ในยามเช้ามาเยือนอีกครั้งยังแผ่นดินต้าหยวน แต่วันนี้ฐานะของเด็กสาวผู้หนึ่งเปลี่ยนไปราวกับพลิกปฐพีเนื่องจากวันนี้ ‘อี้หลานฮวา’ นั้นหาใช่คุณหนูแห่งจวนอี้อีกแล้ว ทว่านางคือ ‘พระชายาอี้’ ที่ตื่นขึ้นมาอย่างเดียวดายโดยไร้เงาของพระสวามี เด็กสาวจึงไม่ทราบว่าตนเองจะออกจากห้องหอไปยกน้ำชาให้แก่เฉิงกุ้ยเฟยผู้เป็นแม่ของสวามีได้อย่างไร อีกทั้งก่อนยามอู่นางจะต้องเข้าวังไปยกน้ำชาให้กับฮ่องเต้และฮองเฮานั้นอีก เด็กสาววัยเพียงสิบห้าปีที่ตลอดนับจากจำความได้ ชีวิตของอี้หลานฮวานั้นถูกสั่งสอนให้เดินอยู่เพียงในกรอบธรรมเนียมและประเพณีของชาวต้าหยวนมาโดยตลอด พอวันนี้ทุกสิ่งผิดเพี้ยนไปหมดจากสิ่งที่นางถูกมารดากับท่านย่าปลูกฝังและสั่งสอนอบรมนางมาตลอดชีวิตก็เลยไม่ทราบแล้วจริงๆ ว่าตนเองสมควรจะทำเช่นไรต่อไปดี นอกจากนั่งทึ่มทื่ออยู่บนเตียงด้วยความคิดสับสนวุ่นวายใจไปหมดตามประสา ‘คุณหนู’ ตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งที่ถูกถนอมมาราวกับไข่ในหิน
…ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…
“พระชายาอี้เพคะ หม่อมฉันแม่นมเหอเอง”
พอล่วงถึงต้นยามเหมา แม่นมเหออี๋นั่วที่ติดตามเฉิงกุ้ยเฟยมาจากอำเภอเล็กๆ ติดชายแดนตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเพียงพระสนมชั้นไฉเหริน จวบจนเจ้านายของนางคลอดองค์ชายใหญ่ออกมา นางเองที่ในยามนั้นก็เพิ่งคลอดบุตรชายแต่ก็มาด่วนจากไปจึงได้รับความไว้วางใจจากเฉิงกุ้ยเฟยให้เป็นแม่นมของ ‘หยวนเยี่ยเจา’ มานับจากเขามีวัยเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เพราะพระนางเกิดมีน้ำนมไม่เพียงพอ
“พี่จื่อชิงไปเปิดประตูเถิด”
เด็กสาวสั่งคนของตนเองไปเปิดประตู เพราะคิดทบทวนดูแล้วขบวนขององค์ชายใหญ่หยวนเยี่ยเจาเดินทางออกจากตำหนักและเมืองหลวงก็หาได้ปกปิดซ่อนเร้น คาดว่าเฉิงกุ้ยเฟยหรือแม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจจะทราบดีกันแล้วว่าผู้เป็นเจ้าบ่าวของเมื่อวานจากไปตั้งแต่ปลายยามจื่อนานแล้วก็อาจจะเป็นไปได้ นางจึงเรียกจื่อชิงมาช่วยแต่งกายด้วยอาภรณ์เต็มพิธีการกับเครื่องประดับสมฐานะเพื่อเข้าเฝ้า เพราะถึงพระสวามีนั้นไม่อยู่ นางซึ่งเป็นถึงพระชายาเอกจะต้องยืนหยัดเผชิญหน้ากับทุกปัญหาให้จงได้ ท่องเพียงในใจว่าที่แห่งนี้มิใช่จวนสกุลอี้ และอีกสิ่งตำหนักันเอล่อแห่งนี้นางจะอ่อนแอมิได้เด็ดขาด!
