Ep1 (จบบท) by...kanokrot

4370 คำ
“ขอบคุณมากนะคะคุณช้างที่อุตส่าห์เสียเวลามาส่งน้ำผึ้งถึงบ้าน” ทันทีที่รถยนต์ราคาแพงจอดเทียบอยู่หน้าคฤหาสน์หลังโต ลูกสาวเจ้าของบ้านยกมือขึ้นปลดเข็มขัดนิรภัยทันที เป็นการบอกเป็นนัยๆ ให้ส่งเธอแค่ตรงนี้พอ โดยไม่คิดเอ่ยปากเชื้อเชิญสารถีหนุ่มผู้ขับรถมาส่ง ให้ขับผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าไปส่งถึงด้านในตามมารยาทที่ควรจะเป็น คชาเองก็ไม่ได้ท้วงติงแต่อย่างใด เข้าใจดีว่าสิริสรคงยังไม่ไว้ใจเขานั่งเอง แต่คงไม่ถึงขั้นรังเกียจกันหลอกนะ คนนิสัยมักเข้าใจอะไรได้ง่ายกับทุกสถานการณ์เลยเปิดปากยิ้มละมุนส่งให้หญิงสาว เป็นการลดบรรยากาศตึงเครียดให้ดูผ่อนคลาย ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกโกรธกับการที่สิริสรให้เขามาส่งเพียงแค่หน้าประตูรั้วบ้าน หากกลับรู้สึกดีเสียมากกว่า มันทำให้เขามั่นใจในตัวของหญิงสาวคนนี้มากขึ้น สิริสรจัดเป็นผู้หญิงประเภทถือตัว และเขารู้สึกชื่นชมผู้หญิงประเภทนี้มากเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำ    “ครับ...พี่ยินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง อ้อ...ขออนุญาตเรียกแทนตัวเองว่าพี่นะครับ” เอ่ยขออนุญาตพร้อมรอยยิ้มจริงใจ สิริสรเลยได้แต่เออออตาม “ค่ะ...” “ขอบคุณครับ... แต่ถ้าวันไหนน้ำผึ้งพอมีเวลาว่าง พี่ขออนุญาตมารับออกไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกันนะครับ มีอีกตั้งหลายร้านแหนะที่พี่อยากพาน้ำผึ้งไปลองชิมรสชาติดู พี่รับรองว่าอร่อยแถมบรรยากาศยังดีมากๆอีกด้วย”   “ได้สิคะ...เอาไว้น้ำผึ้งจะโทรบอกคุณช้างอีกทีก็แล้วกัน ถ้าหากคุณแม่กับน้ำผึ้งว่างตรงกันวันไหน เราค่อยไปกันนะคะ” “เรียกพี่ดีกว่าครับ ฟังระรื่นหูกว่ากันตั้งเยอะเลย” คชาแย้งขึ้นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม สิริสรเลยพลอยอดยิ้มตามเขาไม่ได้ “หวังว่าคงจะเป็นเวลาอันใกล้นี้นะครับ แล้วพี่จะรอรับโทรศัพท์...”  ถึงแม้หญิงสาวจะพ่วงมารดาติดสอยห้อยตาม นั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจสักนิด ดีเสียอีกเข้าทางผู้ใหญ่ท่านจะได้เอ็นดูเขามากยิ่งขึ้น “ค่ะ...พี่คชา ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะ น้ำผึ้งขอตัวเข้าบ้านก่อน สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ลาชายหนุ่มเมื่อเธอนั้นอายุอ่อนกว่าเขาอยู่หลายปี คชารับไหว้พร้อมส่งสายตาอ่อนโยนให้หญิงสาว สัมผัสถึงไอหมอกแห่งความสุขกระจายอยู่โดยรอบตัว มันทำให้เขารู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ของลูกของเขาในอนาคต ไม่รู้สิ...