“ฟลินต์” พาฝันโอบรอบลำคอแกร่งของฟลินต์ไว้แน่น เช่นเดียวกับเรียวขาทั้งสองข้างที่เกี่ยวกระหวัดกอดรัดเอวสอบไว้อย่างไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย ให้สมกับความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบสี่ปี
“บอสครับ” หมิงยู่กับหรงซิ่งต่างเป็นห่วงอาการบาดเจ็บที่ไหล่ซ้ายของเจ้านาย เกรงว่าบาดแผลจะได้รับความกระทบกระเทือน หากบาดแผลฉีกขาดขึ้นมาจะยิ่งอักเสบ ฟลินต์ห้ามปรามลูกน้องทั้งสองผ่านทางสายตา ไม่ให้พูดเรื่องที่เขาถูกลอบยิง หมิงยู่กับหรงซิ่งค้อมศีรษะรับทราบ แล้วไปจัดการกับกระเป๋าเดินทางของเหลนสาวผู้ก่อตั้งกาสิโนไปไว้ที่รถ
“เหนื่อยไหมครับ” น้ำเสียงรื่นหูถามไถ่ถึงการเดินทาง นับเป็นครั้งที่สองที่คุณหนูของฟลินต์เดินทางข้ามประเทศตามลำพัง ครั้งแรกเมื่อตอนที่เธอเรียนปีหนึ่ง คุณหนูพาฝันจอมแสบแอบจองตั๋วเครื่องบิน แล้วเดินทางมาหาเขาโดยไม่บอกใคร ทำให้ผู้ใหญ่ร้อนใจไปตามๆ กัน และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พาฝันถูกผู้เป็นพ่อทำโทษ ไม่ให้เธอเดินทางมาหาฟลินต์ที่มาเก๊าอีก หรือแม้แต่มาเที่ยวพักผ่อนในช่วงปิดภาคเรียน มาเก๊าก็ถูกตัดออกจากโปรแกรม
“ไม่เหนื่อยเลย คิดถึงฟลินต์”
“ผมก็คิดถึงคุณหนูครับ”
“ไม่เชื่อหรอก ถ้าฟลินต์คิดถึงพาฝัน ฟลินต์ก็ต้องไปหาพาฝันบ้างสิ” พาฝันสะบัดหน้าทำแก้มป่องใส่ฟลินต์อย่างแสนงอน เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด
“ก็คุณหนูถูกคุณพ่อทำโทษนี่ครับ”
“คุณพ่อทำใทษไม่ให้พาฝันมาหาฟลินต์ที่มาเก๊า ไม่ได้ห้ามฟลินต์ไปหาพาฝันที่ไทย แต่ฟลินต์ก็ไม่เคยไปหาพาฝันเลย” เสียงหวานใสต่อว่าคนตัวสูงอย่างคนแสนงอน ดวงตาคมเป็นประกายเอ็นดู เจ้าแง่แสนงอนตั้งแต่เป็นคุณหนูตัวน้อย โตเป็นสาวแล้วก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“ก็ผมต้องทำงาน ไม่งอนสิครับ”
“พาฝันไม่ได้งอน”
“ถ้าไม่ได้งอน ทำไมแก้มป่องล่ะครับ” ฟลินต์ฝืนความเจ็บยกแขนข้างซ้ายขึ้น ใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มที่แก้มป่องๆ อย่างกระเซ้าเย้าแหย่ ในขณะที่แขนแกร่งอีกข้างรองรับน้ำหนักตัวของคุณหนูพาฝัน
“น้อยใจ” ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาคมอย่างจงใจให้ฟลินต์เห็นแววตาวูบไหวของตนเอง ก่อนจะค่อยๆ เอียงหน้าซบลงที่ไหล่กว้าง ปากหยักยกยิ้มเอ็นดูมารยาของคุณหนูพาฝัน
