“ทีหลังอย่าทำอีกล่ะ” ฉันยื่นมือไปรับกล่องน้ำหอมมาจากเกรซ เมื่อเห็นฉันไม่ว่าอะไร เกรซก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ มันทำให้ฉันอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้ ถ้าหากเกรซสำนึกผิดจริง ฉันก็ไม่ควรคิดอะไรมากใช่ไหม ควรให้อภัยเพราะถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน
“คณะนี้น่าเรียนจังเนอะ” เกรซหันไปมองสถานที่รอบๆ แต่ฉันสังเกตเห็นนะ เหมือนเกรซกำลังมองดูคนมากกว่าสถานที่ซะอีก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ไปเรียนก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิ!” ฉันกำลังจะลุกจากเก้าอี้ เกรซก็ร้องทักขึ้น
“มีอะไร”
“คือว่า...ผู้ชายที่เข้ามาช่วยพี่แก้มวันนั้นน่ะ เป็นแฟนพี่แก้มเหรอ” เกรซเอ่ยถามแววตาเป็นประกาย คงจะชอบพี่บิ๊กไบค์ล่ะสิ
“เปล่าหรอก เขาไม่ใช่แฟนพี่” ฉันตอบตามความจริง และคำตอบของฉันก็ทำให้เกรซมีอาการตื่นเต้นมากกว่าเดิม
“จริงเหรอ” ฉันจึงพยักหน้าให้เกรซหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการยืนยัน
“แล้วเขาเรียนคณะนี้ด้วยหรือเปล่า” ฉันกำลังจะอ้าปากตอบ สายตาก็มองไปเห็นร่างสูงพอดี เขากำลังเดินมาตรงที่ฉันนั่งอยู่ ฉันรีบหลบสายตาไม่อยากให้เขาคิดว่าฉันแอบมองเขาอยู่
“แก้ม” และแล้วพี่บิ๊กไบค์ก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
“สวัสดีค่ะ ชื่อเกรซนะคะ จำกันได้หรือเปล่าเอ่ย...” เกรซทักทายพี่บิ๊กไบค์ด้วยยิ้มหวาน ถ้าหากเป็นผู้ชายทั่วไปเป็นต้องหลงรอยยิ้มแสนหวานของเกรซแน่ ๆ แต่กับพี่บิ๊กไบค์นี่ ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า เพราะพี่บิ๊กไบค์ชำเลืองไปมองหน้าเกรซแวบหนึ่งแล้วก็หันกลับมามองหน้าฉันเหมือนเดิม
“ทำไมยังไม่เข้าเรียน” พี่บิ๊กไบค์ถามฉัน
“กำลังจะไปแล้วค่ะ” ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินขึ้นบันไดทันที เดินขึ้นไปไม่กี่ก้าวฉันก็หยุดแล้วหันไปแอบข้างกำแพงบันได เพราะอยากรู้ว่าเกรซจะคุยอะไรกับพี่บิ๊กไบค์
“อย่าพึ่งไปค่ะ” เกรซคว้าแขนพี่บิ๊กไบค์ไว้ เมื่อเขาทำท่าจะเดินขึ้นตึก
“มีอะไร” พี่บิ๊กไบค์พูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย
“เรื่องวันนั้นนะ เกรซไม่ได้ตั้งใจนะคะ” เกรซทำหน้าเศร้าเหมือนคนจะร้องไห้
“แล้วมาบอกฉันทำไม”
“เกรซไม่อยากให้พี่เข้าใจเกรซผิดค่ะ” เกรซทำใจกล้าเลื่อนมือลงมากุมมือพี่บิ๊กไบค์ไว้พร้อมกับส่งสายตาออดอ้อนสุดฤทธิ์
แล้วทำไมใจของฉันต้องรู้สึกวูบโหวงด้วย เหมือนกับว่ามันกำลังกลัวอะไรสักอย่าง หรือฉันกลัวว่าพี่บิ๊กไบค์จะหลงสายตาออดอ้อนของเกรซงั้นเหรอ ไม่สิ ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนั้นด้วย
