันก็จะยังไปอีก”
“ข้าว่าเอ็งลองไปถามหาเอาความกับไอ้ยุทธ์ดูซิ เห็นว่ามันสองคนติดกันแจ บางทีไอ้ยุทธ์อาจจะรู้ก็ได้ว่าทำไมลูกเราถึงไปที่นั่น”
เมื่อได้รับแจ้งข่าวจากบิดาเรื่องน้องสาว ดารารัตน์จึงรีบเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางไปเยี่ยมในทันที พร้อมกันนั้นละครที่เธอได้แสดงก็เป็นจังหวัดเดียวกันกับบ้านเกิดของเธอ เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลาจึงคิดที่จะล่วงหน้าไปรอคณะใหญ่เสียที่นั่นเลย
เป็นห่วงน้องสาวแกมหมั่นไส้ ที่บิดามอบความรักให้กับฉัตรนภามากกว่า แต่น้องก็คือน้อง สายเลือดเดียวกัน ทิ้งกันไม่ได้ เธอจึงต้องไปเยี่ยมสักครั้งเพื่อให้สมกับฐานะของพี่สาว เธอเหนือกว่าฉัตรนภาทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่แคร์ที่พ่อจะไม่รัก มีแต่แม่คนเดียวที่รักเอาใจใส่และห่วงใย แต่แม่ก็จากไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
“เก็บกระเป๋ามากมายยังงี้ คิดจะไปเป็นปีเลยหรือยะ” พิมพ์จันทร์ ดารานางแบบสาวเพื่อนของเธอเปิดประตูเข้ามาทักทายเช่นทุกครั้ง
“เห็นว่าจะไปถ่ายละครที่บ้านเกิดเสียด้วยสิ”
“ใช่ เธออยากไปมั้ยล่ะ” เจ้าของห้องถามเสียงเยาะ
พิมพ์จันทร์ยิ้มสดใส ก้าวขาเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างๆ
“ก็ดีสิ ช่วงนี้ฉันว่างอยู่พอดีเลย บางทีอาจจะมีงานเล็กๆ ให้ได้แสดงฝีมือบ้าง”
“เชอะ เอาไว้เขาให้เล่นก่อนค่อยมาว่า” เบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้ ขณะพิมพ์จันทร์ตีสีหน้าซื่อ แต่แววตานั้นฉายแววเยาะหยัน
“คนอย่างฉัน งานเล็กงานน้อยยันตัวร้ายตบนางเอกอย่างเธอ ฉันก็รับเล่นหมดแหละ”
“จ้า แม่คนมากฝีมือ”
ดารารัตน์ลุกขึ้นแล้วเดินส่ายสะโพกไปเก็บของอีกสองสามชิ้นตรงตู้ ก่อนจะเชิดหน้าถามดาราเพื่อนสาวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความดูหมิ่น
“ว่าแต่เธอเหอะพิมพ์ จะไปพร้อมกันไหมล่ะ ถ้าไปก็รีบไปเก็บของซะ ชักช้าฉันจะไม่รอนะ”
“ไม่ต้องห่วงฉันเรียบร้อยแล้ว” ดารารัตน์ทำหน้าเหลอหลา ส่วนพิมพ์จันทร์ก็พาโนมเนื้ออันสมสัดส่วนเดินไปที่ประตูแล้วจึงดึงกระเป๋าเดินทางเข้ามาในห้อง
“ฉันบอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าฉันรวดเร็วและเตรียมพร้อมเสมอ”
“แล้วเธอรู้เรื่องของฉันได้ยังไง”
“จะไปยากอะไร หูตาฉันมีเยอะแยะจะตายไป แค่เธอก้าวขาจะไปไหนฉันก็รู้แล้ว”
ดาราสาวเจ้าของห้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย หล่อนขี้คร้านจะต่อปากต่อคำกับคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างแม่พิมพ์จันทร์คนนี้เสียแล้ว ส่วนใจก็คิดเอ็ดด่าไปต่างๆ นานา
“น้องสาวเธอเป็นยังไงมั่ง ดาด้า” พิมพ์จันทร์เอ่ยถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน พ่อไม่ได้บอกอะไรไว้ คงเร่งให้ฉันไปเยี่ยมยัยฟ้าเร็วๆ ล่ะมั้ง” นั่งเก็บของอีกสองสามชิ้นดารารัตน์ก็ออกเดินทางในทันที ขับรถพาเพื่อนสาวมุ่งตรงขึ้นเหนือจุดมุ่งหมายคือบ้านเกิดของเธอ