เด็กสาวนั่งกำด้ามพัดเอาวางไว้บนตักหลังจากเฉิงกุ้ยเฟยและเหล่านางกำนัลอาวุโสทั้งหลายจากไปจนหมด เหลือเพียงนางกับจื่อชิงที่จากสาวใช้บัดนี้ก็กลายมาเป็น ‘คนสนิทของพระชายาอี้’ ถึงทราบดีว่าเหล่าองค์ชายแต่งพระชายาได้มากถึงสี่นาง แต่เด็กสาวที่อยู่ในวัยเพ้อฝันก็คิดไปก่อนแล้วว่าตนเองจะได้เป็นพระชายาเพียงหนึ่งเดียวขององค์ชายใหญ่
“พี่จื่อชิง ข้าปวดเท้ายิ่งนัก”
จื่อชิง พี่เลี้ยงสาวในวัยสิบเก้าปี นอกจากแม่นมซู่อิ๋งแล้วอี้หลานฮวายังทราบอีกด้วยว่าพี่เลี้ยงกึ่งสาวใช้นางนี้เป็นคน ‘พิเศษ’ ของที่ชายคนรอง เด็กสาวที่รู้เห็นเป็นใจจึงเรียกอีกฝ่ายว่า’ พี่จื่อชิง’ แทนที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าจื่อชิงเช่นผู้เป็นนายสาวทั่วไปจะใช้เรียกสาวใช้
“เช่นนั้นรอสักครู่นะเพคะพระชายาจื่อชิงจะไปนำน้ำอุ่นมาให้แช่เท้านะเพคะ”
สาวใช้คนสนิทเร่งเดินออกไปจัดการสิ่งที่คุณหนูของนางต้องการเพียงไม่นานก็กลับมา รองเท้าเจ้าสาวอันงดงามถูกปลดออกจากเท้าเรียวเล็ก จากนั้นจื่อชิงก็นวดเท้าให้แก่อี้หลานฮวาอย่างทราบจุดกันเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายนั้นพึงใจน้ำหนักมือเช่นไร เด็กสาวผ่อนคลายจนแทบเคลิ้มหลับ
แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังใกล้เข้ามาซึ่งเด็กสาวจำได้แม่นยำว่าคือผู้ใด นางจึงลุกขึ้นนั่งในกิริยางดงามตามที่ท่านแม่กับแม่นมเฝ้าสั่งสอนก่อนออกเรือนอยู่นานนับสองปี ฝ่ายจื่อชิงเมื่อผู้เป็นเจ้าบ่าวก้าวเท้าเข้าประตูเรือนหอ นางย่อมทราบหน้าที่ดีจึงเก็บข้าวของแล้วหลบฉากออกไปทันที
“เยี่ยเจาเกอเกอะ”
แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวแถมยังเติบโตมากับหยวนเยี่ยเจาราวกับเขาคือพี่ชายคนที่สาม จากที่ควรจะเป็นฝ่ายของเจ้าบ่าวที่จะเดินตรงมายังเตียงเพื่อร่วมราตรีสำคัญไปด้วยกัน ถึงนางจะทราบว่าสามีและภรรยานั้นต้องลึกซึ้ง แต่คงเพราะความเข้มงวดเกินไปของท่านแม่และแม่นม สิ่งที่เด็กสาวเช่นอี้หลานฮวาทราบนอกจากร่วมกินขนมมงคล ดื่มสุราผูกสัมพันธ์ร่วมกัน ก็มีเพียงอาบน้ำแล้วแยกย้ายกันเข้านอน ที่มีเพิ่มขึ้นคงเป็นเรื่องที่นางต้องปรนนิบัติพระสวามีด้วยตนเองเท่านั้น เช่นอาจมีช่วยเขาแต่งกายไปจนถึงอาบน้ำให้กับอีกฝ่ายเท่านั้น ส่วนเรื่องราวลึกซึ้งกว่านั้นสาวน้อยไม่ทราบทั้งสิ้น
“เจ้าจะไปอาบน้ำก่อนหรือสะดวกให้ข้าไปอาบก่อน” หลังสิ้นเสียงของผู้เป็นเจ้าบ่าว ดวงตากลมโตสีม่วงเข้มราวดอกกล้วยไม้ เช่นนั้นนางจึงถูกท่านปู่มอบนามหลานฮวาให้ เพราะนางคงได้สายเลือดฝ่ายท่านย่าของนางที่เป็นเผ่านอกด่าน ก็มองตอบคนที่นางอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่เพียงได้เห็นแผ่นหลังกว้างของเขา อี้หลานฮวาอุ่นใจว่าตนเองจะปลอดภัยราวกับอยู่ใกล้บิดาเลยทีเดียว
