“เดี๋ยวผมไปดูหน้าบ้านหน่อยนะครับ” ปกรณ์พูดราวกับรู้ว่าคนป่วยคิดอะไรอยู่ เขาวิ่งเหยาะๆไปที่หน้าบ้าน ชานนท์ค่อยๆ นั่งลงที่รถเข็นแล้วบังคับรถให้เคลื่อนมาหน้าบ้าน
“น้องเตย” ปกรณ์ทักแล้วช่วยเอาจักรยานขึ้นก่อนจะประคองคนตัวเล็กขึ้นยืน
“พี่...พี่..”
“ปกรณ์ครับ ชื่อพี่สั้นเรียกปกรณ์นั้นแหละ” เขายิ้มเห็นฟันเรียงกันเป็นระเบียบ “ยืนไหวไหมเนี้ย”
“ไหวค่ะไหว โอ๊ย!” หญิงสาวร้องเสียงหลง เพราะเจ็บหัวเข่า
“ถลอกแบบนี้ มีเศษหินฝังหรือเปล่าไม่รู้ เอางี้เข้ามาในบ้านก่อน พี่จะทำแผลให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“อย่าเถียงคนที่ทำงานดูแลคนเจ็บคนป่วยนะครับ” ปกรณ์หัวเราะแล้วช้อนตัวณิชาอุ้มเข้ามาในบ้าน
ณิชาทำตัวไม่ถูก เกิดมายังไม่เคยถูกผู้ชายอุ้มแบบนี้เลย หน้าตาร้อนผ่าวไปหมด ปกรณ์อุ้มหญิงสาวมานั่งในบ้าน ชานนท์เข้ามาดู มองเห็นแผลที่หัวเข่ากับเนื้อตัวที่มีฝุ่นดินเกาะตามเนื้อตัวของหญิงสาวตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือสงสารดี
“จักรยานล้ม” เธอพูดขึ้นเหมือนรู้ว่าเขาจะถามอะไร
“ฮืม”
เจอกันแต่ละที รู้สึกเหมือนเธอจะมาในสภาพไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ครั้งแรกก็ใบไม้ใบหญ้าติดตามตัวเสมอ เพียงแต่คราวนี้เธอใส่ชุดนักศึกษา กระโปรงพลีท(จีบ) ยาวคลุมเข่าและรองเท้าผ้าใบ ดูน่ารักไปอีกแบบ แต่ก็อยู่ในสภาพหกล้มคลุกฝุ่นมา ปกรณ์เดินเร็วๆไปหยิบกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลมาแล้วนั่งลงที่พื้นให้หญิงสาวนั่งที่เก้าอี้ จับขาเธอเบาๆ แล้วล้างแผลให้อย่างชำนาญ ณิชาทั้งเขินทั้งอายในเวลาเดียวกัน แต่น้ำหนักจะอยู่ที่ความอายมากกว่าเขิน
“จะหัวเราะก็ได้ เดี๋ยวปวดท้องแย่”
ณิชาบ่นให้คนที่นั่งมองนิ่งๆ แม้จะไม่หัวเราะออกมาแต่เขาก็ยิ้มแบบคนกลั้นหัวเราะ เท่านั้นแหละ ชานนท์แหงนหน้าหัวเราะ ปกรณ์ส่ายหน้าไปมาแล้วใช้คีบหนีบเอาเศษหินที่ติดอยู่ออกมาที่ละชิ้น
“ไม่เคยเห็นคนจักรยานล้มหรือไงนะ”
“เคยซิแต่ตอนเด็กๆหรอกนะ”
“อ๊ะ! โตแล้วก็ล้มได้ ลองดูไหม”
“ได้ๆ เดี๋ยวผมยืนได้เมื่อไหร่จะปั่นจักรยานดูว่าจะล้มเป็นลูกหมาเหมือนคุณหรือเปล่า”
“คุณชานนท์!”
“ดีใจที่จำชื่อผมได้เสียที” เขาหัวเราะ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ไปสอบมาแล้วเหรอ”
“ค่ะ สอบกลางเทอม เดือนมีนาสอบปลายภาคก็เรียนจบแล้ว”
“คิดเรื่องงานหรือยัง”
“ก็คิดอยู่นะ แต่ตอนนี้อยากสอบให้เสร็จก่อนค่ะ” เธอทำเสียงเหนื่อยๆ ไม่ใช่ไม่อยากทำงานแต่ไม่อยากจากบ้านจากแม่ไปต่างหาก
“ถ้าไงจะช่วยฝากงานให้เอาไหม?”
“หือ?” หญิงสาวมองหน้าเขาแบบงงๆปนไม่เชื่อ
“เห็นนั่งบนรถเข็นแบบนี้ผมก็รู้จักคนเยอะนะ” ฝากทำงานบริษัทของพ่อก็ได้สบายอยู่แล้ว
“เตยไม่ใช่คนเลือกงาน งานหนักงานเบาเตยไม่หวั่น แต่เตยเป็นห่วงพ่อกับแม่อยากอยู่ใกล้ๆท่านค่ะ”
“เอาเถอะ ยังมีเวลา ถ้าเปลี่ยนใจอยากไปทำงานที่กรุงเทพฯก็บอกนะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดกับเขาเบาๆ นาทีต่อปกรณ์ก็ทำแผลให้เธอเสร็จพอดี เธอจึงเอ่ยกับคนใจดี “ขอบคุณค่ะพี่ปกรณ์”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”
“เตยกลับเองได้ค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืน แต่เพราะเจ็บแผลเลยตัวเซนิดๆ มือเรียวคว้าท่อนแขนของปกรณ์ไว้เพื่อทรงตัว
“เห็นไหม แผลมันตึงๆ อยู่ใช่ไหมล่ะ พี่ไปส่งนะดีแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ” เธอพูดเสียงอ่อย แล้วหันไปมองทางคนที่นั่งบนรถเข็น “กลับก่อนนะคะ”
“ฮืม”
ชานนท์พูดได้แค่นั้น มองดูปกรณ์ผยุงคนตัวเล็กเดินออกไป เขามองขาตัวเอง ถ้าเขายืนได้ ถ้าเขาเดินได้อีกครั้ง คนที่จะพยุงเธอ อุ้มเธอ ต้องเป็นเขา
น่าแปลกที่จู่ๆเขาก็รู้สึกแบบนี้ ไม่ได้ชอบอะไรเด็กคนนั้น เพียงแค่อยากทำอะไรๆได้ด้วยตัวเอง
หลังจากวันนั้น ชานนท์ฝึกเดินตามที่ปกรณ์ทำตารางให้อย่างเคร่งครัด เขาไม่บ่นหรือโวยวายอีก ได้แต่พยายามและอดทนต่อความเจ็บปวดของตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วเขารู้ว่าทุกอย่างมันอยู่ที่จิตใจของเขาทั้งนั้น
“เชื้อโรคถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว แต่ที่ยังเดินไม่ได้เป็นเพราะสภาวะจิตใจที่ยังไม่มั่นคงเอง กลับมาอยู่บ้านใกล้ญาติพี่น้องจะช่วยได้มากยิ่งขึ้น”
หมอที่รักษาเขาพูดแบบนั้นทำให้ชานนท์ต้องกลับเมืองไทย และเมื่อกลับมา เขาก็เจอเพื่อนฝูงมากมาย คนที่เคยกินเที่ยวใช้เงินของราวกับกระเป๋าสตางค์ตัวเอง แต่พอถึงวันที่เขาเจ็บป่วยกลับได้เพียงเสียงหัวเราะเยาะและท่าทางสมเพชเท่านั้น
แปลกดีที่ผู้หญิงคนนั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย อาจเพราะเธอไม่เคยถามถึงอาการเจ็บป่วยของเขา และทำราวกับเขาไม่ได้เป็นคนป่วย การหลุดปากท้าตีท้าต่อยของเธอทำให้เขานึกสนุก ยิ่งเห็นเธอเจ็บเขายิ่งอยากปกป้องใครสักคน หลังจากได้กำลังใจดี ร่างกายของชานนท์พัฒนาได้ขึ้นตามลำดับ ปกรณ์โทรศัพท์ไปรายงานคนที่บ้านของเขา พ่อกับแม่ถึงกับดีใจมากจนน้ำตาไหล
“อีกไม่นานคุณชานนท์ต้องกลับมาเดินได้อย่างแน่นอนครับ”
ปกรณ์รับปากด้วยความมั่นใจ แล้ววางโทรศัพท์เดินกลับมาดูคนป่วยที่ฝึกเดินโดยการจับราวไต่ไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ชานนท์พยายามลุกเดินด้วยตนเอง ไม่ค่อยพึ่งพารถเข็นเหมือนก่อน แต่เขาคอยปรามให้ค่อยเป็นค่อยไป