ตอนที่ 6
สองสามีภรรยามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงถึง
ความจริงใจมาขนาดนี้แล้ว พวกท่านก็คงไม่ติดปัญหาอะไร หนำซ้ำยังคิดว่าดีเสียอีกที่บุตรสาวได้คนที่ดีมาดูแล เพราะด้วยอายุที่เริ่มมากขึ้น ทำให้พวกท่านเริ่มรู้สึกกังวลกลัวว่าหานลู่เหมยจะกลายเป็นสาวเทื้อ
“ถ้าเช่นกันก็กลับไปเตรียมการเถิด ส่วนทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง” หานห้าวตงพูดขึ้น พร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้กับภรรยา
“ขอบคุณขอรับ ท่านลุง ท่านป้า” จ้าวลี่หยางรีบเอ่ยขอบคุณพวกท่านทั้งสองที่เมตตาและอนุญาตให้เขาได้แต่งงานกับลู่เหมย หลังจากนั้นจึงรีบขอตัวลากลับก่อน
ทางด้านสองพี่น้องตระกูลหานที่กำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้พวกนางชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียงนั้น
“อ้าว! เยว่เทียน เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” หญิงสาวร้องทักด้วยความดีใจเพราะชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือสหายอีกคนของนาง แม้นไม่ได้สนิทสนมมากเท่าลี่หยาง แต่นางก็ให้ความสำคัญไม่ต่างกัน
“ไม่เจอกันหลายปีเจ้าสบายดีหรือไม่” เยว่เทียนเอ่ยทักทายสหายด้วยสีหน้ายินดีไม่ต่างกัน เพราะตั้งแต่ที่ย้ายไปประจำการอยู่ต่างเมือง นี่ก็เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าสตรีที่ตนแอบหลงรักมาเนิ่นนาน ด้วยความคิดถึงและอยากใกล้ชิดกับนางเพื่อสานสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ เขาจึงทำเรื่องลาพักร้อนหนึ่งเดือน และกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมาหลายปี ทว่ามันก็เป็นแค่ข้ออ้าง แต่ในความเป็นจริงเขากลับมาเพื่อพบหญิงสาวในดวงใจ
“หลิงปิง ไม่ได้พบเจ้าเสียนาน โตขึ้นแล้วงดงามเหมือนกับพี่สาวของเจ้าไม่มีผิด” ชายหนุ่มหันไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคน ริมฝีปากยังคงประดับรอยยิ้มละไม
“พี่เยว่เทียน ไม่ได้พบกันนานยังคงปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะเจ้าคะ” หานหลิงปิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าสบตากับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า
‘ไม่ได้เจอกันหลายปี เขายิ่งหล่อเหลากว่าเดิม’
“ไม่ได้พบกันนานหลายปี กลับไปคุยกันที่จวนของข้าดีหรือไม่” หญิงสาวเอ่ยปากชวน ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาตั้งใจจะไปหานางที่จวนอยู่ก่อนแล้ว หากแต่มาบังเอิญพบนางเข้าเสียก่อน เขาจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปทักทาย
“เจ้าทำตัวตามสบายเถอะ เดี๋ยวข้าจะสั่งให้บ่าวยกน้ำชาและขนมว่างมาให้” หญิงสาวบอกกับเขาและหันไปพูดกับน้องสาว “ปิงเอ๋อร์ เดี๋ยวเจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนเขาก่อนนะ พี่จะเข้าไปเปลี่ยนชุดเสียหน่อย รู้สึกเหนียวตัวเหลือเกิน”
หลังจากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในเรือน ทิ้งให้สองหนุ่มสาวพูดคุยกันไปก่อน
“พี่เยว่เทียนไปอยู่ที่นั่นสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” หลิงปิงเริ่มเอ่ยบทสนทนา เพราะเขาได้ย้ายไปประจำการที่ต่างเมือง หลังจากที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายอำเภอได้เพียงหนึ่งวัน
“ข้าอยู่ที่นั่นสบายดี แต่...” เงียบไปครู่หนึ่ง “แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่รู้สึกเหงา” เขาเอ่ยเสียงเศร้า
หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยปลอบ “ที่นั่นไม่มีหอคณิกาให้ท่านได้คลายเหงาบ้างหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างขบขัน
“ก็มีนะ แต่ข้าก็หาได้ใส่ใจไม่ อีกอย่างข้าก็มีสตรีที่รักอยู่ในใจแล้ว ที่กลับมาครานี้ก็เพราะอยากจะสานสัมพันธ์กับนาง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิดใจแต่งงานและย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน” ชายหนุ่ม
เอ่ยอย่างมีความหวัง สายตาของเขาฉายแววยินดีอยู่ไม่น้อย ทำให้
หลิงปิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จู่ ๆ หัวใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว นี่เขามีสตรีที่อยู่ในใจแล้วอย่างนั้นหรือ? หญิงสาวพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกที่มีไว้ด้านใน แสร้งปั้นหน้ายิ้มอย่างยินดี