“ถ้าผมอุ้มไปที่รถ คุณหนูจะหายน้อยใจผมไหมครับ”
“หายนิดหนึ่ง” พาฝันยกศีรษะขึ้นมาสบตาฟลินต์ ครั้งนี้เขาเห็นความเจ้าเล่ห์ในแววตาของเธอ
“นิดเดียวเองเหรอครับ”
“ถ้าฟลินต์ให้พาฝันนอนด้วยจะหายหมดเลย”
“คุณหนูโตแล้ว จะนอนกับผมเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะครับ”
“นอนได้ ถ้าฟลินต์ให้นอน”
“นอนไม่ได้ครับ”
“งอน” พาฝันเอียงหน้าซบกับบ่ากว้างอีกครั้งอย่างแสนงอน
“ผมคงต้องยอมให้คุณหนูงอน” ฟลินต์ไม่ตามใจพาฝันในเรื่องนี้ เธอไม่ใช่คุณหนูพาฝันในวัยสามขวบสี่ขวบ ตอนนี้เธออายุยี่สิบเอ็ดแล้ว โตเป็นสาวสวยเต็มวัย ชายหญิงนอนร่วมห้องกันย่อมไม่เหมาะสม ร่างสูงโอบอุ้มร่างเพียวไปยังรถหรูที่จอดรออยู่ด้านหน้าสนามบิน
“……” พาฝันล้มตัวลงนอนทันทีที่เข้ามาภายในรถ โดยใช้ตักของฟลินต์ต่างหมอน พลางดึงแขนของเขาให้โอบรอบตัวเธอไว้
“ง่วงเหรอครับ”
“งอน”
“งอนเก่งเหมือนตอนที่คุณหนูอายุสี่ขวบเลย ตอนนี้ยี่สิบเอ็ดแล้วนะครับ”
“ถ้างั้นฟลินต์ก็เลิกเรียกพาฝันว่าคุณหนูได้แล้ว” กายบางขยับพลิกตัวเป็นนอนหงาย มองสำรวจใบหน้าคมคายที่ยังคงความหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลง นี่ฟลินต์ของเธอสตัฟฟ์อายุไว้หรือไงนะ เมื่อก่อนหล่ออย่างไรตอนนี้ก็ยังหล่ออยู่อย่างนั้น หรือว่าเขาจะเป็นแวมไพร์ พาฝันนึกขันความคิดของตัวเอง
“โตแล้วก็ยังเป็นคุณหนูของผมครับ”
“ไม่อยากเป็นคุณหนูพาฝันของฟลินต์แล้ว อยากเป็นพาฝันของฟลินต์เฉยๆ”
“อีกชั่วโมงกว่าจะถึง ถ้ายังไม่ง่วง ก็นอนพักสายตาก่อนนะครับ”
“อยากมองหน้าฟลินต์แบบนี้นี่น่า” ดวงตาคู่งามเจิดจ้าเต็มไปด้วยประกายแห่งเสน่หา ชวนให้หลงใหลยามถูกจ้องมอง
“มีใครเคยบอกคุณหนูไหมครับ ว่าอย่าใช้สายตาแบบนี้มองผู้ชาย”
“สายตาแบบไหนเหรอ”
“แบบที่คุณหนูกำลังมองผมอยู่ไงครับ”
“ไม่เคยมีใครบอก เพราะพาฝันไม่เคยมองใคร ในสายตาของพาฝันมีแค่ฟลินต์เท่านั้นแหละ มองแค่ฟลินต์คนเดียว”
“นั่นครับกาสิโน” ฟลินต์ละสายตาจากดวงหน้าของคนบนตัก มองออกไปนอกรถ ชมทัศนียภาพของมาเก๊ายามค่ำคืน เห็นยอดตึกกาสิโนอยู่ไกลๆ
“พาฝันไม่ชอบ” พาฝันลุกขึ้นมานั่ง มองตามสายตาของฟลินต์ แก้มเนียนใสพองลมขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมล่ะครับ คุณทวดของคุณหนูทุ่มเทด้วยชีวิตเพื่อสร้างกาสิโนแห่งนี้ขึ้นมาเลยนะครับ”
“กาสิโนแย่งฟลินต์ไปจากพาฝัน พาฝันงอน”
“งอนกาสิโน?”
