คุณหญิงลินดาผลักร่างบางไปชนอ่างล้างมือ บีบแก้มแดงปลั่งของอดีตลูกเลี้ยงเข้าหากันแน่น ส่วนมืออีกข้างก็จิกเล็บลงไปบนต้นแขนขาวเนียนของของพิมพ์นารา แล้วกระซิบขู่เสียงเย็นยะเยือก
“แกลองไปป่าวประกาศบอกนักข่าวสิ ฉันจะส่งแกไปเยือนยมโลกด้วยมือของฉันเอง”
ทั้งๆ ที่หวาดกลัวกับคำขู่ของคุณหญิงลินดาจนตัวสั่น แต่พิมพ์นาราก็ยังโต้กลับเสียงสั่น “คุณหญิงไม่กล้าหรอก หากคุณหญิงฆ่าพิม คุณหญิงก็ต้องติดคุก”
คุณหญิงลินดาคลี่ยิ้มเย็นตรงมุมปาก ก่อนจะเอ่ยตอบให้พิมพ์นาราได้ตัวชาขนลุกซู่เพราะความสะพรึงกลัว
“แกลืมไปแล้วหรือนังพิม ว่าฉันเป็นใคร การฆ่าแกไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเรื่องที่ว่าจะติดคุกหรือไม่นั้น แกก็ไม่ต้องกลัว คงไม่มีใครสนใจหรอก หากคนรับใช้ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีแม้กระทั่งญาติพี่น้อง จะหายไปจากโลกใบนี้ และก่อนที่ฉันจะส่งแกไปเยือนยมโลก ฉันจะให้ลูกน้องของท่านนายพลส่งแกไปขึ้นสวรรค์ก่อน เอาสักสิบคนเป็นยังไงนังพิม”
พิมพ์นาราเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ถูกขู่ฆ่านั้นไม่เท่าไร แต่ถูกขู่ด้วยประโยคหลังนี่สิที่ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่นแทบลืมหายใจเลยทีเดียว
“ทำไมคุณหญิงถึงได้ใจร้ายกับพิมนักล่ะคะ”
คำถามที่หลุดออกมาจากเรียวปากสีกุหลาบ ทำเอาคุณหญิงลินดาอึ้งหน้าซีดไปชั่วขณะ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“จำไว้นะนังพิม ฉันเอาแกมาชุบเลี้ยงได้ ฉันก็ทำให้แกหายไปจากโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน หากสำนึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ฉันอุตส่าห์หาให้แกกินมาตลอดทั้งยี่สิบสองปี ก็อย่าได้ปากโป้งสะเออะไปบอกความจริงกับนักข่าว และถ้าหากแกไม่เชื่อคำสั่งของฉันๆ จะทำให้แกมีผัวทีเดียวสิบคนรวด”
สั่งกำชับแกมเอ่ยขู่ไปเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงลินดาก็ผลักร่างบางออกห่าง แล้วสะบัดหน้าเดินหนีออกไปจากห้องน้ำ
ทันทีที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ร่างบางก็รูดลงไปกองกับพื้นห้องน้ำ พิมพ์นาราปล่อยให้หยาดน้ำตาอุ่นไหลรินเป็นทางยาวโดยปราศจากเสียงร้องไห้ ในใจนั้นนึกถึงบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ในเมื่อให้เธอเกิดมาแล้วทำไมไม่เอาเธอไปเลี้ยงด้วย เธอยอมอยู่อย่างคนจน อดมื้อกินมื้อ ดีกว่าต้องมาอยู่เป็นขี้ข้าให้กับคุณหญิงลินดาและลูกสาว
หญิงสาวร้องไห้ให้กับโชคชะตาอันเลวร้ายของตนเองจนหนำใจ ก่อนจะค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืน จ้องมองใบหน้าที่บวมช้ำเพราะถูกตบผ่านกระจกเงาบานใหญ่ แล้วพึมพำออกมาเบาๆ อย่างให้กำลังใจตนเอง
“สักวันพิมพ์นารา สักวันเธอจะเข้มแข็ง ยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคนเหล่านี้ และเมื่อวันนั้นมาถึง หัวใจของเธอจะโบยบินออกไปอย่างสง่างาม”
คนที่ทำให้รามิลต้องฆ่าตัวตายคือพี่พิมพ์นารา พี่สาวของลิลลี่เองค่ะ
“พิมพ์นารา!”
เพล้ง!!!
สิ้นเสียงพึมพำเย็นยะเยือกราวกับหลุดมาจากขุมนรก แก้วบรั่นดีในมือก็ถูกขว้างไปกระทบกับกำแพงบ้านจนแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน ดวงตาสีสนิมแข็งกร้าวลุกวาบด้วยไฟโทสะที่ไม่มีทางมอดลงได้ หากไม่ได้ตอบแทนความเลวของหญิงสาวที่ชื่อพิมพ์นารา ที่ได้ทำไว้กับนายหัวรามิล
“ไปหาที่อยู่ของนังผู้หญิงสองคนนี้มา”
ราเมศวร์ กุลธร นายหัวใหญ่แห่งเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ได้เปล่งวาจาสั่งอย่างทรงอำนาจ สุ้มเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่แล่นพล่านทั่วเรือนกาย จนแทบทนรอเวลาในการแก้แค้นไม่ไหว ดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีจ้องเขม็งยังใบหน้าของคนที่ทำให้นายหัวเล็กต้องตาย!