“ข้าขอแสดงความยินดีกับพี่เยว่เทียนด้วยนะเจ้าคะ สตรีผู้นั้นจะต้องโชคดีอย่างแน่นอนที่ได้คนอย่างท่านมาเป็นสามี” ถึงแม้หัวใจกำลังร้องไห้ แต่นางก็ยังร่วมแสดงความยินดีไปกับเขา
“ปิงเอ๋อร์” ชายหนุ่มกุมมือหญิงสาวไว้แน่น สายตาจับจ้องไปที่นางจนอีกฝ่ายรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลยเถิด คำพูดของชายหนุ่มต่อจากนี้ก็ทำให้นางแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“เจ้าช่วยเป็นแม่สื่อให้ข้าได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นน้องสาวของนาง หากเจ้าช่วยทำให้ข้าสมหวังกับลู่เหมย ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หญิงสาวพลันนิ่งงัน ในใจรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะนางเองก็แอบหลงรักเขาไม่ต่างกัน รักมาตั้งแต่ที่ตนอายุได้เพียงแค่สิบขวบ บัดนี้แม้ตนจะอายุยี่สิบปีแล้ว ทว่าก็ยังคงรักเขาไม่เสื่อมคลาย รักครั้งนี้หนักแน่นนักนางจึงเลือกที่จะปฏิเสธการแต่งงาน แม้จะมีแม่สื่อจากตระกูลต่าง ๆ มาทาบทามสู่ขออยู่ทุกวัน แต่นางก็หาได้ใส่ใจไม่ สุดท้ายพวกเขาก็ละความพยายาม
“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่” เสียงของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวพลันได้สติ จึงหันไปส่งยิ้มให้เขาอย่างเจื่อน ๆ
“ม...เมื่อครู่พี่เยว่เทียนพูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถาม พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น นึกอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ทว่าไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจนึกได้
“เจ้าเป็นอะไรไป! ทำไมสีหน้าถึงดูซีดเซียวนัก ไหน… ข้าขอดูหน่อย” เขาว่าพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ ยื่นมือหนาแตะหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา “ตัวก็ไม่ร้อนนี่…แต่ทำไมใบหน้าของเจ้าถึงได้ดูซีดเซียวนัก” เขายังคงไม่รู้สึกตัว และยังเอ่ยถามอย่างใสซื่อ
“ข…ข้าไม่ได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบขยับตัวถอยหนีเพื่อรักษาระยะห่างให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เขายังคงขยับตัวเข้าไปใกล้ ทำท่าจะเข้าไปตรวจดูอาการอีกรอบ แต่เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“พวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่” หานลู่เหมยที่เพิ่งเดินเข้ามาเห็นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ” เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าอึดอัดจึงได้รีบเอ่ยขอตัวกลับทันที สร้างความฉงนให้กับผู้เป็นพี่สาวไม่น้อย ครั้นจะเดินตามไปก็เกรงว่าสหายของนางจะคอยนาน
“มีเรื่องอะไรกันงั้นหรือ ทำไมนางถึงได้ดูรีบร้อนออกไปขนาดนั้น” ลู่เหมยมองดูน้องสาวที่เดินจากไปก่อนจะหันมามองเขา คล้ายจะคาดคั้นกลาย ๆ ว่าเจ้าได้ทำอะไรน้องสาวของนางหรือไม่
“ทำไมเจ้าต้องมองมาที่ข้าด้วยสายตาแบบนั้นเล่า ข้าเห็นว่านางมีสีหน้าไม่สู้ดี จึงเข้าไปดูว่าเป็นอะไร แล้วเจ้าก็เข้ามานี่ล่ะ” เขารีบอธิบาย
“แล้วไป หากเจ้าคิดรังแกน้องสาวของข้าละก็ น่าดู” นางพูดขู่ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
หานหลิงปิงหลังจากกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงเรือนของตน ก่อนจะปิดประตูขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ได้สนใจเสียงเคาะประตูของบ่าวรับใช้เลยแม้แต่น้อย บัดนี้หัวใจของนางเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าเพราะอะไรถึงได้ยึดมั่นถือมั่นแค่กับเขา ไยไม่ออกเรือนไปกับคนที่บิดามารดาหาให้
ก่อนที่จะนึกย้อนไปถึงวัยเด็ก ที่ครั้งหนึ่งนางเคยตามติดเขา ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดนางก็มักจะเดินตามเขาไม่ห่าง และเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เขาเดินทางมาที่จวนของตน จนเมื่อนางอายุได้สิบขวบหนาว ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำเสมอมานั้นมันเรียกว่าความรัก
ใช่ นางรักเขาตั้งแต่บัดนั้น แต่ไฉนเลยใครจะรู้ว่าเขานั้นรักใครอีกคน แล้วอย่างนี้นางจะกีดกันเขาได้อย่างไรกัน
“คุณหนูสีหน้าดูไม่สู้ดีเลย เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” ซือซือ สาวใช้
ข้างกายที่ยกน้ำชาชุดใหม่เข้ามาเปลี่ยนให้ผู้เป็นนายที่ดูมีอาการเซื่องซึม
หลิงปิงรีบเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่เต็มเบ้าตาอย่างลวก ๆ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้กับหญิงสาวรับใช้คนสนิท “ไม่มีอันใดหรอก ข้าแค่เพียงรู้สึกง่วงนอนก็เท่านั้น”
“เจ้าค่ะ” ซือซือแม้จะรู้ว่าเจ้านายของตนกำลังร้องไห้ หากแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเซ้าซี้ถาม ด้วยตนเองเป็นบ่าว ทำได้เพียงเฝ้าดูด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น
“ลู่เหมย พรุ่งนี้เจ้าไปเดินเที่ยวตลาดเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ พอดีข้าอยากจะไปเลือกซื้อของกลับไปฝากลูกน้องเสียหน่อย เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงอาหารเจ้าเป็นการตอบแทนดีหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างใจกว้าง
ริมฝีปากของเขายังคงประดับรอยยิ้มละไม เมื่อได้มองหน้าสตรีที่เขาคิดถึงตลอดเวลา
“ได้สิ ลำพังตัวข้าเองไม่มีปัญหาหรอก แต่พาปิงเอ๋อร์ไปด้วยได้หรือไม่ รายนั้นเลือกซื้อของเก่งกว่าข้าเสียอีก” หญิงสาวเอ่ยชมน้องสาวของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เยว่เทียนถึงกับยิ้มเจื่อน แท้จริงแล้วเขาอยากไปกับนางเพียงแค่สองคนเท่านั้น แต่เอาเถิด แล้วค่อยหาวิธีบอกให้อีกฝ่ายแยกไปเดินทางอื่นเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับพี่สาวของนางเพียงลำพัง
“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เราไปเจอกันที่โรงน้ำชานะ” เขาเอ่ยนัดแนะก่อนที่จะขอตัวลากลับก่อน
หานลู่เหมยยืนส่งชายหนุ่มจนรถม้าหายลับไปจากสายตา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในจวน มุ่งตรงไปยังเรือนนอนของผู้เป็นน้องสาว
“ซือซือ เจ้าเป็นอะไร! ทำไมถึงดูร้อนใจนัก” หญิงสาวเอ่ยถามสาวใช้ข้างกายของหลิงปิงอย่างฉงน
“คุณหนูรอง บ่าวเห็นคุณหนูเอาแต่เก็บตัวเงียบ เลยเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นรึ?”
“บ่าวไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ”
“อืม! ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าเข้าไปดูเอง เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด”
หานลู่เหมยกวาดสายตามองหาน้องสาวไปรอบห้อง ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลั่งนั่งเหม่อมองอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาแดงก่ำราวกับคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ
“ปิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมกัน” นางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หากแต่อีกฝ่ายก็ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ สวมกอดพี่สาวของตนไว้แน่นราวกับนางต้องการหาที่พึ่งพิง
“เจ้าจะบอกพี่ได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นอะไรกันแน่” นางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง พลางลูบหัวน้องสาวอย่างแผ่วเบา
“ท่านพี่ ข้าเพียงแค่รู้สึกน้อยใจก็เท่านั้น” หลิงปิงเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ด้านใน จะแสร้งพูดไปเรื่องอื่น เพราะไม่อยากให้พี่สาวของตนต้องคิดมากและเป็นห่วง
“น้อยใจอันใดกัน?”
“ก็น้อยใจเรื่องที่พี่เยว่เทียนไม่มีของมาฝากน้องเจ้าค่ะ” นางตอบ
ออกไปแบบนั้น
“อ๋อ พี่ก็คิดว่าเรื่องอันใด ที่แท้ก็น้อยใจเขานี่เอง” พลางหัวเราะเสียงใส ก่อนจะกล่าวว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าไปเดินตลาดกับพี่ หากอยากได้อะไรก็ให้เยว่เทียนเป็นคนจ่ายดีหรือไม่”
หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ารับ “ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย” หญิงสาวปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้กับมาสดใส เก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ให้ลึกที่สุด
หานลู่เหมยยิ้มเอ็นดู แม้ใจจะนึกเคลือบแคลงสงสัยว่าหาน-
หลิงปิงมีอะไรปิดบังตนอยู่หรือไม่ ทว่าเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก นางก็จะไม่ถาม
“เอาล่ะ ๆ เจ้าพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เยว่เทียนชวนพี่กับเจ้าไปช่วยเลือกซื้อของด้วยกัน และบอกว่าจะเลี้ยงอาหารพวกเราด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ! ท่านพี่...พรุ่งนี้ข้าจะทำท้องให้ว่าง ๆ เพื่อให้เขาเลี้ยงโดยเฉพาะเลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทีเล่นทีจริง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้ลู่เหมยคล้ายความกังวลใจลงไปได้บ้าง