“ทำไมถึงไม่อยากให้ฉันเข้าใจผิดล่ะ”
ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าพี่บิ๊กไบค์มีสีหน้าอย่างไร เพราะเขายืนหันหลังมาทางที่ฉันแอบอยู่
“เพราะว่า...เกรซชอบพี่ค่ะ” เกรซเลื่อนมือขึ้นลูบไล้ท่อนแขนของพี่บิ๊กไบค์อย่างยั่วยวน สายตาของเกรซจ้องมองพี่บิ๊กไบค์อย่างต้องการสื่อบางอย่าง พี่บิ๊กไบค์เลื่อนมือหนาไปกุมมือเกรซที่กำลังลูบไล้ท่อนแขนเขาอยู่ ฉันเผลอกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว
“มายืนทำอะไรตรงนี้แก้ม” ต้าหนิงมาจากไหนไม่รู้เรียกทักฉันซะเสียงดัง ทำให้ฉันตกใจเผลอหันไปคว้ามือเพื่อนแล้ววิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวแก้ม! วิ่งหนีอะไร?” ต้าหนิงรั้งมือฉันไว้ก่อนที่เราจะวิ่งมาถึงหน้าห้องเรียน
“เปล่าหรอก แก้มแค่กลัวว่าเราจะเข้าเรียนช้าอะ” ฉันแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
“ยังเหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบนาทีเนะ ไม่ต้องรีบก็ได้” ต้าหนิงบอกเมื่อเธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ฉันนึกหาคำแก้ตัวไม่ออกจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เพื่อน
“แล้วนี่ คงจะตั้งใจเข้าห้องเรียนมากเลยเนอะ กระเป๋าอยู่ไหนล่ะ” ต้าหนิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ตายแล้ว!” ฉันต้องลืมไว้ที่บันไดแน่ ๆ เลย ฉันยกมือขึ้นทึ่งผมตัวเองอย่างหัวเสีย ทำไมถึงสะเพร่าขนาดนี้นะแก้มใส
“เดี๋ยวแก้มกลับไปเอาก่อนนะ สงสัยวางไว้ที่บันได” ฉันบอกต้าหนิงพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ
“ให้ต้าไปเป็นเพื่อนไหม” ต้าหนิงถาม
“ไม่เป็นไร ต้าเข้าห้องก่อนเลย” ฉันหันมาโบกมือให้เพื่อนก่อนจะรีบเดินลงบันไดไปเอากระเป๋าของตัวเอง
แต่ว่า... พอเดินมาถึงบันไดที่ฉันยืนแอบอยู่เมื่อกี้กลับไม่เห็นกระเป๋าของตัวเองอย่างที่คิดไว้ ฉันจึงเดินลงมาชะเง้อคอมองไปที่ม้าหินอ่อนเพื่อดูว่าเกรซกลับไปหรือยัง และฉันก็ไม่เห็นใครเลยสักคน ฉันยืนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันตัวกลับมา และในจังหวะนั้นร่างของฉันก็ชนเข้ากับอกแกร่งของใครบางคนเข้าอย่างจัง
“ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้าก้มขอโทษเขายกใหญ่
“แอบฟังเขาคุยกันนี่ ไม่ดีเลยนะ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ตอบกลับมาก็ทำให้ใจฉันหายวับหล่นร่วงมาอยู่ที่ตาตุ่ม ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองก็เจอกับสายตาเรียบนิ่งของพี่บิ๊กไบค์
“ไม่ได้แอบฟังซะหน่อย” แล้วฉันก็หลบสายตาพี่บิ๊กไบค์อีกครั้ง ก็เล่นจ้องซะขนาดนั้นใครมันจะไปทนได้ล่ะ
“แล้วลงมาทำไม”
“แก้มลืมของค่ะ”