“งอนฟลินต์นั่นแหละ ถ้าจะให้หายงอนต้องให้นอนด้วย” พาฝันล้มต้วลงไปนอนหนุนตักฟลินต์อีกครั้ง
“คุณหนูพาฝันจอมเจ้าเล่ห์”
“ให้นอนด้วยไหม”
“นอนนะครับ ถ้าถึงแล้วผมปลุก”
“ฟลินต์ดื้อกับพาฝัน”
“……” ฟลินต์ไม่พูดอะไรออกมาอีก ให้เถียงสู้อย่างไรเขาก็ไม่มีวันชนะ เพราะเขาแพ้ลูกอ้อนลูกตื้อของคุณหนูพาฝันมาแต่ไหนแต่ไร เอนศีรษะพิงกับเบาะ ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บระบมที่หัวไหล่ข้างซ้าย แต่ก็ไม่แสดงออกมาให้เห็น เมื่อเห็นว่าอดีตบอดี้การ์ดนิ่งเฉย พาฝันจึงปิดเปลือกตาลง และเผลอหลับไป ตื่นอีกทีก็ตอนถึงคอนโดมิเนียมของครอบครัว แต่พาฝันไม่ยอมพักที่นี่ ดื้อดึงจะไปอยู่บ้านของฟลินต์ที่อยู่ริมทะเลมาเก๊า สร้างความลำบากใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก
“สวยกว่าในรูปที่ฟลินต์ส่งให้พาฝันดูอีกนะเนี่ย” พาฝันกอดรัดแขนแกร่งขณะกวาดตามองสำรวจตัวบ้าน และอาณาบริเวณ บ้านหลังนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อสี่ปีก่อนจากน้ำพักน้ำแรงของฟลินต์ ตอนนั้นที่พาฝันแอบหนีมามาเก๊า บ้านหลังนี้ยังตกแต่งไม่เสร็จ
“……”
“ฟลินต์งอนพาฝันเหรอ”
“ผมไม่ได้งอน ผมต้องทำตามความต้องการของคุณหนู แม้ความต้องการนั้นจะทำให้ผมลำบากใจ และได้รับการตำหนิจากคุณปุณณ์”
“พาฝันไม่ให้คุณพ่อดุฟลินต์หรอกน่า พาฝันจะปกป้องฟลินต์เอง ฟลินต์อย่างอนพาฝันนะ นะๆ” พาฝันกระชับท่อนแขนแกร่งถูไถหน้าอย่างออดอ้อนแนบชิด กลิ่นกายหอมกรุ่นจากกายสาวทำให้ฟลินต์รู้สึกปั่นป่วน นานแล้วที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้
“ผมสี่สิบแล้วนะครับ ผมไม่งอนเป็นเด็กๆ”
“ฟลินต์ว่าพาฝันเป็นเด็กเหรอ” แก้มเนียนใสพองลมจนป่อง
“ถ้าโตแล้วต้องมีเหตุผลครับ ไม่ใช่เอาแต่ใจ”
“แต่พาฝันอยากให้ฟลินต์เอาใจ”
“เข้าบ้านกันเถอะครับ เดินทางมาเหนื่อยๆ จะได้พักผ่อน” ฟลินต์ถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะรับมือคุณหนูพาฝันได้เหมือนเมื่อสมัยเธอยังเยาว์วัย เพียงเพราะแววตาไร้เดียงสาได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ปาป๊า” เสียงของเด็กชายวัยสี่ขวบก็ดังขึ้น พร้อมกับวิ่งเข้ามาเกาะขาของฟลินต์
“ปาป๊า?” พาฝันอึ้งงันมองฟลินต์สลับเด็กชายตัวน้อย ก่อนจะหยุดสายตาที่หญิงสาวผิวขาวเกลี้ยงเกลาที่ก้าวเข้ามาอย่างต้องการแสดงตัว ดูก็รู้ว่ามีเชื้อสายจีน เช่นเดียวกับเด็กคนนี้
“ทำไมจิวเจ๋อคนเก่งยังไม่นอนอีกครับ” ฟลินต์มองซูเจินด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะย่อตัวลงไปหาเด็กชายตัวน้อย น้ำเสียงและแววตาของเขาช่างอ่อนโยน
“จิวเจ๋อรอปาป๊าครับ จิวเจ๋ออยากให้ปาป๊าเล่านิทานให้ฟัง ปาป๊าไม่ได้เล่านิทานให้จิวเจ๋อฟังนานแล้ว” ซูเจินก้มหน้าหลบสายตาดุขึง ฟลินต์ละสายตาตั้งใจฟังเสียงใสเจื้อยแจ้วของเด็กชายตัวน้อยตรงหน้า