บางทีคชาแอบคิดขึ้นมาได้ว่า นี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตสำหรับเขาก็ได้ “คืนนี้ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ” สิริสรยิ้มรับก่อนขยับร่างเล็กแล้วเอื้อมมือผลักบานประตูลงมายืนด้านข้างของรถยนต์ เธอยืนรอส่งชายหนุ่มผู้มีอารมณ์เบิกบานจนเขาตีรถเลี้ยวออกอีกซอย เธอจึงหันหลังกลับเพื่อเดินมาทางประตูเล็ก แต่สองเท้ายังไม่ทันจะก้าวถึงหน้ารั้วดีเลยด้วยซ้ำ กลับมีมือปริศนามาจากไหนก็ไม่ทราบ ฉุดกระชากลำแขนเธออย่างรุนแรง ร่างที่เล็กและไม่ทันรู้ตัวถึงกับเซเสียหลักเกือบล้มหน้าคะมำ ยังดีที่เธอถูกรวบช่วงเอวคอดเอาไว้ได้ทัน สิริสรจึงไม่เจ็บตัว เขาใช้แรงจากท่อนแขนรั้งร่างเธอไว้เพียงนิดเดียว ตัวเธอก็ลอยสูงขึ้นแล้วตกลงสู้อ้อมกอดเจ้าของมือปริศนานั้นแบบพอดิบพอดี “ว้าย!” “ซุ่มซ่าม...เดินยังไงให้สะดุด หรือมัวแต่ใจลอยมองตามรถไอ้หน้าจืดนั่นอยู่”  คนถูกตำหนิเม้มกลีบปากแน่น ตวัดสายตาขุ่นเขียวขึ้นมองคนปากเสีย สะกดอารมณ์โมโหของตัวเองไว้สุดฤทธิ์ที่จะไม่ยกมือขึ้นตบปากเสียๆของเขาสักฉาดใหญ่  ก็เธอเดินของเธออยู่ดีๆ เขาเองต่างหากมาฉุดกระชากแขนเธอจนเกือบล้มหน้าคะมำ แล้วยังมีหน้ามาทำเป็นปากดี พูดจาใส่ความเธออย่างหน้าไม่อาย  “แถมยังเดินชนผมด้วยนะ...” อสุเรศตำหนิต่อ สิริสรจึงมีสีหน้าเหวอให้กับคำตำหนิของชายหนุ่ม “คะ? ฉันนี่นะเดินชนคุณ” เขาตอแหลชัดๆ เธอสาบานได้ว่าไม่ได้เดินชนเขา “นี่ไงหลักฐาน หรือคุณจะเถียง” หลักฐานบ้าอะไร มีแต่เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือเขาช่างเหนียวเหลือทน คงเหนียวพอๆกับตุ๊กแก เล่นรัดเอวเธอเสียจนแน่นแทบหายใจไม่ออก  อสุเรศหรี่ตามองเบื้องล่าง เธอเลยมองตามสายตาของเขาลงไป จึงเห็นหลักฐานที่เขาว่าชัดเต็มตาทั้งสองข้าง ใบหน้าหวานถึงกับเหวอ โหนกแก้มร้อนฉ่า เธอดันเผลอเหยียบเท้าของเขาเข้าอีตอนไหนกันล่ะ บ้าจริง! สิริสรรีบชักเท้าหนี สะบัดใบหน้าพรืด ได้แต่นึกเจ็บใจตัวเอง ดันเผลอไปเหยียบเท้าเขาตอนไหนไม่ยักกะรู้ตัว “คุณเดินซุ่มซ่าม เพราะมัวแต่ใจลอย...” เขาย้ำคำเดิมตอกย้ำว่าเธอผิด สิริสรเตรียมขยับปากเพื่อจะเถียงเขากลับว่าไม่ใช่เสียหน่อย หากแต่... “ขอโทษค่ะ ฉันคงเดินไม่ทันระวังเอง คุณคงไม่ได้เจ็บอะไรตรงไหนใช่ไหม?” สิริสรเปลี่ยนใจในนาทีที่แลเห็นใบหน้าคมคายดูเจ้าเล่ห์ เขามาที่นี่เพื่อจงใจมาหาเรื่องกับเธอโดยเฉพาะสินะ ดังนั้นหญิงสาวเลยจำต้องข่มอารมณ์ไม่พอใจ แล้วยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษชายหนุ่มแต่โดยดี ถือเป็นการยุติปัญหากับผู้ชายจอมหาเรื่อง อีกทั้งยังชอบยียวนกวนอารมณ์ของเธอตลอดเวลา  เธอไม่อยากเสียเวลากับผู้ชายคนนี้นานนัก อีกอย่างเธอเองก็อยากเข้าบ้านพักผ่อนเต็มแก่  รู้สึกปวดหัวตุบๆ ตอนเห็นหน้าคนกวนประสาท อสุเรศ อัครวนานนท์ ชายหนุ่มปริศนาสำหรับเธอ เขาคือใครกันแน่นะ อดีตคนขับรถของเธอ หรือว่าเป็นน้องชายของพี่ฟ้ากระจ่าง ภรรยาคนงามของคุณอาเหมรัช    อยู่ดีๆชายหนุ่มผู้นี้ดันกลับกลายมาเป็นญาติเป็นคนในครอบครัวของรุ่งรดาไปเสียได้ และยังเป็นหนึ่งในผู้บริหารคนสำคัญของโรงแรมในเครืออัครวนานนท์ ผู้ชายจอมเจ้าเล่ห์ที่เธอไม่สามารถหาทางต่อกรเขาชนะได้สักครั้ง เนื่องจากบทเรียนในวันนั้นเธอยังจำมันได้อย่างขึ้นใจ คนเจ้าเล่ห์ มากอุบาย สารพัดแผนการ... เขาหลอกเธอให้เดินเข้าห้องผิดหลังจากเสร็จสิ้นการเจรจาทางธุรกิจสำคัญ ทุกอย่างเรียบร้อย พี่หริลักษณ์ลงนามเพื่อเซ็นสัญญาและเขาเซ็นชื่อต่อเป็นคนสุดท้าย ทุกอย่างเป็นไปตามจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่าย ที่เหลือคือการนัดรับส่งสินค้าเข้ามายังโรงแรมในเครืออัครวนานนท์ทุกตัวโรงแรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของพี่หริลักษณ์ ครั้งนี้เขาสร้างกำไรให้แก่ไร่พวงตะวันมหาศาล เธอรู้สึกยินดีที่เห็นคนเคยรักและยังนับถือในฐานะพี่ชายประสบความสำเร็จ จึงเผลอกุมมือเพื่อแสดงความยินดี ต่อหน้าเขาคนนี้ ทุกอย่างกำลังผ่านพ้นไปด้วยดี ถ้าไม่ติดตอนเธอกับพี่หริลักษณ์กำลังเตรียมตัวออกจากห้องประชุม พอดีมีสายเรียกเข้าของพี่หริลักษณ์ดังขึ้น เขาจึงขอตัวเดินเลี่ยงออกจากห้องเพื่อคุยโทรศัพท์ส่วนตัวด้านนอก ดูเหมือนปัญหาจากสายเก่ายังสะสางกันไม่จบ เธอไม่รู้ว่าเป็นใครโทรเข้ามา ทว่าสังเกตจากสีหน้าของพี่หริลักษณ์ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน “ผมขอตัวสักครู่นะครับคุณอสุเรศ”  พี่หริลักษณ์เอ่ยอนุญาตเจ้าของสถานที่ตามมารยาท และเธอเหลือบเห็นแววตาพอใจของเขาส่องประกายพราวระยับดูไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ “น้ำผึ้งรอพี่แป๊บนะ เดี๋ยวพี่มา...” “ค่ะ...” เธอเบี่ยงสายตาจากความสงสัย พยักหน้ารับหริลักษณ์ ก่อนเขาจะพาร่างหนาลุกเดินหน้างอออกจากห้องประชุม ปล่อยให้เธอเผชิญหน้ากับผู้ชายหน้าตาละม้ายคล้ายกับคนขับรถของเธออย่างกับฝาแฝด บรรยากาศในตอนนั้นมันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ร้อนในอกอย่างประหลาด ผิวแก้มเธอร้อนผ่าวตอนเผลอสบสายตาเข้ากับผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม นึกไม่ชอบใจเอาเสียเลยที่ต้องมาทนอยู่กับคนที่ทำให้เธอคอยระลึกถึงบางอย่าง ทั้งที่คิดว่าต้องตัดใจให้ได้ในสักวัน  เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยท่วงท่าสบาย ใบหน้าเขาหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ดูน่าเกรงขามยามเมื่ออยู่ในชุดสูทตัดเข้ารูปราคาแพง เขายกมือขึ้นมากุมไว้ด้านหน้า พร้อมส่งสายตามองเธออย่างจาบจ้วงล่วงเกิน โดยที่ไม่ต้องแสดงออกทางร่างกายด้วยซ้ำ สิริสรหายใจติดขัด รู้สึกเกลียดแววตาแบบนี้ของเขาจัง เพราะมันเหมือนกับแววตาของนายสมหมายอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้ชายใจร้ายคนนั้น เขาทิ้งเธอไว้กับความสงสัยมากมาย และเรื่องคาใจที่ทุกวันนี้เธอยังเฝ้าวนเวียนหาคำตอบอยู่เลย ว่าทำไม?  อะไรที่ทำให้สมหมายคิดหนีออกจากบ้านของเธอโดยไร้คำร่ำลา หรืออาจเป็นเพราะ เด็กสาวข้างบ้านคนนั้น ผู้หญิงคนที่เธอเคยเห็นนายไม้ตามเทียวไล้เทียวขื่ออยู่พักหนึ่ง เหตุการณ์หลายอย่างบ่งชี้ว่าความคิดเธอถูกต้อง เพราะคนทั้งคู่ดันมาหายหน้าพร้อมกันในวันเดียว เธอส่งคนตามสืบก็ไม่มีใครได้เบาะแส ทำราวกับว่านายไม้ไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ และที่สำคัญเด็กสาวคนนั้นก็ไม่มีใครได้พบตัวเธออีกเลย...  “เอ่อ...ฉันอยากเข้าห้องน้ำ ไม่ทราบว่าอยู่ทางไหนหรือคะ” เธอกลั้นใจถามเขาทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด แต่เพราะไม่อาจนั่งทนอยู่ในห้องนี้นานกว่านี้มากกว่า เธอกลัวสายตาของเขา เหมือนมันกำลังแผดเผาผ่านเสื้อผ้า แล้วลามเลียสัมผัสผิวกายจนรู้สึกร้อนเห่อ จนทำให้เธออยากกระชากมันทิ้ง แล้วโผเข้าหาลำกายแกร่งทรงพลัง “อยู่ด้านนอกครับ เดินตรงแล้วเลี้ยวซ้าย” “ขอบคุณค่ะ นั้นดิฉันขอตัวสักครู่นะคะ” “ครับ...” เขาตอบรับเสียงห้าวหรี่ตามองเธออย่างคนรู้ทัน สิริสรรีบถลันร่างลุกขึ้นยืน กระชับกระเป๋าสะพายแล้วหันหลังเดินขาขวิดออกจากห้องแสนอึดอัดโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมามองสายตาวาววับของคนรู้ทัน แต่พอเดินออกมาด้านนอกห้องประชุม หวังจะได้พบหริลักษณ์ยืนอยู่สักจุดด้านนอก เธอกลับไม่เห็นเขา พอหันซ้ายแลขวาหวังจะถามหากับพวกคนติดตามอสุเรศ ทว่าเธอกลับไม่พบใครยืนอยู่แถวนั้นเลยสักคนเดียวเช่นกัน เอ...หายไปไหนกันหมดนะ หญิงสาวยืนเคว้งหัวคิ้วขมวดมุ่น ลองเดินดูเรื่อยๆ ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบ เธอไม่พบใครสักคน ก่อนจะสะดุ้งทั้งร่างตอนเดินหันหลังกลับ แล้วชนเข้ากับกำแพงร่างมนุษย์แสนใหญ่โต “จะไปไหนนะคุณ...ห้องน้ำไม่ได้อยู่ทางนั้นนะครับ” “เอ่อ...คือ ฉันเดินหลงทางน่ะค่ะ เลยกำลังจะเดินย้อนกลับไปทางเก่า พอดีหันมาชนคุณเข้าเสียก่อน ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ฉันเดินไม่ทันระวัง”  สิริสรก้มหน้าก้มตาอธิบาย ก่อนใช้มือดันร่างเล็กของเธอออกห่างจากกำแพงหนา อสุเรศยอมปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระแต่โดยดี ถึงแม้ภายในใจนั้นยังอดนึกเสียดายร่างนุ่มนิ่มนี้อยู่ไม่น้อย “อ้อ...เหรอครับ”  ปลายจมูกโด่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมประจำตัวของสาวเจ้า พลอยทำให้เลือดลมในกายเขาแล่นพล่าน ต่อให้นานสักแค่ไหน กลิ่นหอมสดชื่นจากเนื้อสาวแสนรัญจวนนี้มันไม่เคยลบเลือนออกจากความรู้สึกของเขาได้สักที นั่นเป็นเพราะความรู้สึกของเขามันคอยย้ำเตือนมาตลอด สิริสรเป็นของเขา ไม่ว่าอดีต ปัจจุบันหรือแม้กระทั่งในอนาคต ยังไงซะเจ้าหล่อนก็หนีเขาไปไหนไม่พ้นมืออยู่ดี... อสุเรศเลิกคิ้วพร้อมอมยิ้มมุมปาก เมื่อสักครู่นี้เขาจงใจเดินให้ร่างเล็กชน กะหาจังหวะเหมาะเจาะจะได้รวบเอาร่างอรชรอ้อนแอ้นเข้ามาสวมกอดไว้ให้คลายความคิดถึง หลายปีมานี้เขาเฝ้าแต่มองหญิงสาวอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน เมื่อเขาให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง ตราบใดที่เขายังไม่อาจยืนเทียมเท่าหญิงอันเป็นที่รักได้อย่างสมศักดิ์ศรี เขาจะไม่ยอมปรากฏตัวให้เจ้าหล่อนเห็นหน้า จนกระทั่งมาถึงวันนี้ วันที่เขามีเพียบพร้อมทุกอย่าง เขาจึงกลับมา เพื่อทวงหัวใจของเจ้าหล่อนมาผูกติดไว้กับเขาเหมือนดั่งเช่นวันวาน... “สรุปว่าคุณยังไม่ได้เข้าห้องน้ำ” อสุเรศเลิกคิ้วถาม “เอ่อ...