“อันนี้นะเหรอ”
พี่บิ๊กไบค์ชูกระเป๋าผ้าสีขาวของฉันขึ้นทำให้ฉันต้องรีบคว้ามันคืนมาแต่ก็ไม่ทันเพราะพี่บิ๊กไบค์ชูมันสูงขึ้นเหนือหัวฉัน
“เอาคืนมานะ!” ฉันพยายามยื้อสุดตัวแต่ก็คว้าได้แค่อากาศ
“มาคุยกันหน่อยสิ” แล้วพี่บิ๊กไบค์ก็จับมือฉันให้เดินตามเขาไปที่ห้องคณะ เมื่อพี่บิ๊กไบค์เปิดประตู ฉันก็คว้ายืดขอบประตูไว้แน่นเพราะเหตุการณ์ในห้องนี้มันทำให้ฉันกลัวจนไม่กล้าเข้าไปอีก
“ไม่ทำอะไรหรอกน่า” พี่บิ๊กไบค์บอกเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของฉัน
“คนอย่างพี่ เชื่อได้ด้วยเหรอคะ” ฉันไม่ยอมปล่อยมือจากขอบประตูง่าย ๆ
“จะเอาไหม กระเป๋าอะ” พี่บิ๊กไบค์ชูกระเป๋าขึ้นมา แต่ฉันก็ไม่ยอมล่ะมือออกจากขอบประตูอยู่ดี พี่บิ๊กไบค์จึงปล่อยมือฉันแล้วเดินเอากระเป๋าไปวางไว้บนโต๊ะที่เขาเคยจับฉันนอนบนนั้น
“งั้นวางไว้ตรงนี้นะ” พูดจบพี่ไบค์ก็เดินออกจากห้องคณะไป และด้วยความที่ไม่ทันได้คิดเอะใจอะไร ฉันก็รีบวิ่งไปคว้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว
แกร๊ก! เสียงประตูถูกล็อกทันที พร้อมกับร่างหนายืนขว้างอยู่หน้าประตู ฉันรอบกลืนน้ำลายอย่างเสียงดังเอื้อก เขาคิดจะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย
พี่บิ๊กไบค์ย่างสามขุมเข้ามาหาทำให้ฉันต้องก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ และฉันก็เจอกับทางตันเพราะด้านหลังฉันคือโต๊ะ
“อย่าเข้ามานะ คราวนี้แก้มไม่ยอมจริง ๆ ด้วย” ฉันพยายามทำหน้าดุให้เหมือนกับว่าฉันเอาจริงแน่ ถ้าเขาคิดจะทำอะไร
“ไม่ยอมจริงเหรอ” พี่บิ๊กไบค์ไม่ได้กลัวฉันแม้แต่น้อย เขาเดินเข้ามาชิดตัวพร้อมกับวางมือหนาทั้งสองข้างลงบนโต๊ะเพื่อกักตัวฉันไว้ ฉันจึงยกมือขึ้นยันอกเขาทันทีด้วยสัญชาตญาณ
“พี่ไบค์...” ฉันเอ่ยชื่อเขาเสียงอ่อนลงพยายามหันหน้าหลบจมูกโด่งๆ ที่ทำเหมือนพร้อมจะโฉบเข้ามาใกล้ฉันทุกเมื่อ
“ปล่อยให้เกรซมาสารภาพกับพี่ได้ไง”
“แล้วทำไมจะสารภาพไม่ได้ล่ะ” ฉันไม่กล้าหันหน้าไปคุยกับเขาตรง ๆ เพราะกลัวริมฝีปากหนานั่นเหลือเกิน
“ก็พี่ชอบแก้มไง ไม่ได้ชอบเกรซ”
“แล้วทำไมไม่บอกไปล่ะ ว่าพี่ไม่ได้ชอบเกรซ”
“อยากให้พี่บอกเองจริง ๆ เหรอ” ฉันจำต้องหันหน้ามามองอย่างสงสัยเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงแปลกๆ ของเขา พี่บิ๊กไบค์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ไว้ใจ รอยยิ้มและแววตาเขาเลย
“ก็บอกแค่ว่า พี่ไม่ได้ชอบเกรซ ไม่ต้องบอกอะไรมากกว่านั้นค่ะ” ฉันคิดว่า ฉันเดาไม่ผิดหรอก พี่บิ๊กไบค์ต้องคิดจะพูดอะไรมากกว่านี้แน่
“บังเอิญว่า... พี่โกหกไม่เป็นด้วยสิ ถ้าหากเกรซถามเรื่องของเราขึ้นมา พี่เกรงว่าพี่อาจจะเผลอพูดความจริงออกมาก็ได้นะ”
“อย่าพูดนะ!”