“ฟลินต์ เด็กคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงเรียกฟลินต์ว่าปาป๊า” ความสับสน ความสงสัยใคร่รู้ ความผิดหวัง ตีตื้นขึ้นจนพาฝันรู้สึกจุกในอก
“ทำไมปาป๊าพาแม่มดมาบ้านเราครับ” เด็กชายตัวน้อยชี้หน้าพาฝัน
“เด็กนี่ ว่าใครเป็นแม่มด” พาฝันจ้องเด็กน้อยเขม็ง
“ปาป๊า แม่มดใจร้าย” จิวเจ๋อหลบหลังคนที่เรียกว่าปาป๊าด้วยท่าทางหวาดกลัวพาฝัน ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เธอ อย่างไม่ให้ฟลินต์เห็น
“จิวเจ๋อทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ ไม่น่ารักเลย”
“ฟลินต์มีลูกตั้งแต่เมื่อไร ทำไมพาฝันไม่รู้” พาฝันเค้นถามหาความจริงจากปากของฟลินต์
“เมื่อสี่ปีก่อน…” ซูเจินเป็นคนเอ่ยขึ้น แต่เธอก็พูดได้เพียงเท่านั้น เมื่อสายตาแข็งกร้าวมองมา
“ซูเจิน พาจิวเจ๋อเข้านอน” ซูเจินหน้าเจื่อนลง ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาดุดันของฟลินต์
“จิวเจ๋ออยากให้ปาป๊าเล่านิทาน”
“วันนี้ปาป๊ามีงานต้องทำ ปาป๊าสัญญาว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปส่งจิวเจ๋อที่โรงเรียน ดึกมากแล้วจิวเจ๋อคนเก่งเข้านอนนะครับ”
“ครับ จิวเจ๋อไม่ดื้อกับปาป๊า ปาป๊าสัญญาแล้ว ปาป๊าส่งจิวเจ๋อไปโรงเรียน”
“เก่งมากครับ พาจิวเจ๋อเข้านอน แล้วอย่าทำแบบนี้อีก” มือใหญ่วางบนศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู ก่อนเงยหน้ามองซูเจินสั่งเสียงเรียบ
“ค่ะ” ซูเจินเสียงอ่อยจำใจทำตามคำสั่งของฟลินต์
“ฝันดีครับปาป๊า” จิวเจ๋อหอมแก้มของฟลินต์
“ฝันดีครับจิวเจ๋อคนเก่ง” พาฝันมองฟลินต์หอมแก้มของเด็กชายตัวน้อยด้วยแววตาริษยา เด็กคนนี้กำลังช่วงชิงความสนใจของฟลินต์ไปจากเธอ แล้วก็ผู้หญิงคนนี้…ซูเจิน
“คุณหนู…” เมื่อซูเจินพาจิวเจ๋อเดินพ้นสายตาไป ร่างสูงก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ตั้งใจจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้คุณหนูของเขาเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รับฟังอะไรเลย
“พาฝันรู้แล้วว่าทำไมตอนแรกฟลินต์ถึงไม่ยอมให้พาฝันมาอยู่ที่นี่ ฟลินต์ผิดสัญญา พาฝันเกลียดฟลินต์แล้ว เกลียดๆ” พาฝันตีโพยตีพาย หยาดน้ำใสเอ่อคลอดวงตาคู่งาม
“ฟังกันก่อนสิครับ”
“ไม่ฟัง จะกลับบ้าน เกลียดฟลินต์” พาฝันสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่ ฟลินต์หมุนตัวเข้าหาเธอ ร่างสูงย่อตัวลงก่อนจะออกแรงยกร่างเล็กเจ้าปัญหาขึ้นบ่าแข็งแรงของเขา และพาเดินขึ้นห้องไป
“จิวเจ๋อเห็นแล้วใช่ไหมว่ายัยแม่มดกำลังแย่งปาป๊าไปจากจิวเจ๋อ” ซูเจินจูงมือเด็กชายตัวน้อยออกมาจากหลังประตูที่หลบซ่อนตัว จิวเจ๋อมองตามร่างของผู้เป็นพ่ออุ้มหญิงสาวแปลกหน้าก้าวขึ้นบันไดไปด้วยแววตาริษยา อย่างปักใจเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะมาแย่งปาป๊าไปจากตน