…ยกน้ำชาเพียงลำพังก็ยังดีกว่าถูกทิ้งในราตรีเข้าหอมากทีเดียว…
“พระชายาอี้ได้เวลายกน้ำชาแล้วเพคะ…เชิญ…”
สตรีวัยคงราวใกล้ห้าสิบปีที่มีใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาดังปลาที่ตายแล้ว ทำเอาเด็กสาวเช่นอี้หลานฮวานั้นเสียขวัญไม่น้อยในยามแรกพบหน้ากันชนิดใกล้ชิดเช่นนี้ นางต้องหลับตาแล้วลืมอยู่หลายครั้งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกอย่างยาวที่สุดเกินสิบครั้งจึงปั้นหน้าเรียบนิ่งกลับคืนไปบ้าง เข้าใจได้ว่าสตรีสูงวัยผู้นี้เป็นแม่นมของพระสวามีแต่แม่นมหาใช่มารดาตัวจริง เป็นเพียง ‘บ่าว’ ในตำหนักผู้หนึ่ง หากนางซึ่งเป็นพระชายาเอกก้มศีรษะให้ผู้ที่เป็นเพียงแม่นมผู้หนึ่ง ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่ยังจะศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้อีกหรือ?
“ต้องไปทางใดแม่นมเหอเชิญนำไปได้เลย!”
…ไม่มีหางเสียงมอบให้แก่นางก่อนเช่นนี้หลานฮวาก็มิเกรงใจเช่นกัน!...
พอดวงตาแข็งทื่อมองจับจ้องมาที่นางคล้ายไม่พึงใจ เด็กสาวก็เพียงกดมุมปากยกยิ้มเล็กน้อย หากแต่รอยยิ้มนั้นมีเพียงแค่มุมปากเท่านั้นยากจะไปถึงดวงตาเรียวสวยสีม่วงเข้มคู่นั้นเช่นกัน นางถูกสวามีทอดทิ้งไม่ไว้หน้า จะยกเหตุผลใดมาอ้างคนโง่เท่านั้นที่จะหลงเชื่อ สมรสพระราชทานหาใช่ประกาศช่วงเช้าก็มาตบแต่งช่วงบ่าย แต่นี่มีเวลาเตรียมตัวถึงสามเดือน แล้วฮ่องเต้จะประทานพระราชกิจให้กับองค์ชายใหญ่ที่ยังมิได้เข้าหอไปตรวจหัวเมืองใหญ่ได้เช่นไรกัน หากบังเกิดศึกใหญ่ประชิดหัวเมืองเหล่ยนั่นมา ‘หลอกลวง’ นางคงจะแสร้งเบาปัญญาทำใจเชื่อได้ลง แต่นี่…
…นับจากจำความได้สกุลอี้เลี้ยงนางด้วยข้าวหอมอย่างดีมิใช่หญ้าจึงจะมีปัญญาน้อยกว่ากระบือ!...
…ห้องโถงใหญ่ตำหนักอันเล่อ…
สตรีสูงวัยแต่งกายภูมิฐานแต่อายุของนางนั้นใกล้สี่สิบเจ็ดเต็มที ทว่านางกลับดูอ่อนวัยราวกับหญิงสาววัยสามสิบเท่านั้น นางกำลังนั่งขยับฝาถ้วยน้ำชาไล่ไอร้อนด้วยกิริยากรีดกรายปลายนิ้วก้อยเด้งจนเห็นที่สวมปลอกนิ้วซึ่งเป็นทองคำแท้จริง รวมไปถึงชุดเครื่องประดับ หากเมื่อวานนางไม่พบหน้าอีกฝ่ายมาก่อนคงคิดไปแล้วถึงเก้าส่วนว่าสตรีตรงหน้าคือ ‘ฮองเฮา’ มากกว่าจะเป็นเพียง ‘เฉิงกุ้ยเฟย’ ภรรยาคนรองของมังกรผู้เฒ่าเช่นหยวนจิ่วซ่างไปแล้วเป็นแน่
“สะใภ้มาคารวะเสด็จแม่เพคะ”
อี้หลานฮวาโค้งกายลงไปจนเริ่มจะปวดเอวหากแต่ ‘พระมารดา’ ของพระสวามีนั้นกลับนิ่งเฉย ขยับฝาถ้วยน้ำชาราวกับบัดนี้ทั้งตัวของนางและจื่อชิงเป็นเพียงสายลมที่ยากจะได้ยินหรือสัมผัสแตะต้องได้อย่างไรอย่างนั้น
“อี้หลานฮวาคารวะเฉิงกุ้ยเฟยเพคะ”
นางต้องกัดฟันแล้วสูดลมหายใจยืดยาวเข้าและออกอยู่เป็นครู่ แต่โค้งกายร่วมสองเค่อสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้ากลับไม่เอ่ยอันใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ อดีตก่อนจะแต่งงานเข้ามาเด็กสาวยังจดจำได้ถึงทุกเทศกาลที่ว่าที่พระมารดาของสามีมักจะจัดส่งของขวัญไปให้นางอย่างไม่มีละเว้น จวบจนเมื่อราตรีซึ่งเดินไปส่งนางเข้าห้องหอ อี้หลานฮวายังจดจำได้ดีเลยทีเดียวว่าเฉิงกุ้ยเฟยพูดจากับตนเองราวกับมารดาเอ็นดูบุตรสาวที่รักอย่างยิ่งนางหนึ่ง
ทว่าบัดนี้ผ่านไปหนึ่งค่ำคืนทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไปจนอี้หลานฮวาถึงกับขมในปากขึ้นมาโดยพลัน สามเค่อผ่านไปเอวของเด็กสาวแทบจะหัก ปวดจนมันเริ่มจะชาไปถึงโคนขาเรียวระหงทั้งคู่แล้ว เรียกว่าให้นางคุกเข่าไปสักหนึ่งวันหนึ่งคืนยังคงดีกว่าการมายืนโค้งกายต่ำและปลายคางจรดหน้าอกร่วมครึ่งชั่วยาม ต่อให้เป็นบุรุษก็นับว่าเกินไปมากกับสิ่งที่เฉิงกุ้ยเฟยกระทำต่อสะใภ้ใหม่เช่นนี้!
…กึ๊ก!...
“เอาละ ตามสบายเถิดพระชายาอี้”
หลังจาก ‘ทรมาน’ เพื่อเป็นการ ‘กดศีรษะ’ ของเด็กสาวไร้พิษสงเช่นอี้หลานฮวาให้มาอยู่ใต้ ‘ฝ่าเท้า’ ของพระนางให้อยู่หมัด เพราะหาก ‘ข่ม’ เด็กสาวเอาไว้ได้อยู่หมัด อนาคตสกุลอี้ย่อมอยู่ใน ‘กำมือ’ ของบุตรชายของพระนางยากจะหลีกหนีไปได้พ้น ‘อำนาจ’ ย่อมหอมหวานเกินห้ามใจ มีหรือสกุลอี้จะปฏิเสธไปได้ก็ดูได้อย่างการยกบุตรสาวและหลานสาวเพียงหนึ่งเดียวรวมกับไข่มุกของตระกูลมาให้กับองค์ชายใหญ่ นั่นหมายความว่าสกุลอี้ส่งเสริมองค์ชายใหญ่อย่างชัดเจน
ทหารทั้งสามเหล่าทัพล้วนควบคุมโดยแม่ทัพจากสกุลอี้ แล้วอัครมหาเสนาบดีใหญ่ก็ยังเป็นคนสกุลอี้ เช่นนี้หนทางของบุตรชายของนางย่อมไม่พ้นอนาคตฮ่องเต้ ขอเพียงพระนางทั้ง ‘กล่อม’ ผสานไปกับค่อย ‘กำราบ’ สะใภ้เอกนางนี้เอาไว้ใต้ฝ่าเท้า ย่อมต้องมีแต่ผลดีและดีต่อหยวนเยี่ยเจาอย่างถึงที่สุด
อดีตนางแย่งชิงฮ่องเต้มาได้ทั้งที่ตนเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา นางจึงเข้าอกเข้าใจสะใภ้รองเช่นหลิงหนี่ว์เอ๋อร์มากกว่า ‘คุณหนู’ สกุลใหญ่เช่นอี้หลานฮวา ดังนั้นตลอดมานางก็เพียงแสดง ‘งิ้ว’ โรงใหญ่หลอกลวงเด็กสาวและสายตาของคนนอกมานาน แต่วันนี้อี้หลานฮวาเดินเข้ามา ‘ติดกับ’ แล้วนางจะทำเช่นไรก็ย่อมได้!
“หลานฮวาขอบพระทัยเฉิงกุ้ยเฟยที่เมตตาเพคะ”
ถึงสาวน้อยจะไม่พึงใจอย่างมาก ดังนั้นจากที่เคยเรียกแทนตนเองว่า ‘สะใภ้’ แล้วเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เสด็จแม่สามี’ มาเป็นทางการเช่น ‘หลานฮวา’ กับเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เฉิงกุ้ยเฟย’ เพราะชักจะเริ่มได้กลิ่นไม่ดีลอยลมมาเตะปลายจมูกของนางนับจากเมื่อคืนที่ผ่านมานั่นแล้ว
“ทราบหรือไม่เหตุใดเปิ่นกงจึงให้เจ้ายืนถึงครึ่งชั่วยาม”
ถึงเด็กสาวจะไร้เดียงสา มีโลกที่คับแคบ ชีวิตไปอยู่เพียงไม่กี่แห่งในหนึ่งวัน แต่นางก็หาได้เบาปัญญาถึงเพียงนั้นในใจของอี้หลานฮวาคิดมาตลอดว่าตนเองคงโชคดีเหนือผู้ใด เพราะได้แต่งงานกับบุรุษที่ตนเองพึงใจ บิดาและมารดาของสามีก็เอ็นดูนาง แต่ครั้นมองจากสถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดคำจายกตนข่มนาง วางตัวห่างเหินราวพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าที่เคยติดเอาไว้ให้เห็นนั้นท่าจะผิดเพี้ยนไปไกลหลายหมื่นลี้เลยทีเดียว
“ขออภัยเฉิงกุ้ยเฟยที่หม่อมฉันโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนักจึงมิทราบความผิดของตนเอง ขอเฉิงกุ้ยเฟยได้โปรดเมตตาชี้แนะด้วยเถิดเพคะ”
อี้หลานฮวากล่าวด้วยวาจาไพเราะและเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ภายในใจนางกลับนึกสมเพชตนเองขึ้นมาอย่างช่วยมิได้ ราตรีเข้าหอสวามีหนีจากไป พอยามเช้ามาเยือนคิดหวังพึ่งพิงมารดาของสวามีจะเมตตาและเห็นใจในฐานะของสตรีด้วยกันก็ยังดีทว่าเปล่าทั้งสิ้น!
“เพราะเจ้ามาสายไปหนึ่งเค่อ เป็นเด็กอายุเยาว์นัก แต่กลับให้เปิ่นกงที่เป็นถึงเฉิงกุ้ยเฟยนั้นรอตั้งหนึ่งเค่อ มารดาสั่งสอนเจ้ามาได้ย่ำแย่เสียจริง”
เด็กสาวก้มหน้ากำหมัดพลางกัดฟันแน่น เพียงนางมาช้าไปหนึ่งเค่อแล้วทำโทษนางครึ่งชั่วยามนั้นอี้หลานฮวายอมรับได้ แต่ด่าทอไปถึงมารดาของนาง สตรีตรงหน้ามีสิทธิ์อันใด?!
“หลานฮวาสำนึกผิดแล้ว เป็นตัวของหม่อมฉันเองที่ในยามท่านแม่สั่งท่านย่าสอนโง่เขลาเบาปัญญาจึงกระทำตนขายหน้าไปถึงสกุลอี้แล้ว”
นางอยากตะโกนแทบตายว่ามารดาเจ้าน่ะสิที่ไม่สั่งสอน แต่ด้วยอายุกับฐานะนางแสดงกิริยาไร้มารยาทขาดการอบรมเช่นนั้นมิได้ จึงทำได้เพียงกล่าวอ้อมๆ ไปว่า มาด่าไปถึงมารดาของนางมันออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาเพียงผู้เดียว แล้วเยี่ยเจาเหตุใดจึงมิได้มาพร้อมกัน เจ้าช่างเป็นภรรยาที่ไม่ได้ความเสียจริง!”
สาบานให้สามีของท่านป้าทอดทิ้งดีหรือไม่ หากที่บุตรชายท่านออกจากตำหนักไปพร้อมขบวนยิ่งใหญ่หรูหราแล้วท่านที่เป็นมารดามิทราบได้
…มัวแต่หลับหูหลับตาอ่านแต่ตำรากำราบสะใภ้อยู่กระมัง?!...
“หลานฮวาเกรงว่าต้องสอบถามเฉิงกุ้ยเฟยกับฝ่าบาทแล้ว ว่าเหตุใดในราตรีเข้าหอจึงส่งองค์ชายใหญ่ไปตรวจราชการไกลหลายพันลี้ ซึ่งเกรงว่าหากท่านปู่และท่านย่าทราบว่าแต่งงานสามวันต้องกลับบ้านโดยที่หลานฮวาไร้เงาของพระสวามีข้างกาย คงสงสัยจนต้องกราบทูลสอบถามจากฝ่าบาทเช่นกันเพคะ”
ดีมานางย่อมดีคืนกลับไปไม่เสียมารยาท แต่ทำตัวเป็น ‘ท่านป้า’ ขาดความอบอุ่น คนเช่นอี้หลานฮวาก็ควรโต้ตอบกลับให้อีกฝ่ายสำนึกเสียบ้างว่าหากคนสกุลอี้ไม่สนับสนุนบุตรชายของนาง แต่หันหน้าไปร่วมมือกับฝ่ายสกุลเพ่ยและองค์ชายเจ็ด นางอยากทราบเช่นกันว่าเฉิงกุ้ยเฟยที่สกุลเดิมต่ำต้อยจะเอาปัญญาใดมาส่งเสริมองค์ชายใหญ่กัน
เพราะถึงนางจะรักใคร่หยวนเยี่ยเจามาตั้งแต่เริ่มรู้ความว่าตนเองเติบโตเป็นสาวน้อย แต่คำสอนของท่านย่ายังดังก้องอยู่ในใจดวงน้อยเสมอว่า ‘เสี่ยวหลานเอ๋ย ดวงใจของคนเรานั้นมีถึงสี่ส่วน ดังนั้นเจ้าจะรักผู้ใดย่อมได้ทั้งหมด เพียงแต่จงใช้สามส่วนรักและภักดีต่อเขา แล้วจงเหลือหนึ่งส่วนเอาไว้รักตนเอง เพราะยามใดเขาทอดทิ้งเจ้า หลงลืมที่จะรักเจ้าดวงใจอีกหนึ่งส่วนจะปกป้องเจ้าได้ จงรักตนเองให้เป็นเสียก่อนจึงค่อยไปรักผู้อื่น หนึ่งชีวิตบิดาให้มารดาเลี้ยงดูอย่าให้ผู้อื่นมาทำลายมันลงไปได้’ ถึงจะฟังแล้วอดีตนางเข้าใจได้น้อยมาก หากแต่วันนี้เหตุการณ์ตรงหน้าทำเอาเด็กสาวถึงกับเข้าใจกระจ่างชัดเจนต่อคำสั่งสอนของท่านย่าขึ้นมาทันใด
“นี่เจ้า!”
เฉิงกุ้ยเฟยบันดาลโทสะจนหน้าดำไปแปดส่วน เพราะมิคาดว่าเด็กสาวหน้าตาใสซื่อกับการที่ดูกิริยาอีกฝ่ายออกมาโดยตลอดว่าอี้หลานฮวานั้นพึงใจบุตรชายของนางจนถึงขึ้นหลงใหล หากแต่บัดนี้นางเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นคาวน้ำนมกลับยกเอาคนทั้งสกุลอี้มาข่มขู่นางทางอ้อมเช่นนี้ หากนางไม่โมโหจนหน้ามืดเห็นทีจะแปลกแล้ว
“สมรสพระราชทานมิใช่ออกในยามเช้าแล้วตบแต่งในยามบ่าย ตรงกันข้ามพิธีการถูกจัดเตรียมถึงสามเดือน ขอหลานฮวาบังอาจสอบถามเฉิงกุ้ยเฟยสักหลายประโยคหน่อยจะได้หรือไม่เพคะ?”
ในเมื่อคิดยกน้ำชาด้วยดีหวังความเมตตาจากอีกฝ่ายแล้วพระนางไม่รับ เช่นนั้นอี้หลานฮวาผู้นี้ก็เป็นศิษย์มีอาจารย์ ที่สำคัญนางยังมีสกุลอี้หนุนหลังคิด ‘ข่มเหง’ กันเช่นนี้ หากนาง ‘ยินยอม’ คงเสียชาติหนึ่งที่เกิดมาเป็นคนสกุลอี้แล้ว
“เจ้ากล้าหรือ?!”
อี้หลานฮวาย่อกายเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปจนใกล้เพียงหนึ่งช่วงแขนแล้วยื่นใบหน้าซึ่งยังแย้มยิ้มระรื่น แต่ดวงตากลับดุดันวาววับก่อนจะกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคนว่า…
“คำนี้สมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องถามเฉิงกุ้ยเฟยนะเพคะว่า ‘พระองค์กับฮ่องเต้’ ทรงกล้าหรือไม่?!!!”
“!!!”
แล้วคำตอบก็คือเฉิงกุ้ยเฟยทรงเรียกหานางกำนัลและขันทีให้วุ่นวาย อ้างว่าตนเองเป็นลมใกล้สิ้นสติเต็มทน
…หึ!!!...
น้ำชาที่ต้องยกเห็นทีจะไม่ต้องแล้ว หากแต่เด็กสาวล้วนพึงใจ สตรีสูงศักดิ์แต่จิตใจต่ำตมยกไปนางคงละอายต่อป้ายวิญญาณบรรพชนสกุลอี้น่าดู!!!