“ถ้าไม่อยากให้พี่พูด ก็... ปิดปากพี่สิ ปิดปากพี่ด้วยปากของแก้ม” พี่บิ๊กไบค์ยักคิ้วให้หนึ่งครั้งพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ฉันถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อเจอเงื่อนไขที่แสนจะเอาแต่ใจของเขา
“อย่างอื่นไม่ได้เหรอ...” ฉันต่อรอง
“อื้อ ก็ได้อยู่นะ”
“อะไรคะ” ฉันรีบถามอย่างมีความหวัง
“ทำให้พี่หมดแรงไง แบบตอนนั้น บนรถ...” พี่บิ๊กไบค์ยิ้มร้ายอย่างผู้เหนือกว่า ฉันถึงกลับอ้าปากค้างไปไม่เป็นเลยทีเดียว ดูเงื่อนไขแต่ล่ะอย่างสิ เปลืองตัวทั้งนั้น
“เลือกเอานะ ว่าจะเลือกแบบไหน พี่ต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเกรซจะมาเอาคำตอบจากพี่อีกครั้งตอนเย็น”
“คือ...” ฉันก้มหน้ามองมือของตัวเองพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างหนักใจเพราะไม่ว่าจะเลือกอย่างไหนฉันก็เสียเปรียบอยู่ดี
“เร็ว ๆ” นี่ก็เร่งจัง ให้เวลาฉันหน่อยก็ไม่ได้
“อย่างแรกค่ะ” ฉันตอบโดยที่ไม่เงยหน้าไปมองเขา
“นึกว่าจะเลือกอย่างที่สองซะอีก น่าเสียดายเนอะ ว่าไหม...”
“ไม่ค่ะ!” ฉันเงยหน้าขึ้นตอบอย่างหมั่นไส้
“ไม่เสียดายจริงเหรอ” พี่บิ๊กไบค์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าโดนแก้มเนียนของฉันอย่างจงใจ
“ไม่เสียดายแน่นอนค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“งั้นก็เริ่มสิ พี่รอไม่ไหวแล้วนะ” พี่บิ๊กไบค์ยิ้มแพรวพราวและจ้องมองฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
ฉันหายใจเข้าออกอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือบางขึ้นไปโอบรอบคอหนาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฉันออกแรงรั้งท้ายทอยพี่บิ๊กไบค์ให้โน้มลงมาเล็กน้อย ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อให้ริมฝีปากของฉันแตะริมฝีปากหนาได้
ฉันเม้มริมฝีปากหนาเบา ๆ เพราะฉันไม่เคยจูบใครมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน ทุกครั้งก็มีแต่เขาที่เริ่มก่อน พอตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก็เลยค่อนข้างสะเปะสะปะ ฉันพยายามเลียนแบบการจูบที่พี่บิ๊กไบค์เคยมอบให้ แต่มันก็ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด
เมื่อคิดว่าน่าจะพอได้แล้ว ฉันจึงล่ะริมฝีปากออก แต่พี่บิ๊กไบค์กลับไม่ยอมง่ายๆ เขาใช้มือข้างหนึ่งประคองศีรษะของฉันไว้เพื่อไม่ให้ฉันหันหน้าหนีไปไหน พี่บิ๊กไบค์บดจูบฉันกลับมาอย่างเร่าร้อน ลิ้นร้ายปาดปายเข้ามากวาดต้อนเอาทุกอย่างจนฉันหายใจแทบไม่ทัน ฉันพยายามรั้งสติตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ลุ่มหลงไปกับรสจูบแสนหวาน มือบางที่โอบรอบคออยู่เลื่อนลงต่ำขย้ำเสื้อนักศึกษาของเขาอย่างต้องการที่ยึดจับ ฉันพยายามยืนทรงตัวให้ได้ แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน เข่าฉันแทบทรุดเมื่อพี่บิ๊กไบค์ระรัวลิ้นใส่อย่างช่ำชอง สติของฉันค่อยๆเลือนหายไปทีล่ะนิด ไม่อาจต้านทานความร้อนแรงของเขาได้อีกต่อไป
พี่บิ๊กไบค์ทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวแรงมาก เขาไม่เว้นจังหวะให้ฉันได้หายใจเลยสักนิด กลายเป็นว่าคนที่ถูกจูบจนปากเปื่อยนั้น คือฉันเอง
“อื้อ...” ฉันร้องท้วงอยู่ในลำคอเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ แต่พี่บิ๊กไบค์ก็ไม่ยอมฟัง เขายังรุกเร้าแทรกปลายลิ้นเข้ามาดูดดึงลิ้นเล็กอย่างดุดัน ร่างกายฉันเริ่มอ่อนแรงเหมือนโดนเขาสูบเอาพลังงานไปจนหมด
“อื้อ...” เราต่างแลกลิ้นกันไปมาจนริมฝีปากเปียกชุ่มไปหมด ฉันลองสู้เขากลับแต่ก็แพ้รสจูบแสนชำนาญอยู่ดี ลีลาการจูบของพี่บิ๊กไบค์ มันทำให้ฉันแทบคลั่ง และดูเหมือนว่าพี่บิ๊กไบค์เองก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วเหมือนกัน เพราะริมฝีปากหนาเปลี่ยนทิศทางจากริมฝีปากของฉันมาเป็นซอกคอแทน
“พะ พี่ไบค์ อื้อ...” ฉันทรุดตัวยืนพิงขอบโต๊ะอย่างหมดแรง ปากก็พยายามเอ่ยพูดเรียกสติร่างสูงตรงหน้า
“ยะ หยุดค่ะ” ฉันใช้แรงเฮือกสุดท้ายดันอกแกร่งให้ออกห่างตัวได้สำเร็จ พี่บิ๊กไบค์จ้องหน้าฉันด้วยสายตาอันร้อนแรงพร้อมกับหอบหายใจยกใหญ่ ฉันรีบยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองปอยๆ เพราะรู้สึกว่ามันมีอาการร้อนจัดจนรู้สึกแสบผิวนิดๆ
“ไหนแค่จูบไง” เมื่อเริ่มกลับมาหายใจเป็นปกติ ฉันก็ประท้วงขึ้นอย่างนึกโมโห
“ถือว่า...เป็นของแถมก็แล้วกันนะ” พี่บิ๊กไบค์ยกยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาถูริมฝีปากตัวเองเบาๆ เขาเม้มปากอยู่สองสามครั้งเหมือนกำลังชิมอะไรอยู่ก่อนจะเอ่ยถาม
“รสสตรอว์เบอร์รีเหรอ” เมื่อได้ยินคำถาม มันทำให้ฉันรู้สึกเห่อร้อนขึ้นบนใบหน้า จนต้องก้มหน้าลงมองพื้นอย่างเขินอาย
“อร่อยดีนะ” ยังไม่หยุดหยดฉันด้วยคำพูดอีก ฉันนี่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาเลย เขาทำให้ฉันปั่นป่วนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจที่เคยเต้นปกติ ก็เกิดอาการสั่นไหวและเต้นแรงทุกครั้งยามที่ได้อยู่ใกล้เขา
“แก้มต้องเข้าเรียนแล้วค่ะ” ฉันหันไปหยิบกระเป๋าเจ้าปัญหาขึ้นมาสะพาย ก่อนจะเดินไปที่ประตู
“ให้พี่ส่งเข้าห้องไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ทำไมชอบพูดจาชวนคิดลึกนักนะ คนอะไรก็ไม่รู้ เจ้าเล่ห์เป็นบ้าเลย เมื่อก่อนก็เห็นนิ่งๆ ไม่คิดเลยว่าพอได้อยู่ใกล้ๆแล้ว พี่บิ๊กไบค์จะหื่นได้ขนาดนี้ เวลาดีก็ดีซะจนใจหาย แต่พอบทจะร้ายก็ร้ายซะจนฉันกลัวหัวหดเลยล่ะ อันตรายจริงๆ
หลังเลิกเรียนฉันก็เดินมานั่งที่ม้าหินอ่อนใกล้ๆ กับบริเวณจอดรถ ที่จริงฉันจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่ว่าฉันยังไม่กลับเพราะมานั่งรอพี่ราเรซเป็นเพื่อนต้าหนิงก่อน
“จะกลับบ้านหรือยังวันนี้” ต้าหนิงหันมาถามฉันที่กำลังนั่งส่องกระจกดูรอยช้ำที่ซอกคอของตัวเองอยู่ ซึ่งมันก็เริ่มเลือนหายไปแล้วล่ะ
“ไม่อยู่บ้านหลายวัน แม่เหนื่อยแย่เลย” สองสามวันมานี้ฉันทำตัวเหลวไหลมากๆ บ้านช่องไม่ยอมกลับ เพราะไม่อาจไปสู้หน้าแม่ได้ถ้าหากร่องรอยพวกนี้ยังไม่จางหาย
“เดี๋ยววันนี้ลูกสาวคนสวยก็กลับไปช่วยแล้วนิ” ต้าหนิงเอื้อมมือมาโอบกอดฉันอย่างหยอกล้อ ฉันจึงหันไปยิ้มให้ต้าหนิงอย่างสดใส คงมีแค่ต้าหนิงเท่านั้นแหละที่เข้าใจและไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับคนจนๆ อย่างฉัน
“ต้าหนิง” นั่งเล่นกันอยู่สักพักพี่ไผ่ก็เดินเข้ามาเรียกต้าหนิง พี่ไผ่คือแฟนของต้าหนิง ซึ่งน่าจะคบกันมาสามปีแล้วมั้ง ถ้าฉันจำไม่ผิด
“พี่ไผ่ มาได้ไงคะ ไม่เห็นโทรบอกกันก่อน” ต้าหนิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เพราะคนที่มาหา ไม่ใช่คนที่ต้าหนิงกำลังรออยู่
“ก็อยากมาเซอร์ไพรส์แฟนไง”
"เรียนเสร็จแล้วใช้ไหม"
"ค่ะ"
"ปะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
“งั้นต้ากลับก่อนนะแก้ม เจอกันพรุ่งนี้”
ต้าหนิงส่งสายตาละห้อยมาให้ ฉันจึงพยักหน้าให้ต้าหนิงอย่างเห็นใจ ถ้าพี่ราเรซออกมาไม่เจอ งานเข้าต้าหนิงแน่ ๆ ฉันไม่รู้จะช่วยเพื่อนอย่างไรดี จึงนั่งรอพี่ราเรซต่อเพื่อที่จะได้บอกความจริงกับพี่เขา เพราะฉันไม่อยากให้ต้าหนิงกับพี่ราเรซต้องมีปัญหากัน ในเมื่อทั้งคู่ใจตรงกันก็ควรที่จะได้คบกันสิ ไม่ใช่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ต้องมีคนเจ็บก็ตาม...