ค่ะ” “เอาแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวผมพาคุณไปเข้าห้องน้ำเอง เผื่อคุณจะได้ไม่เดินหลงทางอีก ข้างบนนี้มันกว้าง ไม่แปลกนักหรอกถ้าคุณจะเดินหลงทางจนหาห้องน้ำไม่เจอ” สิริสรหน้าตึงเพราะรู้เขาพูดประชด บนชั้นนี้ถึงจะดูกว้างแต่คงไม่ทำให้ใครเดินหลงทางได้แน่ เจ้าของสถานที่ทำทีเป็นขยับเข้าใกล้ตอนขันอาสา จงใจเบียดกระแซะร่างเล็กจนหญิงสาวได้กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายโชยแตะปลายจมูก เธอเลยเผลอสูดกลิ่นนั้นเข้าปอดอย่างหลงลืมตัวตน ก่อนผงะถอยห่างแล้วเม้มกลีบปากอิ่ม ตำหนิตัวเองอยู่ในใจ นี่เธอทำเรื่องน่าอายอะไรลงไปกันนี่ยายผึ้ง น่าอายชะมัดเลย...  “เชิญทางนี้ดีกว่านะครับ...ห้องน้ำห่างจากตรงที่เราสองคนยืนอยู่ไม่ไกลนัก คุณคงอั้นไหวอยู่นะครับ...” “ค่ะ...” สิริสรอ้อมแอ้มตอบ หลุบเปลือกตามองพื้น  เพราะความจริงเธอไม่ได้รู้สึกปวดเบาอย่างที่ปากบอกเขาแต่แรก มันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อต้องการหลบเลี่ยงออกมาจากห้องประชุม เธอไม่อยากอยู่ใกล้ชิดผู้ชายคนนี้ เขาดูไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย ทั้งท่าทางและแววตา มันทำให้เธอรู้สึกใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คอยเอาแต่หวนคิดถึงใครบางคน หากไปๆมาๆมันกลับยิ่งทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับเขาหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีกนี่สิ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจชะมัด หญิงสาวยอมเดินตามร่างสูงไปยังทิศทางที่เขานำพา ส่วนสายตาหวานยังคงมองหาหริลักษณ์ ไม่รู้เขาหลบยืนโทรศัพท์อยู่ตรงบริเวณไหนของชั้นนี้กันแน่นะ ทำไมเหมือนไม่มีคนอยู่บนชั้นนี้เลยสักคนล่ะ ทั้งที่เป็นชั้นของผู้บริหารนั่งทำงานอยู่แท้ๆ มันน่าสงสัยเสียเหลือเกิน... “บนชั้นนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของผม ถ้าผมไม่เรียกหา ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นมาหรอกนะครับ “  ดูเหมือนอสุเรศจะล่วงรู้ความคิดของหญิงสาว ดวงตาเขาทอประกายแวววาวสื่อถึงความพึงพอใจ ถึงแม้มันประดับบนใบหน้าเคร่งขรึม แต่ก็พอทำให้สิริสรชักเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาได้กะทันหัน... หากห้องที่เขาพาเลี้ยวเข้ามากลับเป็นห้องพักส่วนตัวของเขาเอง มันดูหรูหราและเป็นส่วนตัว  สองเท้าจึงรีบถอยห่าง เตรียมหันหลังเดินย้อนกลับออกทางเดิม แต่ก็ยังช้ากว่าคนเจ้าเล่ห์ เขาหันร่างสูงมาทางเธอและเห็นเข้าพอดี “ห้องน้ำในนี้สะอาดและปลอดภัยกว่า” พูดพร้อมฉวยข้อมือเธอรั้งไว้ “ไม่ต้องกลัว ผมไม่คิดจะทำอะไรคุณหรอกน่า ผมไม่นิยมของมือสองต่อจากใคร...” สิริสรเริ่มหายใจติดขัด ก่อนชักสีหน้าไม่พอใจ รู้สึกโกรธในคำพูดมีนัยของเขา เหมือนเขาจะรู้เรื่องส่วนตัวของเธอมาพอสมควร พลางเงยใบหน้าสวยหวานขึ้นมองคนตัวสูงกว่า มันเลยทำให้เธอสะดุดเข้ากับนัยน์ตาสีควันบุหรี่ของเขา ไม่ใช่สีตาของสมหมาย รายนั้นดวงตาเป็นสีนิล แต่ทว่าเครื่องหน้าส่วนอื่นกลับเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว แต่เขาบอกไม่ใช่และมันก็น่าจะเป็นอย่างที่เขาบอก นายสมหมายจะมีฐานะร่ำรวย เป็นถึงหนึ่งในผู้บริหารในเครืออัครวนานนท์ได้ยังไง  เขาไม่ใช่สมหมาย ไม่ใช่ผู้ชายจิตใจโลเลคนนั้น คนที่ทอดทิ้งเธอไว้อย่างเดียวดาย พร้อมด้วยคำถามคาใจอีกมากมาย เป็นสิ่งที่เธอมั่นใจยังไงซะสองคนนี้ต้องเป็นคนละคนกันแน่... “ดูเหมือนคุณกำลังกลัวผมอยู่...” “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันแค่ไม่อยากเข้าห้องน้ำแล้วก็เท่านั้นเอง เชิญคุณตามสบาย ฉันขอตัวกลับไปหาพี่หริ...เอ่อคุณหริลักษณ์ ป่านนี้เขาคงกลับเข้ามาในห้องประชุม เดี๋ยวเขาจะเป็นกังวลคิดว่าดิฉันหายตัวออกไปไหน...”  เธอรีบดึงข้อมือกลับพร้อมด้วยเหตุผล อสุเรศไม่ยอมปล่อยข้อมือ ดวงตาชายหนุ่มวาววับยามเมื่อได้ยินสรรพนามการเรียนขานที่ฟังออกจะสนิทสนมกันเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มออกแรงรวบข้อมือน้อยไว้จนเกิดเป็นรอยแดง อาจด้วยเคยชินกับการบังคับหญิงสาวมาโดยตลอด “ไหนๆก็เข้ามาแล้ว อยู่ทานข้าวเที่ยงกับผมก่อนก็แล้วกัน ผมให้แม่บ้านเขาจัดเตรียมไว้รอด้านในให้เรียบแล้ว คุณเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำให้สดชื่นก่อนน่าจะดีกว่า แล้วค่อยออกมาทานข้าวพร้อมกัน ผมจะนั่งรอที่โต๊ะอาหาร”  เขาร่ายยาวอย่างคนเอาแต่ใจ สิริสรชักสีหน้าบึ้งตึง เขามิสิทธิ์อะไรมาสั่งให้เธอทำนู่นทำนี่โดยไม่สนใจเหตุผลของเธอ “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันคงไม่สะดวกอยู่ทานข้าวกับคุณ ฉันมีนัดกับพี่หริเอ่อ...คุณหริลักษณ์แล้วน่ะค่ะ” “เขาไม่ได้โทรบอกคุณหรอกเหรอ เขามีธุระสำคัญมากต้องรีบกลับออกไปจัดการด่วน เขาบอกผมตอนเดินสวนกับเขาก่อนเดินมาเจอคุณเดินหลงทางเมื่อสักครู่นี้เอง” สิริสรขมวดคิ้ว อ้าปากเหวอกับคำบอกกล่าวของชายหนุ่ม จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง เธอไม่เชื่อหรอกพี่หริจะทิ้งเธอไว้โดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ สิริสรสะบัดมือเขาออกจากข้อมือน้อย รีบล้วงเอามือถือขึ้นมาดู ปรากฏหน้าจอสายไม่ได้รับของหริลักษณ์กว่าสิบสาย ผิดที่เธอลืมเปิดเสียงมือถือเพราะตั้งระบบสั่นไว้ตั้งแต่ตอนนั่งประชุม “ตายจริง!...” หญิงสาวเม้มปากอิ่ม นึกตำหนิตัวเองที่สะเพร่า   “เถอะนะครับ ไหนๆเจ้านายคุณเขาก็กลับออกไปแล้ว อยู่ทานข้าวเที่ยงกับผมที่นี่แหละ อีกอย่างคุณก็ว่างแล้วไม่ใช่เหรอเที่ยงนี้...” เขาใช้น้ำเสียงอ่อนนุ่มลง สีหน้าดูเว้าวอนมากกว่าเป็นการบังคับ สิริสรตวัดค้อนให้คนตรงหน้า