ศัสตรา 1
ยุคข้าวยากหมากแพงจะซื้อจะกินอะไรก็ลำบากไปหมด ยิ่งคนที่ไม่มีทุนเดิมอยู่แล้วจะหากินให้ผ่านพ้นไปแต่ละวันก็ยากแสนเข็น
“เฮ้อ!” แก้วตา ถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นจานจำนวนไม่น้อยกองอยู่ด้านหน้าก่อนจะมีพนักงานเดินมาวางเพิ่ม
ตาคู่สวยรับกับใบหน้าสวยหวานที่ใครเห็นเป็นต้องตาเพราะความน่ารักสดใสช้อนขึ้นมองเวลาที่ปรากฏบนนาฬิกาที่ติดฝาผนัง เมื่อเห็นว่าใกล้เย็นแล้วจึงรีบเร่งทำเวลาเมื่อนึกถึงหน้ายายของเธอที่รอกินข้าวอยู่ที่บ้าน
หลังจากทำงานเสร็จแก้วตาก็รีบขับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่า ๆ ไปยังตลาดเพื่อซื้อกับข้าวไปกินที่บ้าน ระหว่างรอกับข้าวที่สั่ง ตาคู่สวยก็เหลือบเห็นหญิงสาวสองคนซึ่งดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอสวมใส่ชุดนักศึกษาเดินผ่านหน้าไป
...ร่างเล็กได้แต่มองตาละห้อยด้วยสีหน้าโอดครวญน่าสงสารเพราะเธออยากสวมใส่แบบนั้นบ้างแต่ก็ไม่มีโอกาส
เนื่องจากที่บ้านนั้นยากจนจึงไม่ได้ศึกษาต่อ แก้วตาจึงเรียนจบเพียงแค่มัธยมปลาย เพราะยายของเธอไม่สามารถส่งเรียนต่อได้ ด้วยอาชีพหมอนวดที่ตอนนี้ผู้คนไม่ค่อยสนใจ อีกทั้งข้าวของยังแพงจะใช้จ่ายอะไรก็ต้องใคร่ครวญ
...หากไม่จำเป็นก็ต้องประหยัดเงิน เพื่อใช้จ่ายของที่จำเป็นเท่านั้น
แก้วตาจึงต้องออกมาทำงานรับจ้างรายวันที่ตัวอำเภอเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายภายในครอบครัว รายได้ที่สามารถดำรงชีวิตในตอนนี้ก็จะเป็นเงินรับจ้างของเธอที่ได้มาก็ใช้ไป เงินคนแก่ของยายเธอและค่าจ้างนวดที่ได้บ้างไม่ได้บ้างกระปริบกระปรอย...
“บานเฮยเนียง” (ได้แล้วหนู) เมื่อได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนแก้วตาก็ละสายตาจากหญิงสาวสองคนแล้วหันไปยังพ่อค้า ก่อนจะล้วงเงินค่าจ้างที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่จ่ายค่ากับข้าว จากนั้นก็รีบขับรถกลับบ้านทันทีเพราะตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มลับฟ้าแล้ว...
@หมู่บ้านช้างใหญ่
“ลอบโมเฮย” (กลับมาแล้วจ้า)
ไม่นานรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าก็เลี้ยวเข้าไปยังบ้านปูนชั้นเดียว เมื่อจอดรถเรียบร้อยร่างอรชรบอบบางก็เดินถือถุงกับข้าวเข้าไปในบ้าน ตาคู่สวยกวาดมองภายในตัวบ้านที่มีขนาดไม่ใหญ่
เห็นยายเธอกำลังนั่งเช็ดพานบูชาใช้สำหรับไหว้ครูก่อนนวดจับเส้นอยู่ ใบหน้าสวยหวานจึงระบายยิ้มสดใสแล้วเดินไปนั่งลงยังพื้นที่มีจานสองสามใบวางอยู่จากนั้นก็จัดการเทแกงถุงที่ซื้อมาจัดใส่ถ้วยเมื่อเสร็จก็เอ่ยเรียกยายของเธอ...
“ยายโฮบบาย” (ยายกินข้าว)
“อือ” เมื่อ กลิ่น ได้ยินเสียงเรียกของหลานสาวก็เก็บพานไว้บนหิ้งอย่างเก่า พอเห็นหลานสาวจัดกับข้าวเรียบร้อยก็ดันตัวลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินไปนั่งลงตรงหน้าแก้วตา
“ทำไมซื้อมาเยอะขนาดนี้ล่ะลูก” ทั้งที่กับข้าวมีเพียงสองอย่างเท่านั้น
“เหลือก็เก็บไว้กินพรุ่งนี้ได้นะจ๊ะยาย”
“ถ้าบูดก็ทิ้งเปล่า ๆ วันหลังซื้อมาแค่อย่างเดียวก็พอ”
“จ้ะ” เพราะไม่อยากเถียงแก้วตาจึงเลือกขานตอบอย่างว่าง่าย แล้วนั่งมองยายเธอใช้มือขยำข้าวกินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม...
“แล้วไม่กินข้าวเหรอ?”
“หนูกินมาแล้ว ยายกินเลย”
“วันนี้ทำงานมาเหนื่อยไหมลูก?”
“ไม่เหนื่อยเลยจ้ะยาย” ปากอวบอิ่มตอบขณะขาเรียวยาวเดินเอากระเป๋าไปวางไว้บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือจากนั้นก็รีบเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
โดยมีสายตาคู่หนึ่งมองเธอด้วยความรู้สึกสงสารเพราะไม่สามารถส่งหลานเพียงคนเดียวเรียนต่อได้ ทั้งที่แก้วตานั้นหัวไวมากหากได้รับโอกาสดี ๆ ชีวิตเธอคงได้ไปไกลมากกว่าไปรับจ้างรายวันเพื่อหาเงินมาเลี้ยงคนแก่ที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ อย่างตน...
ทางด้านแก้วตาเมื่อเก็บหนังสือเข้าชั้นเรียบร้อยก็หยิบผ้าถุงที่แขวนอยู่ราวผ้ามาสอดเข้าไปในเสื้อ ใช้ปากกัดชายผ้าถุงแล้วจัดการถอดเสื้อออกทิ้งลงตะกร้า จากนั้นก็ถอดกางเกงออกจากขาเผยให้เห็นผิวขาวเนียนราวกับเด็กเมืองกรุง
“พรุ่งนี้ยายไปทำบุญที่ศาลากลางหมู่บ้านไหมจ๊ะ?” ขณะมือเล็กผูกปมผ้าถุงที่หน้าอก ใบหน้าสวยหวานราวกับปั้นแต่งก็หันไปมองยายของเธอ
“ไป”
“จ้ะ” เมื่อได้ยินคำตอบแก้วตาก็เดินไปยังประตูหลังบ้าน ก่อนจะตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ห่างจากตัวบ้านประมาณสิบเก้าเห็นจะได้
ขณะที่ขาเรียวยาวก้าวเดินบนอิฐบล็อกที่เชื่อมจากหลังบ้านไปยังห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงพระสวดดังก้องกังวานมาจากศาลากลางหมู่บ้านเป็นระยะ ๆ เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ แก้วตารีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดจะได้รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเนื่องจากมีงานบุญของหมู่บ้าน
ขณะร่างเล็กกำลังอาบน้ำใบหน้าขาวผ่องก็ระบายยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใครบางคน...
อีกฟากฝั่งหนึ่งของบ้านเรือนไทย มีเท้าหนัก ๆ คู่หนึ่งกำลังก้าวเดินขึ้นเรือนเพื่อพักผ่อนหลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แต่จู่ ๆ ก็ต้องชะงักเมื่อรับรู้ว่ามีบางอย่างยืนมองตนอยู่ที่หน้าบ้าน ตาคมกริบภายใต้แว่นเรย์แบนสีดำจึงปรายมอง พอเห็นสิ่งที่ตามตนมาเป็นต้องถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความรำคาญ
ก่อนจะเอ่ยบอกหลานชายด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิด...
“จัดการให้กูแหน่” (จัดการให้กูหน่อย) สิ้นเสียงทุ้มร่างสูงก็เดินล้วงกระเป๋ากางเกงขึ้นไปบนบ้านทันที ขณะที่หลานชายได้แต่มองน้าของตนแล้วบ่นอุบอิบ
“เจ้ากะอย่าหล่อหลายน้า ลำบากไล่กลับป่าช้าอ**บาดทีนิ” (น้าก็อย่าหล่อเกิน ลำบากไล่กลับป่าช้าอีกนะทีนี้) เมื่อเด็กหนุ่มพูดจบก็ตวัดสายตามองไปยังหน้าบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีหงุดหงิด
“อีห่านี่ ตายห่าไปแล้วกะบ่หาไปผุดไปเกิดเนาะ แล่นตามผู้ชายอยู่นั่นล่ะ” (อีห่านี่ ตายห่าไปแล้วก็ไม่รู้จักไปผุดไปเกิดนะ วิ่งตามผู้ชายอยู่นั่นแหละ)
รุ่งเช้าวันถัดมา ขณะร่างเล็กนอนอยู่บนที่นอนเล็ก ๆ ใต้มุ้งที่มีขนาดไม่ใหญ่ พอได้ยินเสียงตำน้ำพริกดังมาจากในครัวหลังบ้าน อีกทั้งกลิ่นไอหอม ๆ จากข้าวที่หุงด้วยเตาถ่าน ตาคู่สวยก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น
แล้วคลานออกมาข้างนอกมุ้งเดินไปหายายที่อยู่ในครัว พอเห็นยายเธอนั่งดงข้าวอยู่ก็พูดด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว พร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมของข้าวเข้าปอดหนัก ๆ
“อ่า หอมจัง”
“ตื่นแล้วก็รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวไปถึงช้าจะอายเขา”
“จ้ะยาย” ขณะที่แก้วตากำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้หมอนัดยายของเธอเพื่อตรวจวัดความดันตามนัด
“ทำบุญเสร็จ เดี๋ยวหนูจ้างลุงเชิดพายายไปหาหมอนะจ๊ะ”
“ไม่ต้องไปหรอกเปลืองเงินเปล่า ๆ โรคคนแก่ไม่หายหรอก”
กลิ่นโบกมือปัดรำคาญให้หลานสาวเพราะไม่อยากไปหาหมอให้เปลืองเงิน ลำพังใช้จ่ายไปวัน ๆ ก็จะไม่มีอยู่แล้ว จากนั้นก็หันไปทำกับข้าวต่อ แก้วตาเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของคนแก่ จึงเลือกไม่พูดอะไรค่อยตื้อใหม่อีกครั้ง
ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนอนที่ใช้ตู้เสื้อผ้ากั้นไว้ทำเป็นพื้นที่ส่วนตัวซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่นอนของยายเธอ แล้วคว้าผ้าถุงที่แขวนอยู่ราวผ้าเดินตรงไปยังห้องน้ำทันที
เมื่ออาบน้ำเสร็จก็นุ่งกระโจมอกยืนเลือกเสื้อผ้าในตู้ ก่อนจะหยิบผ้าซิ่นไหมสีน้ำตาลอมแดงกับเสื้อลูกไม้สีขาวแขนกุดสะอาดตามาสวมใส่
จากนั้นก็ไปยืนอยู่หน้ากระจกหยิบหวีมาจัดแต่งทรงผมให้ดูเรียบร้อย เทแป้งลงบนฝ่ามือแล้วประยังใบหน้าขาวเนียนเพิ่มความสวยงาม ตาคู่สวยยืนมองใบหน้าตัวเองที่สะท้อนในกระจกแล้วยิ้มเบา ๆ
เมื่อพึงพอใจแล้วก็เดินออกไปเด็ดดอกไม้หน้าบ้านมาใส่ตะกร้า แล้วนั่งรอยายของเธอแต่งตัว พอกลิ่นเดินออกมาจากบ้านสองยายหลานก็เดินไปตามถนนของหมู่บ้านเพื่อไปยังศาลากลางบ้านด้วยใบหน้าชื่นมื่น
เช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นที่พร้อมใจกันไปที่นั่นด้วยจุดประสงค์เดียวกัน...