ตอนที่ 1
อิฐศอรจามรรัมภ์ได้รับฟังคำบอกเล่าของพี่สุภา พี่สาวแท้ๆของเธอ
ถึงการเข้าไปเป็นสาวใช้ที่คฤหาสน์ของมหาเศรษฐีในกรุงเทพ
พี่สุภาเป็นคนเรียนมาน้อยจบแค่ชั้นปอสี่ เปิดทางให้น้องๆทุกคนเรียนหนังสือ
เพราะอยากจะเป็นคนใช้อยากมาหางานที่กรุงเทพ มาเห็นกรุงเทพ ว่าใหญ่โตขนาดไหน
ได้ยินได้ฟังมาจากหนังละครทีวีและนิยายละครวิทยุว่า กรุงเทพสวยงามอย่างนั้นอย่างนี้
โดยเฉพาะในตัวละครมีบทคนใช้พี่สุภาเองก็อยากเข้าไปเป็นคนใช้อยากเห็นคนหน้าตาดีๆ บ้านเมือง
ใหญ่โต
สมัยนั้นละครทีวีเป็นเรื่องที่ไกลจากตัวหายากมากเลย ต้องเป็นบ้านระดับเศรษฐีจึงจะมี และในครอบครัวของสุภานั้นมี เลยจดจำเอาจากภาพนั้น
ภาพโฆษณาต่างๆ ชอบดูมาตั้งแต่เด็ก สุภาเข้าไปอยู่กรุงเทพ ทำงานเป็นคนใช้กว่าสิบห้าปี
พร้อมด้วยความเจ็บช้ำ มีผัว เลิกกับผัวหอบลูกน้อยตาดำๆ กลับมาให้พ่อกับแม่เลี้ยงอยู่ที่บ้าน
และไม่ยอมปริปากบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็ก
น้องเทอร์โบ เป็นลูกของพี่สุภา ชื่อพ่อไม่รู้ ไม่ได้ตามมาด้วย
และหลานเทอร์โบก็เป็นหลายชายที่น่ารัก คนโปรดของน้าสาว อย่าง อิฐศอร
อิฐศอรเรียนจบชั้นมัธยมต้นแล้วปีนี้ พอปิดเทอมใกล้จะเข้ามาถึง สุภาพี่สาวบอกว่าจะขึ้นไปกรุงเทพอีกครั้ง
ไปหางานทำ เป็นคนใช้เขาอีกนั่นแหละ พี่สาวอิฐศอร หรือ อิฐ ไม่นึกเบื่อบ้างเลย
ทั้งที่กรุงเทพ ทำความเจ็บช้ำน้ำใจมาแท้ๆ
ไม่เข้าใจสักนิด ว่าพี่สาวคิดอะไรอยู่
ฐานะทางบ้านก็ไม่จนถึงขนาดเอาตัวเองไปเป็นคนใช้
อย่างว่า ล่ะ อยู่ที่บ้านสุขสบาย มีเงินทองข้าวของก็จริง แต่ไม่ได้พบความแปลกใหม่ สวยงาม ทั้งผู้คน และมีงานให้เลือกทำมากมาย อยู่ที่บ้านนอก ต้องทำงานของตนเอง ไม่มีใครมีโรงงาน บริษัทที่จะว่าจ้างให้ผู้คนมาทำงาน
เหมือนเมืองใหญ่ๆ ดังนั้นความสะดวกสบายแบบผู้คนสมัยใหม่มันไม่มี คนชนบทส่วนมากเลยพากันระเห็จ เข้าไปชุบตัว ดัดจริตตัวเองกลายเป็นคนเมืองกรุง
พูดจาแตกต่างไปจากชาวบ้าน เป็นเพราะการหล่อหลอมของสังคมที่นั่นมากกว่า
เหตุนี้เองเป็นสิ่งที่พี่สุภาของหล่อน คิด และบอกกล่าวแก่น้องสาวแท้ ซึ่งมีวัยห่างกันถึงสิบปีด้วยซ้ำ สุภา เป็นคนรอง พี่ อาทร เป็นลูกชายคนโต
แล้วต่อจากนั้นมามี อิฐศอร น้องสาวคนกลาง ห่างมาเป็นสิบปี และน้องสาวคนเล็กสุดท้องของบ้าน เหรียญรัมภา
ยายเหรียญ อายุห่างจากอิฐศอร สามปี ตอนนี้ยังเรียนอยู่ชั้นประถม
พ่อมีลูกสาวทั้งสามคน ทั้งรักทั้งหวงนัก ยุงแทบไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม
คิดไปแล้ว ปิดเทอมในช่วงนี้ ไม่มีงานทำเลย คงอยู่แต่กับบ้าน เป็นเดือนๆ เพื่อรอให้ทางโรงเรียนเปิด
และมันก็คงเซ็งเป็นบ้า อิฐศอรคิด หมกตัวเก็บตัวอยู่แต่กับในบ้าน
ถ้าขยันหน่อยก็หยิบตำราการเรียนมาอ่าน แต่ไม่อ่านหรอก อิฐศอร ไม่ค่อยมีเวลา เพราะเอาเวลาไปใช้กับทางอื่นหมด เล่น เที่ยวไปตามประสา
กลับมาก็นอน อย่างนั้นเองเลยอยากจะลองไปหาที่ใหม่
ถ้ามีงานทำอย่างพี่สาวก็ดีเหมือนกัน สุภาจะขึ้นไปกรุงเทพ ไปทำงานเป็นคนใช้ พี่สาวจะฝากหล่อนได้หรือเปล่าหนอ
กินอยู่กับเขา สบายออก อย่างที่พี่สาวว่า บ้านก็ไม่ต้องเช่า อีกข้าวก็ไม่ต้องซื้อ คงสุขสบายดีล่ะ
นึกแล้วตื่นเต้น ถ้าได้ไป ก็คงดี
อิฐศุอร ฝัน ฝันแบบว่า อยากจะไปกรุงเทพ ไปอยู่แบบพี่สาว ดีกว่าทิ้งตัวเองให้ว่างเปล่า นานเป็นแรมเดือน ทุกปีๆ ปิดเทอม อิฐศุอรมักจะเป็นแบบนั้น
คิดแล้วก็อยากจะขอพี่สาวไปทำงานด้วย แต่เอ๊ พี่สาวจะให้ไปทำด้วยหรือเปล่า
ที่แน่พี่ของหล่อนห้ามหวง รักลูกสาวเหมือนจงอางหวงไข่
ถ้าไปพึ่งพาพี่สุภา พ่อต้องโกรธพี่สุภาตายแน่ ว่าหาเรื่องให้น้องสาวตามเข้ากรุงเทพ
ยิ่งพ่อของหล่อน จงเกลียดจงชังนักกรุงเทพ สุภาพี่สาวของหล่อนต้องมาช้ำใจเจ็บระบม ไม่ใช่เพราะไปกรุงเทพนะหรือ
เรื่องในอดีตพ่อโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแทบจะไม่ยอมให้อภัย
แต่พอเห็นหลานตาดำหรอก พ่อกับแม่จึงให้อภัย รับพี่สาวมาอยู่บ้าน และเลี้ยงหลานไปด้วย
ส่วนพ่อของเด็กไม่มีใครรู้ สุภา เองก็ไม่ได้บอก
ดูไปแล้ว มันเป็นการบีบคั้นใจพี่สาวมาก เหมือนว่า สุภาเองก็ไม่อยากจะบอก
อิฐศอร เคยเลียบๆเคียงๆ ถามพี่สาวคนนี้แล้ว แต่ว่า สุภา ไม่ยอมบอก
เหมือนพี่สาวเจอแต่ความขื่นขม และคั่งแค้นในใจ จนไม่อาจบอกใคร
ต้องมีเรื่องร้ายแรงอย่างแน่นอน
อิฐศอร นึกสงสารพี่สาวยิ่ง ไปตกระกำลำบาก พี่สาวของหล่อนเป็นคนดื้อมาแต่ไหนแต่ไร และตอนนี้ก็ยังหัวดื้อ แม้จะมีลูกแล้ว
ดังนั้นพ่อกับแม่จึงห้ามปรามไม่ได้ ถ้าสุภาจะขึ้นกรุงเทพไปหางานทำอีก
พ่อยังเคยปรามาสใส่
“มึงยังไม่นึกเข็ดอีกหรืออีลูกไม่รักดี ที่มันทำมึงเสียคนกระเซอะกระเซิง หอบเอาลูกกลับมา ไม่ใช่เพราะไอ้เมืองกรุงบางกอกของมึงหรือ ต่อไปลูกของกูทุกคน จะไม่ยอมให้มันเข้าไปเหยียบเลย อยู่บ้านเราอดอยากหรือไง ข้าวปลามีให้กินทุกวัน นึกอยากจะกินอะไรพ่อกับแม่ยังหาให้ได้ ”
อิฐศอรตอนนั้นแอบฟังอยู่ห่างๆ
แต่เรื่องนี้ห้ามปรามพี่สาวไม่ได้นั่นเอง
“ หนูขอโทษพ่อด้วย จะให้หนูอยู่วันๆโดยนั่งนอนกิน ไม่เอาหรอกค่ะ ที่บ้านเราก็ไม่มีการว่าจ้างงาน หนูอยากหาเงินมาเองเพื่อเลี้ยงลูก ให้พ่อกับแม่เก็บเงินเอาไว้เถอะ ลูกคนเดียวหนูจะเลี้ยงเอง”
เหตุผลที่พี่สุภาเอ่ยขึ้นกเป็นเหตุผลที่น่าฟัง
อิฐศอรได้ยิน จนพ่อพูดอะไรไม่ออก เงียบเสียง แต่สีหน้านั้นบึ้งตึง เยาะหยัน
อิฐศอร เคยได้ยินคำบอกประกาศของบิดาต่อลูกๆทุกคน แต่ยิ่งห้ามมันก็เหมือนกันยิ่งยุ
เมื่อพ่อห้ามเธอก็คิดว่า กรุงเทพมีอะไรดีนักหนา คนอื่นยังไปกัน พี่สาวของเธอก็จะไปอีก เธอน่าจะลองเข้าไปกรุงเทพ เพื่อให้เป็นบุญตาสักครั้งเถอะ
ตอนปิดเทอม พอเปิดเทอมเรียนหนังสือ จะได้เล่าให้เพื่อนๆฟัง กรุงเทพมันเป็นยังไง สวยแค่ไหน
มีอะไรดี กับอะไรที่ไม่ดีบ้าง?
อิฐศอร อุปนิสัยก็เป็นคนดื้อเงียบด้วย จะว่าไป คล้ายกับพี่สาว คือ สุภา อยากได้อะไรก็ต้องได้
อยากจะไปกรุงเทพกับพี่สาวเหมือนกัน แต่ว่า ไม่มีใครรู้จัก เพื่อนฝูง คนไหนก็ไม่มี ที่ไปอยู่
กรุงเทพ
นอกจากพี่สาว แต่ถ้าขอกับพี่สุภาตามตรง แกคงไม่ให้ไปหรอก
ดังนั้นจะพูดความจริงก็ไม่ได้ ต้องโกหกอย่างเดียว
ตอนนี้จะเอายังไงดีหนอ วันนี้แล้ว ที่พี่สุภาบอกว่าจะขึ้นไปกรุงเทพ
ต้องบอกกับพี่สุภาตามตรง
บอกตรงๆก็ไม่ได้ คงชวดได้ไปแน่
หาข้ออ้างสิ ข้ออ้างบางอย่าง
หาเรื่องไปตลาด แล้วแอบขึ้นรถโดยสารกับพี่สาว สุภาคงไม่มีทางรู้
แล้วจะเขียนจดหมายมาขอโทษพ่อคราวหลัง
เหตุผลก็บอกอย่างเดียวกับพี่สาวว่า อยู่ที่บ้านสุขสบายเกินไป มีเงินใช้จ่าย แต่ ไม่มีความสุขเหมือนวัยรุ่นทั่วไป
ที่ได้เดินดูของสวยๆงาม พบปะหน้าตาของผู้คน
เพราะอยู่แต่ในหมู่บ้านโลกทัศน์ก็เป็นแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
“อยากหาเงินใช้เอง โดยไม่ต้องไปรบกวนขอพ่อแม่”
แต่พ่อแม่มีเงิน เพราะฐานะความเป็นอยู่ ถึงขั้นระดับลูกสาวเศรษฐี ทั้งที่นาที่ไร่ ข้าวเปลือกเต็มยุ้งฉางสองสามแห่ง
บางครั้งคนเราอยู่สุขสบายมากเกินไป ก็ไม่ดี เหมือนอย่าง อิฐในตอนนี้ที่กลับไม่ชอบ