“เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติข้าให้วุ่นวายหรอก นั่งกินด้วยกัน” เจียงเซ่อยอบกายรับแต่ก็ยังมีคำต่อว่าในใจ ก่อนที่นางจะจับตะเกียบคีบผักไม่เห็นเอ่ยปากว่าไม่ต้องปรนนิบัติ นี่นางคีบผักก็คีบไปแล้วก็นับว่าได้ปรนนิบัติแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นกินอาหารบนโต๊ะ แววตากลับอ่อนโยนปกติยิ่ง ราวกับว่าสตรีก่นด่าผู้อื่นในใจนั้นมิใช่นางอย่างไรอย่างนั้น หลังกินอิ่มก็ถึงเวลาต้องล้างปากล้างคอด้วยน้ำชา เพราะฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบชาจากดีบัว เจียงซื่อจึงต้องทนดื่มน้ำชาดีบัวไปด้วย แม้จะขมลิ้นขมปากเพียงใดก็ยังต้องเอ่ยว่าน้ำชาดี ข้าวกินแล้ว น้ำชาดื่มแล้ว เรื่องที่อยากพูดย่อมสมควรพูด ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าเล็ดลอดออกมา “ปีนี้คุณหนูใหญ่ก็พ้นวัยปักปิ่นแล้วกระมัง” มือที่จับถ้วยน้ำชาของเจียงซื่อเกร็งเล็กน้อย “เดือนก่อน เหยาเอ๋อเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่น แต่เด็กคนนี้แม้อายุสิบหกแล้วก็ยังมีนิสัยซุกซนเป็นเด็กๆ มารดาก็เห็นว่าเหย