“ได้ครับนายหัว ผมจะจัดการหาที่อยู่ของพวกมันให้เร็วที่สุด”
ขณะที่รับคำสั่ง ดวงตาของผู้ที่เป็นลูกน้องคนสนิทของนายหัวใหญ่แห่งโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ก็จ้องมองที่ใบหน้างามๆ ของหญิงสาวที่ชื่อพิมพ์นาราผ่านหน้าจอทีวี ซึ่งกำลังเสนอข่าวการแถลงข่าวของนางเอกสาวชื่อดังอยู่
“นายหัวคิดว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้นายหัวรามิลต้องเอ่อ...จากพวกเราไป”
กวินต์ ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์หยุดชะงักคำพูดที่จะทำให้นายหัวใหญ่สะเทือนใจไปมากกว่านี้ แต่กระนั้นเขาก็อยากรู้ว่าเป้าหมายเบอร์หนึ่งของพวกตนคือใคร ระหว่างนางเอกสาวที่ดูสวยเจนโลกกับหญิงสาวอีกคนที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ กัน แต่ไม่ว่าใครจะเป็นเป้าหมายหลักหรือเป้าหมายรอง คนงานทั่วทั้งเกาะก็พร้อมที่จะแก้แค้นให้นายหัวรามิล
นายหัวผู้สูญเสียน้องชายสุดที่รักอย่างไม่มีวันได้กลับคืน เผยความเจ็บปวดให้เห็นผ่านดวงตาสีสนิมแค่เพียงชั่ววูบเดียวกับประโยคท้ายของลูกน้อง ก่อนที่เจ้าตัวจะปรับแววตาให้เป็นปกติราบเรียบยิ่งกว่าทะเลไร้คลื่น
“ทั้งสองคน! นายก็ได้ยินเต็มสองหูว่าพวกมันยอมรับว่าเคยเป็นคนรักของรามิล สั่งให้คนงานเตรียมนรกไว้ต้อนรับขับสู้นังผู้หญิงทั้งสองคนนี้ด้วย”
นายหัวราเมศวร์สั่งงานเสียงเย็นไม่ต่างจากครั้งแรก ดวงตาคมกริบยังคงจับจ้องมองเหยื่อสาวทั้งสองคนเขม็ง
“ครับนายหัว ผมและคนงานทั้งเกาะพร้อมอยู่แล้ว ขอเพียงแค่นายหัวออกคำสั่ง พวกเราก็พร้อมที่จะต้อนรับนังผู้หญิงทั้งสองคนนี้”
ขณะรับคำ กวินต์ก็ทุบมือลงไปบนพื้นแข็งๆ โดยไม่กลัวเจ็บ ความแค้นที่มีต่อคนที่ทำให้นายหัวเล็กต้องจากพวกเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ มันร้อนรุ่มอัดแน่นอยู่ในอก อยากจะแก้แค้นไม่ต่างจากนายหัวราเมศวร์
“ไปจัดการซะกวินต์ เราต้องการที่อยู่ของพวกมันภายในวันนี้”
“ครับนายหัว ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
กวินต์ลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่น แต่พอก้าวไปถึงหน้าประตูห้อง ก็หยุดชะงักหันมามองนายหัวด้วยความเป็นห่วง สีหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความไม่แน่ใจว่าตนเองควรปล่อยให้นายหัวอยู่คนเดียวหรือเปล่า
“ไปซะกรินต์ ไม่ต้องเป็นห่วงเรา ยังไงเราก็ไม่มีทางคิดสั้นเหมือนรามิลอย่างแน่นอน”
นายหัวราเมศวร์เอ่ยตัดสินใจแทนลูกน้อง ซึ่งยังลังเลอยู่หน้าห้อง น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นติดเศร้าสร้อยจนคนที่ได้ยินถึงกับใจหาย
“ไปเถอะกวินต์ เราอยู่คนเดียวได้”
นายหัวราเมศวร์เอ่ยปากไล่ลูกน้องอีกครั้ง พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปพ้นจากห้องนั่งเล่นแล้ว ก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเอง ความรู้สึกเสียใ จความผิดหวังที่กักเก็บไว้ไม่ให้ใครได้เห็น ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวอย่างหักห้ามไว้ไม่อยู่ ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นจากโซฟา ตรงไปที่หยิบภาพถ่ายของผู้ที่ล่วงลับขึ้นมาดู นิ้วแข็งแกร่งลูบเบาๆ ตรงใบหน้าของน้องชายที่แย้มยิ้มสดใสในวันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท
“มิล...พี่ขอโทษ พี่ไม่ควรพูดกับมิลแบบนั้น”
นายหัวราเมศวร์จ้องมองใบหน้าของน้องเขม็ง ความรู้สึกผิดที่บอกว่าตนเองก็มีส่วนผลักไสให้น้องต้องคิดสั้น ได้แล่นพล่านทั่วเส้นเลือด เสียงปืนที่ดังขึ้นแค่เพียงนัดเดียวสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที แต่ได้พรากน้องชายไปจากเขาชั่วชีวิตยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ได้สะท้อนเข้ามาในหัวสมองทีละนิดทีละน้อย ราวกับเป็นภาพที่ฉายซ้ำ!