ทำมาเป็นรู้ดีว่าเธอว่าง แม้ความจริงเธอก็ว่างจริงดั่งคำเขากล่าวนั่นแหละ ไม่ได้มีโปรแกรมอะไรทำเป็นพิเศษต่อจากนี้ เนื่องจากครอบครัวสุขสันต์ คุณพ่อเลี้ยงเหมราชรูปหล่อกับแม่เพื่อนสาวแสนสวยรุ่งรดา สองคนนั้นเขาพาสาวน้อยอิ่มอุ่นไปเที่ยวสวนสนุกกันตามประสาครอบครัว เธอเลยไม่คิดตามไปเป็นก้างขวางคอ ปล่อยให้พ่อแม่ลูกเขาได้เที่ยวสนุกลำพัง ส่วนตัวเองเพียงวางแผนเอาไว้คร่าวๆ ถ้าเสร็จจากการเซ็นสัญญา เธอจะขอพี่หริเดินห้างสรรพสินค้า เธออยากได้ชุดทำงานกับพวกของใช้ส่วนตัวอีกหลายอย่าง “ตอนนี้ผมก็ว่างเหมือนกัน คุณช่วยอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ ถือว่าผมขอร้องก็ได้ ผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่...”   อสุเรศส่งน้ำเสียงอ้อนวอน นัยน์ตาสีเข้มจัดดูอ่อนแสงเว้าวอนตาม จนคนถูกขอร้องถึงกับพ่นลมหายใจ สิริสรเบี่ยงสายตาสำรวจรอบห้องพักสุดหรูของเขา ดูว่ามีอะไรผิดสังเกตหรือไม่ ถ้าหากเกิดมีอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นมา เธอจะได้หาทางหนีเอาตัวรอดได้ทันเวลา อสุเรศรอบยิ้มกับท่าทางอ่อนลงของหญิงสาว... “ก็ได้ค่ะ...นั้นฉันขอตัวเข้าห้องน้ำสักครู่” “ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนผมทางนั้นครับ เชิญใช้ได้ตามสบาย” สิริสรดึงสติกลับมาจากความคิดของวันนั้น หลังจากทานข้าวกลางวันจบลง เขาบังคับให้เธอนั่งรถออกมาพร้อมเขา แล้วอาสาพาเดินห้างดังเสียเอง... อสุรเรศเอียงคอมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ ไม่คิดว่าสิริสรจะยอมรับผิดโดยง่ายดาย จนเมื่อเขานึกอะไรขึ้นมาได้ แววตาคมกล้าเลยวาวแสง  เหอะ!เป็นการยอมรับ เพื่อตัดความรำคาญสินะ   อสุเรศเดาะลิ้น หลุบสายตากรุ่นโทสะมองใบหน้าสวย “เหยื่อรายใหม่หรือไง หาได้เร็วจริงนะคุณ เมื่อวันก่อนผมเห็นไม่ใช่คนนี้นี่” คนถูกพูดจาหาเรื่องใส่ ตวัดสายตาขุ่นจ้องใบหน้าคมคาย “มันเรื่องส่วนตัวของฉัน กรุณาปล่อยมือออกจากตัวของฉันด้วยค่ะ...” สิริสรเชิดปลายคางตั้งตรง พร้อมสะบัดร่างออกห่างจากกำแพงหนาทันที รังเกียจถ้อยคำหยามหมิ่นจนอยากยกมือขึ้นตบหน้าเขาสักฉาด ไม่รู้ทำไมนายอสุเรศถึงได้ชอบตามตอแยเธอจัง ตั้งแต่วันนั้นที่โรงแรมอัครวนานนท์ เขามักทำตัวไม่ต่างจากนินจา เที่ยวคอยมาปรากฏตัวใกล้เธอเสมอ แถมมักสรรหาถ้อยคำเลวร้าย คอยพูดจาแดกดันเธอทุกครั้งอีกด้วย คนถูกเชิดใส่ยิ้มเยาะ... “ไม่คิดบ้างเหรอว่า มันอาจจะเป็นเรื่องของเราสองคนก็ได้” “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง...” สิริสรถามขึ้นเสียงขุ่น “ก็หมายความตามที่พูด ทำไมต้องทำหน้าใส่ซื่ออินโนเซ้นท์ เหมือนหญิงสาวไร้เดียงสา บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งที่ความจริงแล้วคุณไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ออกจะชำนาญถึงขั้นช่ำชองเลยด้วยซ้ำ” “คนปากเสีย ถือสิทธิ์อะไรมาว่าฉันเสียๆหายๆ เท่าที่ฉันเข้าใจ เราสองคนเพิ่งจะพบหน้ากันไม่กี่ครั้งเองนะคะ และก็ไม่ได้มีความสนิทสนมถึงขั้นที่ทำให้คุณมายืนด่าฉันฉอดๆ และก็กรุณาอย่าถือเอาเรื่องงานมาวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาด้วย ถ้าคุณทำแบบนั้นเขาเรียกว่าไม่ใช่มืออาชีพ” เธอต่อว่าเขาด้วยความโกรธอยากจะยกมือตบปากเน่าๆของเขาด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าเธอตัวเล็กกว่าสู้แรงเขาไม่ได้ เธอไม่ปล่อยเขาลอยหน้าแบบนี้แน่นอน ถึงแม้นิสัยเธอเปลี่ยน แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมลงให้ใครโดยไม่สู้เสียเมื่อไหร่กัน ... “แล้วมืออาชีพเขาต้องทำกันยังไงล่ะ คุณพอจะมีเวลาช่วยอธิบายให้ผมฟังสักหน่อยจะได้ไหม เผอิญผมมันหัวสมองช้าต้องใช้เวลาอธิบายยาวๆถึงจะเข้าใจ” “มันก็เรื่องของคุณ ฉันจะเข้าบ้าน” สิริสรไม่ยอมตามเกมเจ้าเล่ห์ เธอดิ้นรนเพื่อต้องการให้หลุดพ้นจากพันธนาการร่างหนา พร้อมกับมองหาคนช่วย อสุเรศเห็นเป็นการเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เบื่อต้องมาคอยยืนต่อปากต่อคำกับหญิงสาว เขาจึงจัดการรวบร่างนิ่มมาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง แล้วออกแรงเพียงเล็กน้อยยกร่างบางขึ้นพาดบ่าตัวเอง สิริสรหวีดร้องเสียงหลง เธอตกใจกับสิ่งที่เขากระทำการอุกอาจโดยไม่คิดเกรงกลัวใครมาเห็นเข้า “คุณอสุเรศ! นี่คุณคิดจะทำบ้าอะไร ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”   ร่างที่ห้อยโตงเตงเหวเสียงกร้าว ยกมือขึ้นทุบตีแผ่นหลังกว้างอย่างเอาเป็นเอาตาย “ไปหาที่นั่งคุยกับผมก่อน ผมมีเรื่องต้องสะสางกับคุณอยู่หลายเรื่องเชียวล่ะ โดยเฉพาะเรื่องไอ้หน้าตี๋นั่น ทำไมถึงยอมให้มันขับรถมาส่งถึงบ้าน” “ไม่...ฉันไม่ไปไหนกับคุณอีกทั้งนั้น คนบ้า...ปล่อยฉันลงเลยนะ แล้วก็ไสหัวออกไปให้ไกลจากฉันซะ ถ้าไม่อยากเจอดี” อย่าลืมว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร อิทธิพลของเสี่ยมนัสนั้นมีอยู่ล้นมือ เพียงแค่เธอโทรสั่งคนของบิดาเพียงกริ๊งเดียว เขาไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสงบอีกต่อไปแน่ “ทำไงได้ ไอ้ผมมันก็เป็นคนประเภทอยากจะเจอดีเสียด้วยสิ”  พูดจบพร้อมกับตวัดฝ่ามือหยาบลงบนสะโพกนุ่มนิ่ม ก่อนบีบขยำก้นงอนงาม ซึ่งเขาพิสูจน์มาบ่อยครั้ง ทั้งแน่นมือและเด้งรับในท่วงท่ารัญจวนซ่านซ่าขนาดไหน “กรี๊ด....ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย ไอ้บ้านี่มันจะทำร้ายฉัน...” สิริสรทำได้เพียงหลับหูหลับตาส่งเสียงกรีดร้อง พร้อมกับตะโกนขอความช่วยเหลือ หากทว่ารอบบริเวณด้านนอกและแม้กระทั่งด้านในตัวคฤหาสน์หลังโตกลับไร้ผู้คนเดินผ่าน ไม่มีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของเธอเลย...                                                                                           ************************  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม