ตอนที่สี่ ตัดใจไม่ลง 2.2

2878 คำ
“ทีหลังอย่าทำอีกล่ะ” ฉันยื่นมือไปรับกล่องน้ำหอมมาจากเกรซ เมื่อเห็นฉันไม่ว่าอะไร เกรซก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ มันทำให้ฉันอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้ ถ้าหากเกรซสำนึกผิดจริง ฉันก็ไม่ควรคิดอะไรมากใช่ไหม ควรให้อภัยเพราะถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน “คณะนี้น่าเรียนจังเนอะ” เกรซหันไปมองสถานที่รอบๆ แต่ฉันสังเกตเห็นนะ เหมือนเกรซกำลังมองดูคนมากกว่าสถานที่ซะอีก “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ไปเรียนก่อนนะ” “เดี๋ยวสิ!” ฉันกำลังจะลุกจากเก้าอี้ เกรซก็ร้องทักขึ้น “มีอะไร” “คือว่า...ผู้ชายที่เข้ามาช่วยพี่แก้มวันนั้นน่ะ เป็นแฟนพี่แก้มเหรอ” เกรซเอ่ยถามแววตาเป็นประกาย คงจะชอบพี่บิ๊กไบค์ล่ะสิ “เปล่าหรอก เขาไม่ใช่แฟนพี่” ฉันตอบตามความจริง และคำตอบของฉันก็ทำให้เกรซมีอาการตื่นเต้นมากกว่าเดิม “จริงเหรอ” ฉันจึงพยักหน้าให้เกรซหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการยืนยัน “แล้วเขาเรียนคณะนี้ด้วยหรือเปล่า” ฉันกำลังจะอ้าปากตอบ สายตาก็มองไปเห็นร่างสูงพอดี เขากำลังเดินมาตรงที่ฉันนั่งอยู่ ฉันรีบหลบสายตาไม่อยากให้เขาคิดว่าฉันแอบมองเขาอยู่ “แก้ม” และแล้วพี่บิ๊กไบค์ก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉัน “สวัสดีค่ะ ชื่อเกรซนะคะ จำกันได้หรือเปล่าเอ่ย...” เกรซทักทายพี่บิ๊กไบค์ด้วยยิ้มหวาน ถ้าหากเป็นผู้ชายทั่วไปเป็นต้องหลงรอยยิ้มแสนหวานของเกรซแน่ ๆ แต่กับพี่บิ๊กไบค์นี่ ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า เพราะพี่บิ๊กไบค์ชำเลืองไปมองหน้าเกรซแวบหนึ่งแล้วก็หันกลับมามองหน้าฉันเหมือนเดิม “ทำไมยังไม่เข้าเรียน” พี่บิ๊กไบค์ถามฉัน “กำลังจะไปแล้วค่ะ” ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินขึ้นบันไดทันที เดินขึ้นไปไม่กี่ก้าวฉันก็หยุดแล้วหันไปแอบข้างกำแพงบันได เพราะอยากรู้ว่าเกรซจะคุยอะไรกับพี่บิ๊กไบค์ “อย่าพึ่งไปค่ะ” เกรซคว้าแขนพี่บิ๊กไบค์ไว้ เมื่อเขาทำท่าจะเดินขึ้นตึก “มีอะไร” พี่บิ๊กไบค์พูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย “เรื่องวันนั้นนะ เกรซไม่ได้ตั้งใจนะคะ” เกรซทำหน้าเศร้าเหมือนคนจะร้องไห้ “แล้วมาบอกฉันทำไม” “เกรซไม่อยากให้พี่เข้าใจเกรซผิดค่ะ” เกรซทำใจกล้าเลื่อนมือลงมากุมมือพี่บิ๊กไบค์ไว้พร้อมกับส่งสายตาออดอ้อนสุดฤทธิ์ แล้วทำไมใจของฉันต้องรู้สึกวูบโหวงด้วย เหมือนกับว่ามันกำลังกลัวอะไรสักอย่าง หรือฉันกลัวว่าพี่บิ๊กไบค์จะหลงสายตาออดอ้อนของเกรซงั้นเหรอ ไม่สิ ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนั้นด้วย “ทำไมถึงไม่อยากให้ฉันเข้าใจผิดล่ะ” ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าพี่บิ๊กไบค์มีสีหน้าอย่างไร เพราะเขายืนหันหลังมาทางที่ฉันแอบอยู่ “เพราะว่า...เกรซชอบพี่ค่ะ” เกรซเลื่อนมือขึ้นลูบไล้ท่อนแขนของพี่บิ๊กไบค์อย่างยั่วยวน สายตาของเกรซจ้องมองพี่บิ๊กไบค์อย่างต้องการสื่อบางอย่าง พี่บิ๊กไบค์เลื่อนมือหนาไปกุมมือเกรซที่กำลังลูบไล้ท่อนแขนเขาอยู่ ฉันเผลอกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว “มายืนทำอะไรตรงนี้แก้ม” ต้าหนิงมาจากไหนไม่รู้เรียกทักฉันซะเสียงดัง ทำให้ฉันตกใจเผลอหันไปคว้ามือเพื่อนแล้ววิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวแก้ม! วิ่งหนีอะไร?” ต้าหนิงรั้งมือฉันไว้ก่อนที่เราจะวิ่งมาถึงหน้าห้องเรียน “เปล่าหรอก แก้มแค่กลัวว่าเราจะเข้าเรียนช้าอะ” ฉันแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “ยังเหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบนาทีเนะ ไม่ต้องรีบก็ได้” ต้าหนิงบอกเมื่อเธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ฉันนึกหาคำแก้ตัวไม่ออกจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เพื่อน “แล้วนี่ คงจะตั้งใจเข้าห้องเรียนมากเลยเนอะ กระเป๋าอยู่ไหนล่ะ” ต้าหนิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ตายแล้ว!” ฉันต้องลืมไว้ที่บันไดแน่ ๆ เลย ฉันยกมือขึ้นทึ่งผมตัวเองอย่างหัวเสีย ทำไมถึงสะเพร่าขนาดนี้นะแก้มใส “เดี๋ยวแก้มกลับไปเอาก่อนนะ สงสัยวางไว้ที่บันได” ฉันบอกต้าหนิงพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ “ให้ต้าไปเป็นเพื่อนไหม” ต้าหนิงถาม “ไม่เป็นไร ต้าเข้าห้องก่อนเลย” ฉันหันมาโบกมือให้เพื่อนก่อนจะรีบเดินลงบันไดไปเอากระเป๋าของตัวเอง แต่ว่า... พอเดินมาถึงบันไดที่ฉันยืนแอบอยู่เมื่อกี้กลับไม่เห็นกระเป๋าของตัวเองอย่างที่คิดไว้ ฉันจึงเดินลงมาชะเง้อคอมองไปที่ม้าหินอ่อนเพื่อดูว่าเกรซกลับไปหรือยัง และฉันก็ไม่เห็นใครเลยสักคน ฉันยืนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันตัวกลับมา และในจังหวะนั้นร่างของฉันก็ชนเข้ากับอกแกร่งของใครบางคนเข้าอย่างจัง “ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้าก้มขอโทษเขายกใหญ่ “แอบฟังเขาคุยกันนี่ ไม่ดีเลยนะ” เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ตอบกลับมาก็ทำให้ใจฉันหายวับหล่นร่วงมาอยู่ที่ตาตุ่ม ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองก็เจอกับสายตาเรียบนิ่งของพี่บิ๊กไบค์ “ไม่ได้แอบฟังซะหน่อย” แล้วฉันก็หลบสายตาพี่บิ๊กไบค์อีกครั้ง ก็เล่นจ้องซะขนาดนั้นใครมันจะไปทนได้ล่ะ “แล้วลงมาทำไม” “แก้มลืมของค่ะ” “อันนี้นะเหรอ” พี่บิ๊กไบค์ชูกระเป๋าผ้าสีขาวของฉันขึ้นทำให้ฉันต้องรีบคว้ามันคืนมาแต่ก็ไม่ทันเพราะพี่บิ๊กไบค์ชูมันสูงขึ้นเหนือหัวฉัน “เอาคืนมานะ!” ฉันพยายามยื้อสุดตัวแต่ก็คว้าได้แค่อากาศ “มาคุยกันหน่อยสิ” แล้วพี่บิ๊กไบค์ก็จับมือฉันให้เดินตามเขาไปที่ห้องคณะ เมื่อพี่บิ๊กไบค์เปิดประตู ฉันก็คว้ายืดขอบประตูไว้แน่นเพราะเหตุการณ์ในห้องนี้มันทำให้ฉันกลัวจนไม่กล้าเข้าไปอีก “ไม่ทำอะไรหรอกน่า” พี่บิ๊กไบค์บอกเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของฉัน “คนอย่างพี่ เชื่อได้ด้วยเหรอคะ” ฉันไม่ยอมปล่อยมือจากขอบประตูง่าย ๆ “จะเอาไหม กระเป๋าอะ” พี่บิ๊กไบค์ชูกระเป๋าขึ้นมา แต่ฉันก็ไม่ยอมล่ะมือออกจากขอบประตูอยู่ดี พี่บิ๊กไบค์จึงปล่อยมือฉันแล้วเดินเอากระเป๋าไปวางไว้บนโต๊ะที่เขาเคยจับฉันนอนบนนั้น “งั้นวางไว้ตรงนี้นะ” พูดจบพี่ไบค์ก็เดินออกจากห้องคณะไป และด้วยความที่ไม่ทันได้คิดเอะใจอะไร ฉันก็รีบวิ่งไปคว้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว แกร๊ก! เสียงประตูถูกล็อกทันที พร้อมกับร่างหนายืนขว้างอยู่หน้าประตู ฉันรอบกลืนน้ำลายอย่างเสียงดังเอื้อก เขาคิดจะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย พี่บิ๊กไบค์ย่างสามขุมเข้ามาหาทำให้ฉันต้องก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ และฉันก็เจอกับทางตันเพราะด้านหลังฉันคือโต๊ะ “อย่าเข้ามานะ คราวนี้แก้มไม่ยอมจริง ๆ ด้วย” ฉันพยายามทำหน้าดุให้เหมือนกับว่าฉันเอาจริงแน่ ถ้าเขาคิดจะทำอะไร “ไม่ยอมจริงเหรอ” พี่บิ๊กไบค์ไม่ได้กลัวฉันแม้แต่น้อย เขาเดินเข้ามาชิดตัวพร้อมกับวางมือหนาทั้งสองข้างลงบนโต๊ะเพื่อกักตัวฉันไว้ ฉันจึงยกมือขึ้นยันอกเขาทันทีด้วยสัญชาตญาณ “พี่ไบค์...” ฉันเอ่ยชื่อเขาเสียงอ่อนลงพยายามหันหน้าหลบจมูกโด่งๆ ที่ทำเหมือนพร้อมจะโฉบเข้ามาใกล้ฉันทุกเมื่อ “ปล่อยให้เกรซมาสารภาพกับพี่ได้ไง” “แล้วทำไมจะสารภาพไม่ได้ล่ะ” ฉันไม่กล้าหันหน้าไปคุยกับเขาตรง ๆ เพราะกลัวริมฝีปากหนานั่นเหลือเกิน “ก็พี่ชอบแก้มไง ไม่ได้ชอบเกรซ” “แล้วทำไมไม่บอกไปล่ะ ว่าพี่ไม่ได้ชอบเกรซ” “อยากให้พี่บอกเองจริง ๆ เหรอ” ฉันจำต้องหันหน้ามามองอย่างสงสัยเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงแปลกๆ ของเขา พี่บิ๊กไบค์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ไว้ใจ รอยยิ้มและแววตาเขาเลย “ก็บอกแค่ว่า พี่ไม่ได้ชอบเกรซ ไม่ต้องบอกอะไรมากกว่านั้นค่ะ” ฉันคิดว่า ฉันเดาไม่ผิดหรอก พี่บิ๊กไบค์ต้องคิดจะพูดอะไรมากกว่านี้แน่ “บังเอิญว่า... พี่โกหกไม่เป็นด้วยสิ ถ้าหากเกรซถามเรื่องของเราขึ้นมา พี่เกรงว่าพี่อาจจะเผลอพูดความจริงออกมาก็ได้นะ” “อย่าพูดนะ!” “ถ้าไม่อยากให้พี่พูด ก็... ปิดปากพี่สิ ปิดปากพี่ด้วยปากของแก้ม” พี่บิ๊กไบค์ยักคิ้วให้หนึ่งครั้งพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉันถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อเจอเงื่อนไขที่แสนจะเอาแต่ใจของเขา “อย่างอื่นไม่ได้เหรอ...” ฉันต่อรอง “อื้อ ก็ได้อยู่นะ” “อะไรคะ” ฉันรีบถามอย่างมีความหวัง “ทำให้พี่หมดแรงไง แบบตอนนั้น บนรถ...” พี่บิ๊กไบค์ยิ้มร้ายอย่างผู้เหนือกว่า ฉันถึงกลับอ้าปากค้างไปไม่เป็นเลยทีเดียว ดูเงื่อนไขแต่ล่ะอย่างสิ เปลืองตัวทั้งนั้น “เลือกเอานะ ว่าจะเลือกแบบไหน พี่ต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเกรซจะมาเอาคำตอบจากพี่อีกครั้งตอนเย็น” “คือ...” ฉันก้มหน้ามองมือของตัวเองพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างหนักใจเพราะไม่ว่าจะเลือกอย่างไหนฉันก็เสียเปรียบอยู่ดี “เร็ว ๆ” นี่ก็เร่งจัง ให้เวลาฉันหน่อยก็ไม่ได้ “อย่างแรกค่ะ” ฉันตอบโดยที่ไม่เงยหน้าไปมองเขา “นึกว่าจะเลือกอย่างที่สองซะอีก น่าเสียดายเนอะ ว่าไหม...” “ไม่ค่ะ!” ฉันเงยหน้าขึ้นตอบอย่างหมั่นไส้ “ไม่เสียดายจริงเหรอ” พี่บิ๊กไบค์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าโดนแก้มเนียนของฉันอย่างจงใจ “ไม่เสียดายแน่นอนค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “งั้นก็เริ่มสิ พี่รอไม่ไหวแล้วนะ” พี่บิ๊กไบค์ยิ้มแพรวพราวและจ้องมองฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ฉันหายใจเข้าออกอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือบางขึ้นไปโอบรอบคอหนาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฉันออกแรงรั้งท้ายทอยพี่บิ๊กไบค์ให้โน้มลงมาเล็กน้อย ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อให้ริมฝีปากของฉันแตะริมฝีปากหนาได้ ฉันเม้มริมฝีปากหนาเบา ๆ เพราะฉันไม่เคยจูบใครมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน ทุกครั้งก็มีแต่เขาที่เริ่มก่อน พอตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก็เลยค่อนข้างสะเปะสะปะ ฉันพยายามเลียนแบบการจูบที่พี่บิ๊กไบค์เคยมอบให้ แต่มันก็ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด เมื่อคิดว่าน่าจะพอได้แล้ว ฉันจึงล่ะริมฝีปากออก แต่พี่บิ๊กไบค์กลับไม่ยอมง่ายๆ เขาใช้มือข้างหนึ่งประคองศีรษะของฉันไว้เพื่อไม่ให้ฉันหันหน้าหนีไปไหน พี่บิ๊กไบค์บดจูบฉันกลับมาอย่างเร่าร้อน ลิ้นร้ายปาดปายเข้ามากวาดต้อนเอาทุกอย่างจนฉันหายใจแทบไม่ทัน ฉันพยายามรั้งสติตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ลุ่มหลงไปกับรสจูบแสนหวาน มือบางที่โอบรอบคออยู่เลื่อนลงต่ำขย้ำเสื้อนักศึกษาของเขาอย่างต้องการที่ยึดจับ ฉันพยายามยืนทรงตัวให้ได้ แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน เข่าฉันแทบทรุดเมื่อพี่บิ๊กไบค์ระรัวลิ้นใส่อย่างช่ำชอง สติของฉันค่อยๆเลือนหายไปทีล่ะนิด ไม่อาจต้านทานความร้อนแรงของเขาได้อีกต่อไป พี่บิ๊กไบค์ทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวแรงมาก เขาไม่เว้นจังหวะให้ฉันได้หายใจเลยสักนิด กลายเป็นว่าคนที่ถูกจูบจนปากเปื่อยนั้น คือฉันเอง “อื้อ...” ฉันร้องท้วงอยู่ในลำคอเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ แต่พี่บิ๊กไบค์ก็ไม่ยอมฟัง เขายังรุกเร้าแทรกปลายลิ้นเข้ามาดูดดึงลิ้นเล็กอย่างดุดัน ร่างกายฉันเริ่มอ่อนแรงเหมือนโดนเขาสูบเอาพลังงานไปจนหมด “อื้อ...” เราต่างแลกลิ้นกันไปมาจนริมฝีปากเปียกชุ่มไปหมด ฉันลองสู้เขากลับแต่ก็แพ้รสจูบแสนชำนาญอยู่ดี ลีลาการจูบของพี่บิ๊กไบค์ มันทำให้ฉันแทบคลั่ง และดูเหมือนว่าพี่บิ๊กไบค์เองก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วเหมือนกัน เพราะริมฝีปากหนาเปลี่ยนทิศทางจากริมฝีปากของฉันมาเป็นซอกคอแทน “พะ พี่ไบค์ อื้อ...” ฉันทรุดตัวยืนพิงขอบโต๊ะอย่างหมดแรง ปากก็พยายามเอ่ยพูดเรียกสติร่างสูงตรงหน้า “ยะ หยุดค่ะ” ฉันใช้แรงเฮือกสุดท้ายดันอกแกร่งให้ออกห่างตัวได้สำเร็จ พี่บิ๊กไบค์จ้องหน้าฉันด้วยสายตาอันร้อนแรงพร้อมกับหอบหายใจยกใหญ่ ฉันรีบยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองปอยๆ เพราะรู้สึกว่ามันมีอาการร้อนจัดจนรู้สึกแสบผิวนิดๆ “ไหนแค่จูบไง” เมื่อเริ่มกลับมาหายใจเป็นปกติ ฉันก็ประท้วงขึ้นอย่างนึกโมโห “ถือว่า...