“ให้เสี่ยวหลานดูแลเยี่ยเจาเกอเกอะอาบก่อนจึงถูกต้อง ท่านแม่กับแม่นมซู่อิ๋งกำชับเสี่ยวหลานมาอย่างดีเพคะ”
กล่าวจบเด็กสาวก็ยิ้มแป้นแล้นน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง แต่นางมีเพียงความน่าเอ็นดู ส่วนเสน่หาเย้ายวนอี้หลานฮวานั้นกลับไม่มีเลยสักนิด
“เช่นนั้นก็ตามมา” เขาไม่อยากมากปัญหา อีกสองชั่วยามตนเองจะต้องไปส่ง ‘คนสำคัญ’ ของตนเองแล้ว เวลาของเขามีค่ายิ่งทองหมื่นชั่ง หากแต่มิใช่การเข้าหอ ทว่าเป็นการไปส่งสตรีที่เขารักจริงจังต่างหาก
แล้วเมื่อการอาบน้ำผ่านพ้นอี้หลานฮวานั้นก็ต้องแปลกใจอย่างยิ่งเมื่อเจ้าบ่าวของตนเองที่สมควรจะสวมชุดเตรียมเข้านอนนั้นกลับเรียกหาชุดที่พร้อมจะสวมออกไปด้านนอก
“เยี่ยเจาเกอเกอะไม่เข้านอนหรือเพคะ?” สงสัยเด็กสาวไร้เดียงสาเช่นอี้หลานฮวานั้นก็ย่อมต้องสอบถามเรียกได้เลยว่าเด็กสาวใสซื่อจนกลายเป็นซื่อบื้อไปเลยในสายตาของผู้ใหญ่เช่นหยวนเยี่ยเจา
“ประเดี๋ยวข้ามีราชกิจไปตรวจค่ายทหารยังชายแดน เจ้าอยู่ตำหนักก็เชื่อฟังเสด็จแม่กับเหอโมโม่ให้ดี อย่าดื้ออย่าซน"
ถึงไร้เดียงสา ถึงจะเบาปัญญา ไม่เท่าทันคน เพราะมีท่านปู่ท่านย่าคอยปกป้อง มีมารดาแสนจะเข้มงวด กับพี่ชายอีกสองคนคอยถนอมนางราวหยกเสมือนบุปผา แต่การที่ถูกเจ้าบ่าวทอดทิ้งในราตรีเข้าหอเช่นนี้ในยามเช้านางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน
...แต่ท่านย่ากล่าวว่าภรรยาที่ดีต้องส่งเสริมและเข้าใจสามี อย่าได้มากความ...
“เจ้าค่ะ” คิดตกได้เช่นนั้นเด็กสาวไร้เดียงสาผู้หนึ่งจึงรับปากออกไปโดยไม่สอบถามอันใดอีกเลย นอกจากหันไปสนใจจัดอาภรณ์กับข้าวของที่พระสวามีต้องการนำติดกายไปเท่านั้น จากราตรีเข้าหอกลับเป็นราตรีที่นางต้องออกมาส่งเจ้าบ่าวซึ่งเป็นผู้นำขบวนรถม้าที่อี้หลานฮวามิอาจทราบได้สักนิดว่าภายในรถม้าคันหรูนั้นคือ ‘พระชายารองหลิง’ ที่ฮ่องเต้สุดท้ายเพียงหวังให้บุตรชายที่ตนเองรักยอมแต่งงานกับสตรีที่พระองค์ต้องการ จึงจำใจยินยอมให้หยวนเยี่ยเจา ‘แต่ง’ พระชายารองก่อนพระชายาเอกหนึ่งวัน
...อนิจจา...
เด็กสาวมิอาจทราบได้เลยว่าตนเองนั้นกำลังมาส่งพระสวามีกับพระชายารองหลิงไปร่วมหอกันที่ตำหนักเทียนเล่อยังแคว้นเหล่ย ในอาณาจักรแห่งนี้ผู้ใดจะน่าเวทนาเทียบเท่าอี้หลานฮวาเกรงว่าคงจะไม่มีอีกแล้ว...
...ย้อนกลับไปเมื่อหกวันก่อนหน้างานสมรสพระราชทาน...
“เจ้าเสียสติหรือเยี่ยเจา?!” บุรุษสูงวัยแต่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงไปหลายปี ภายใต้อาภรณ์สีดำปักลวดลายเป็นมังกรสีทองอร่ามเรืองรองบอกได้ถึงฐานะอันไม่ธรรมดา ทว่าใบหน้าของเขานั้นดำทะมึนไปถึงเก้าส่วน ด้วยเพลิงโทสะซึ่งกำลังถาโถมออกมา เนื่องจากบุตรชายที่เขารักมากไม่พอยังเป็นความหวังเดียวที่เขาต้องการจะยกราชบัลลังก์ให้เขาสืบทอดต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้
แต่เจ้าตัวดีนั้นกลับไม่คิดจะสานต่อ คิดจะละทิ้งชาวประชาและแผ่นดินไปเป็นเพียง ‘เหล่ยอ๋อง’ ที่แคว้นเหล่ยซึ่งอยู่ห่างไกลถึงชายแดนเพราะเพียงแค่อยากสมหวังกับสตรีนางเดียว เขาคิด ‘กำจัด’ นางทิ้ง แต่หยวนเยี่ยเจานั้นกลับชาญฉลาดนำนางไปซุกซ่อน ถึงเขาจะส่งคนไปกำจัดแต่หยวนเยี่ยเจากลับมายื่นคำขาดในวันนี้ว่าหากเขายังไม่ปล่อยมือจากคนสกุล ‘หลิง’ อีก เขาจะปลิดชีพตนเองต่อหน้าบิดาก็วันนี้ ฮ่องเต้จึงบันดาลโทสะจนศีรษะแทบลุกเป็นไฟแต่กลับทำอันใดมิได้เลย
“หากกระหม่อมเสียสติแล้วในอดีตที่เสด็จพ่อพบรักกับเสด็จแม่ ดึงดันจะรับนางเข้าวังให้ได้แม้เสด็จย่าจะต่อต้านเพียงใดเล่าจะเรียกว่าอันใด?”
“นี่เจ้า!!!” ฮ่องเต้ถึงกับมือไม้สั่นระรัวในยามที่บุตรชายยอดดวงใจบังอาจยอกย้อนตนเองไม่พอ มันยังบังอาจเอามีดสั้นจิ้มอยู่ที่ตรงลำคอตนเองด้วยดวงตามุ่งมั่นไม่หวั่นไหว ดังนั้นคนที่รักบุตรลำเอียงจนแทบคว่ำเช่นมังกรหนุ่มใหญ่วัยเฉียดหกสิบทำสีหน้าประเดี๋ยวก็แดงประเดี๋ยวก็เขียวอีกครู่จึงดำทะมึน แต่จะเช่นไรเขาก็ยอมให้บุตรชายคนโตมาเชือดลำคอที่ฟูมฟักมาอย่างดีและยากลำบากถึงยี่สิบแปดปีต่อหน้าต่อตาไปไม่ได้ สุดท้ายคนที่มีศักดิ์สูงกว่าจำต้องข่มอารมณ์ด้วยการยืนเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง ปิดเปลือกดวงตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วก็ปล่อยออกสุดอยู่หลายสิบครั้ง จากนั้นจึงค่อยหันหน้ากลับออกมาเผชิญหน้ากับหยวนเยี่ยเจาด้วยดวงตาที่นิ่งสงบ
“วางมีดสั้นลง” ฝ่ายพระบิดาเอ่ยน้ำเสียงเข้มขรึม ใบหน้าจริงจัง เติบโตมาจนถึงบัดนี้หยวนเยี่ยเจาเขาจึงทราบทันใดว่าผู้เป็นพระบิดาที่รักเขามากยิ่งกว่าบุตรชายลำดับที่เจ็ดเช่น ‘หยวนลี่หยาง’ ซึ่งได้กำเนิดจากฮองเฮาเกินแปดส่วนเช่นนี้นั้นกำลังอยู่ในอารมณ์ใด จากที่แข็งข้อองค์ชายใหญ่มีหรือจะเบาปัญญา ในยามตึงเกินไปเขาต้อง ‘ผ่อนแรงดึง’ หาไม่เชือกเส้นนั้นอาจขาดสะบั้นลงแล้วจะมีผลประโยชน์อันใดเล่า?
‘เจ้าต้องรู้จักรุกให้เป็น และถอยให้ถูกจังหวะ หาไม่แม้แต่แม่เองก็ยากจะช่วยเจ้าได้นะเยี่ยเจา’
คำกล่าวเตือนและปลูกฝังสั่งสอนของเฉิงกุ้ยเฟยผู้เป็นพระมารดาแท้จริงย้อนกลับมาเตือนสติของชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีดังอื้ออึงอยู่ภายในภายในศีรษะเขาทันใด เพราะบัดนี้ ‘เชือก’ แห่งความอดทนของพระบิดาใกล้ขาดลงแล้ว เมื่อครู่เขารุกหนักไป บัดนี้สมควรได้เวลา ‘ถอย’ แต่จะต้อง ‘ถอย’ เช่นไรให้มีผลประโยชน์สูงที่สุดแก่ตนเองและสตรีอันเป็นที่รักเช่นหลิงหนี่ว์เอ๋อร์กับสกุล ‘หลิง’ ของนางให้มากที่สุด
“กระหม่อมยินยอมตบแต่งกับคุณหนูอี้นั้นย่อมได้ แต่...” มีดสั้นเล่มคมวาววับถูกเก็บเข้าปลอกของมันแล้วหยวนเยี่ยเจาจึงหันกลับมา ‘ถอย’ อย่างมีจังหวะและมากปัญญา กับความเจ้าเล่ห์ที่มีติดกายของ ‘องค์ชายใหญ่’ มาตลอดหลายสิบปีโดยที่ไม่ยอมเปิดเผยมันออกมา เพราะขนาดฮ่องเต้เองเลี้ยงดูใกล้ชิดยังไม่เคยทราบถึงความ ‘มากมายเล่ห์เหลี่ยม’ นี้ขององค์ชายใหญ่ที่เขานั้นรักใคร่หนักหนาแม้เพียงเสี้ยวธุลี!
“แต่อันใด?” ในที่สุด ‘มังกรผู้เฒ่า’ ก็ฮุบ ‘เหยื่อ’ สมดังใจของเขาแล้ว มุมปากแกร่งจึงเผลอกระตุกเล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะขนาดฮ่องเต้ผู้หูตาว่องไวยังมองไม่ทันเลยทีเดียว
“กระหม่อมกับหนี่ว์เอ๋อร์ต้องได้แต่งกันก่อนอี้หลานฮวา จะพรุ่งนี้หรือก่อนเพียงหนึ่งวัน แต่เช่นไรหนี่ว์เอ๋อร์ก็จะต้องได้เป็นพระชายาคนแรกของกระหม่อม ต่อให้นางจะได้เป็นเพียงพระชายารอง แต่นางต้องได้เป็นภรรยาคนแรกของกระหม่อม!”
“!!!”
ฮ่องเต้ถึงกับกัดฟันพลางคิดในใจว่าหากคนผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าเป็นองค์ชายเจ็ด เขาคิดได้ทันทีเลยว่าบัดนี้คงได้ถูกเขาลงโทษสถานหนักไปแล้ว หากแต่เพราะนี่คือสายเลือดระหว่างเขากับสตรีอันเป็นที่รักจึงจำต้องอดทนยอม ‘ตามใจ’ แต่จะยอมเสียทั้งหมดเห็นทีจะไม่ได้ เพราะสกุลอี้นั้นยิ่งใหญ่มากหาก ‘ข่าว’ ที่องค์ชายใหญ่แต่งพระชายารองได้เข้าตำหนักอันเล่อก่อนบุตรสาวและหลานสาวคนเดียวของพวกเขา เรื่องย่อมไม่ลงเอยด้วยดีแล้วเป็นแน่
“ได้!”
ท่านผู้เฒ่าเองก็ใช่จะธรรมดา ในเมื่อบุตรชายมากเล่ห์ส่งมาให้ เขาเองย่อมมีเหลี่ยมคมกริบทุกมุมคืนไปเช่นกัน หรือจะกล่าวให้ถูกต้องแล้วให้เรียกว่า ‘ถอย’ คนละหนึ่งก้าวเท่ากัน
“แต่เจ้าเองก็ต้องรับปากข้าด้วยเช่นกันว่าจะปกปิดเรื่องนี้ให้เป็นความลับเอาไว้ให้นานที่สุด จะจัดการเช่นไร ข้ายกให้เป็นเจ้าคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก็แล้วกัน ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
จริงอยู่ว่าอาจเป็นคำกล่าวคล้ายไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง หากแต่ขันทีเฒ่าคู่พระทัยฮ่องเต้มีหรือจะไม่ทราบความจริงว่าพระสนมเหล่านั้นจะมีอีกกี่องค์ชาย หากพวกเขาเหล่านั้นคิดแย่งชิงอำนาจหรือจะขวางทางหยวนเยี่ยเจา ฮ่องเต้ตรงหน้าเขานี้ก็ไม่รอช้าที่จะ ‘กำจัด’ ขวากหนามเหล่านั้นทิ้งแทนองค์ชายใหญ่อย่างไม่คิดมากทั้งสิ้น และใช่แล้ว ที่องค์ชายเจ็ดนั้นยังรอดชีวิตก็เพราะอดีตไทเฮานั้นขอชีวิตเด็กน้อยเอาไว้ โดยที่พระนางขอเอาชีวิตของตนเอง ‘แลก’ กับหยวนลี่หยาง จึงไม่แปลกที่พอองค์ชายเจ็ดอายุนั้นครบเจ็ดวัน ไทเฮาจึงสิ้นพระชนม์
ถึงฮ่องเต้จะไม่คิดให้มารดาสละชีพ แต่ไทเฮาทราบดีว่าหากนางไม่ยอมทิ้งชีวิตตนเอง หรือไม่ตายลง ขุนนางเก่าแก่ก็จะต้องเชื่อฟังพระนางมากกว่า อำนาจของฮ่องเต้ในวันนั้นก็มิอาจใช้ได้เต็มที่ พระนางที่รักใคร่หลานชายผู้นี้มากจึงยอมสละชีพตนเองแลกกับองค์ชายเจ็ดหยวนลี่หยางเสีย พระนางหาได้หูหนวกตาบอดจึงจะไม่ทราบที่ฮ่องเต้นั้นมีคำสั่ง ‘ลับเฉพาะ’ ให้สังหารเหล่าองค์ชายที่เกิดมาแล้วอาจสร้างปัญหาให้แก่องค์ชายใหญ่ไปจนหมด แต่เพราะพระนางไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกพระสนมเหล่านั้นเช่นเพ่ยฮองเฮาที่เป็นหลานสาวโดยแท้ที่พระนางเลี้ยงดูมากับมือ
แต่สุดท้ายฮองเฮากับองค์ชายเจ็ดนั้นก็ต้องกลืนกินยาพิษทุกหนึ่งเดือน หากว่าทั้งสองแม่ลูกคิดการใหญ่ยาถอนพิษย่อมไม่มีนำไปส่งยังตำหนักฮองเฮาและองค์ชายเจ็ดเสียเป็นแน่ ผู้ใดจะคาดว่าบุรุษผู้เป็นมังกรยิ่งใหญ่มีหน้ากาก ‘ผู้มากไปด้วยคุณธรรม’ จะมีใจคออำมหิตได้ถึงเพียงนี้ แม้นมารดาเช่นไทเฮามิใช่ผู้ให้กำเนิดมา แต่พระนางก็เลี้ยงดูฟูมฟักและผลักดันหยวนจิ่วซ่างหรือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันดังบุตรชายในสายโลหิต ทว่าสุดท้ายนางกลับต้องมอบชีวิตใส่มือให้กับคนที่พระนางทั้งรักและเอ็นดูเพื่อแลกกับชีวิตหลานสาวและเหลนชาย
...อำมหิตในแผ่นดินนี้ยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีก...
ซึ่งหลังจากผ่านพ้นไปเพียงสามวัน คนสกุลหลิงก็ถูกโยกย้ายไปไกลหูไกลตาของฮ่องเต้และเฉิงกุ้ยเฟยกับคนของสกุลอี้ แต่เป็นการกระจายตัวออกไปอย่างเงียบงัน และเหลือเพียงสกุลหลิงสายหลักเพื่อจัดพิธีแต่งงาน และหลังจากนั้นหยวนเยี่ยเจาก็จัดพิธีแต่งงานขึ้นมาก่อนที่จะตบแต่งกับอี้หลานฮวาเพียงหนึ่งวัน เขาซุกซ่อนหลิงหนี่ว์เอ๋อร์เอาไว้รอเสร็จพิธีแต่งงาน เขาจะอ้างการไปตรวจราชการแทนฮ่องเต้ยังแคว้นเหล่ยแล้วจึงพาพระชายารองหลิงไปซ่อนตัวเอาไว้ที่ตำหนักชายแดนแห่งนั้นพร้อมครอบครัวของนาง
...และวันนี้เขาก็ทำมันได้สำเร็จไปได้ด้วยดี...
กายแกร่งบังคับบังเ**ยนอาชาศึกตัวโตตรงจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองเด็กสาวใสซื่อนางหนึ่งที่ต้องตกมาอยู่ตรงกลางระหว่างการเมือง โดยไร้โอกาสทราบแม้เพียงนิดว่าตนเองถูกหลอกแล้วหลอกอีก หลอกลวงนางดังกับว่าเด็กสาวหาใช่คน!