เป็นของแถมก็แล้วกันนะ” พี่บิ๊กไบค์ยกยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาถูริมฝีปากตัวเองเบาๆ เขาเม้มปากอยู่สองสามครั้งเหมือนกำลังชิมอะไรอยู่ก่อนจะเอ่ยถาม “รสสตรอว์เบอร์รีเหรอ” เมื่อได้ยินคำถาม มันทำให้ฉันรู้สึกเห่อร้อนขึ้นบนใบหน้า จนต้องก้มหน้าลงมองพื้นอย่างเขินอาย “อร่อยดีนะ” ยังไม่หยุดหยดฉันด้วยคำพูดอีก ฉันนี่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาเลย เขาทำให้ฉันปั่นป่วนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจที่เคยเต้นปกติ ก็เกิดอาการสั่นไหวและเต้นแรงทุกครั้งยามที่ได้อยู่ใกล้เขา “แก้มต้องเข้าเรียนแล้วค่ะ” ฉันหันไปหยิบกระเป๋าเจ้าปัญหาขึ้นมาสะพาย ก่อนจะเดินไปที่ประตู “ให้พี่ส่งเข้าห้องไหม” “ไม่เป็นไรค่ะ” ทำไมชอบพูดจาชวนคิดลึกนักนะ คนอะไรก็ไม่รู้ เจ้าเล่ห์เป็นบ้าเลย เมื่อก่อนก็เห็นนิ่งๆ ไม่คิดเลยว่าพอได้อยู่ใกล้ๆแล้ว พี่บิ๊กไบค์จะหื่นได้ขนาดนี้ เวลาดีก็ดีซะจนใจหาย แต่พอบทจะร้ายก็ร้ายซะจนฉันกลัวหัวหดเลยล่ะ อันตรายจริงๆ หลังเลิกเรียนฉันก็เดินมานั่งที่ม้าหินอ่อนใกล้ๆ กับบริเวณจอดรถ ที่จริงฉันจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่ว่าฉันยังไม่กลับเพราะมานั่งรอพี่ราเรซเป็นเพื่อนต้าหนิงก่อน “จะกลับบ้านหรือยังวันนี้” ต้าหนิงหันมาถามฉันที่กำลังนั่งส่องกระจกดูรอยช้ำที่ซอกคอของตัวเองอยู่ ซึ่งมันก็เริ่มเลือนหายไปแล้วล่ะ “ไม่อยู่บ้านหลายวัน แม่เหนื่อยแย่เลย” สองสามวันมานี้ฉันทำตัวเหลวไหลมากๆ บ้านช่องไม่ยอมกลับ เพราะไม่อาจไปสู้หน้าแม่ได้ถ้าหากร่องรอยพวกนี้ยังไม่จางหาย “เดี๋ยววันนี้ลูกสาวคนสวยก็กลับไปช่วยแล้วนิ” ต้าหนิงเอื้อมมือมาโอบกอดฉันอย่างหยอกล้อ ฉันจึงหันไปยิ้มให้ต้าหนิงอย่างสดใส คงมีแค่ต้าหนิงเท่านั้นแหละที่เข้าใจและไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับคนจนๆ อย่างฉัน “ต้าหนิง” นั่งเล่นกันอยู่สักพักพี่ไผ่ก็เดินเข้ามาเรียกต้าหนิง พี่ไผ่คือแฟนของต้าหนิง ซึ่งน่าจะคบกันมาสามปีแล้วมั้ง ถ้าฉันจำไม่ผิด “พี่ไผ่ มาได้ไงคะ ไม่เห็นโทรบอกกันก่อน” ต้าหนิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เพราะคนที่มาหา ไม่ใช่คนที่ต้าหนิงกำลังรออยู่ “ก็อยากมาเซอร์ไพรส์แฟนไง” "เรียนเสร็จแล้วใช้ไหม" "ค่ะ" "ปะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง" “งั้นต้ากลับก่อนนะแก้ม เจอกันพรุ่งนี้” ต้าหนิงส่งสายตาละห้อยมาให้ ฉันจึงพยักหน้าให้ต้าหนิงอย่างเห็นใจ ถ้าพี่ราเรซออกมาไม่เจอ งานเข้าต้าหนิงแน่ ๆ ฉันไม่รู้จะช่วยเพื่อนอย่างไรดี จึงนั่งรอพี่ราเรซต่อเพื่อที่จะได้บอกความจริงกับพี่เขา เพราะฉันไม่อยากให้ต้าหนิงกับพี่ราเรซต้องมีปัญหากัน ในเมื่อทั้งคู่ใจตรงกันก็ควรที่จะได้คบกันสิ ไม่ใช่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ต้องมีคนเจ็บก็ตาม...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม