มาดามแคทลีนยิ้มกว้าง รู้สึกอิ่มเอมใจไปกับคำพูดที่กลั่นกรองออกมาจากใจของลูกชาย และเมื่อผู้ที่เป็นลูกได้ชี้โพรงเกริ่นนำถึงเรื่องครอบครัว นางก็ไม่รอช้ารีบรุกฆาตพูดถึงประเด็นอันสำคัญยิ่งยวด ที่ทำให้นางต้องเข้ามารบกวนเวลาทำงานอันมีค่าของเจ้าพ่อแห่งเดริโก้ร์กรุ๊ป
“ราล์ฟ แม่มีเรื่องจะปรึกษา...เอ่อ...ไม่ดีกว่า แม่ไม่พูดดีกว่า”
มาดามผู้สง่างามหลุดปากเอ่ยพูดไปได้แค่ครึ่งทาง ก็เกิดอาการเปลี่ยนใจ ตีสีหน้าเศร้าๆ พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ แต่ผู้เป็นบุตรชายได้รีบจับมือมารดาไว้ พร้อมกับเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
ราล์ฟรู้สึกเป็นกังวลไปกับความทุกข์ของมารดา พอบุพการีทำท่าจะลุกหนีกักเก็บความทุกข์ไว้แค่เพียงผู้เดียว เขาก็รีบจับมืออันแสนอบอุ่น ซึ่งอุ้มชูเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กไว้ พร้อมกับเอ่ยถามเพื่อจะแบ่งเบารับความทุกข์นั้นให้ตกมาอยู่ที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว
“มาดามจะปรึกษาเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมไม่พูดต่อครับ หน้าของมาดามก็ซีดมากเลย มาดามไม่สบายใจเรื่องอะไรครับ”
มาดามแคทลีน ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาแทบจะทันทีที่บุตรชายผู้คมเข้มได้เอ่ยถาม นางหลุดเสียงสะอื้นร้องไห้โฮเสียงดัง ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้เป็นลูกยิ่งนัก พอได้ร้องไห้ระบายความทุกข์ผ่านออกมาทางหยาดน้ำตา ซึ่งร่วงเผาะๆ ราวกับสั่งได้แล้ว มาดามผู้สง่างามแถมยังเล่นละครบทโศกเก่งเป็นที่หนึ่ง ก็ได้เงยหน้าขึ้นมองลูกชาย ซึ่งกำลังตกใจหน้าถอดสีเผือดอย่างเห็นได้ชัดเจน จากนั้นก็เริ่มเล่นละครฉากใหญ่ให้เจ้าพ่อแห่งเดริโก้ร์กรุ๊ปได้สงสารบุคคลที่กำลังตกเป็นหัวข้อในการสนทนา
“แม่สง...สงสารหนูต้นหยกนะลูก”
“ต้นหยก?”
ราล์ฟเลิกคิ้วขึ้นสูง ขณะทวนคำของมารดา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างงงๆ เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามารดากำลังพูดถึงใครอยู่
“มาดามกำลังหมายถึงใครครับ ต้นหยกไหน ผมไม่รู้จักครับ”
มาดามแคทลีนยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาที่หยดแหมะๆ ลงมาตามพวงแก้มของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบลูกชายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเศร้าสร้อย
“ราล์ฟ หนูต้นหยกเป็นลูกสาวของคุณมนรดากับคุณรวิชยังไงล่ะลูก ทำไมถึงลืมหนูต้นหยก เพื่อนเล่นสมัยเด็กๆ ของตนเองได้ล่ะลูก”
เอ่ยตอบพร้อมกับต่อว่าลูกชายสุดที่รักไปในตัวแล้ว มาดามแห่งคฤหาสน์เดริโก้ร์ ซึ่งยังคงความสวยไม่สร่าง ก็ลุกขึ้นเดินออกมาหยุดยืนตรงระเบียงนอกห้องสมุด ซึ่งสามารถทอดสายตามองเห็นสวนดอกไม้เมืองหนาวนานาพรรณ หลากหลายสีสัน ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจไปทั่วอาณาบริเวณ
“ต้นหยก...”
ราล์ฟพึมพำอยู่กับตนเองอีกครู่ใหญ่ หัวสมองอันชาญฉลาด พยายามนึกถึงหญิงสาวที่มารดาได้เอ่ยถึง พลันนั้นภาพของเด็กน้อยตัวอ้วนตุ๊ต๊ะ ที่มักจะเดินตามเขาไม่หยุด เวลาเขากลับประเทศไทยไปเยี่ยมคุณตาคุณยาย ซึ่งมีรั้วบ้านติดกันกับบ้านของเธอ ก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวสมองทันที
“ยายตัวตุ่น ยายหมูอ้วน”
ชายหนุ่มหลุดปากเรียกฉายาของเพื่อนในวัยเด็ก ซึ่งเขามักจะเรียกเธอเช่นนี้เสมอ จนลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายมีชื่อเล่นหรือชื่อจริงว่าอะไร
“มาดามครับ อย่าบอกนะครับว่าที่มาดามร้องไห้เมื่อสักครู่เป็นเพราะสงสารยายตัวตุ่น...เอ้ย! ยายต้นหยก”
ราล์ฟเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกบุตรสาวของเพื่อนรักของมารดาตนเองแทบไม่ทัน ตอนที่เห็นมารดาถลึงตาเขียวปั้ดใส่ ราวกับไม่ชอบใจสักเท่าไรที่เขาบังอาจไปเรียกคนของท่านเช่นนั้น
“ราล์ฟ ทำไมต้องเรียกน้องว่ายายตัวตุ่นด้วย จะเรียกน้องว่ามธุริน หรือต้นหยกก็ได้”
มาดามแคทลีนต่อว่าเสียงขุ่น พร้อมกับเอ่ยบอกชื่อเสียงเรียงนามของบุคคลที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนาอย่างเสร็จสรรพ
ราล์ฟกรอกตาขึ้นอย่างเซ็งๆ วี่แววแห่งความยุ่งเหยิงในชีวิตกำลังลอยอยู่ตรงหน้า เมื่อมารดาแสดงอาการเป็นปลื้มหนักหนาเมื่อได้พูดถึงยายตัวตุ่นของเขา
“โอเคครับ ต้นหยกก็ต้นหยก”
ราล์ฟยอมเรียกมธุรินด้วยชื่อเล่นของเธอตามที่มารดาต้องการ ก่อนจะเอ่ยถามถึงเหตุผลที่มารดาได้ร้องห่มร้องไห้เสียใจให้กับหญิงสาวผู้นี้
“ยายต้นหยกเป็นอะไรครับ มาดามถึงได้ร้องไห้บอกว่าสงสารเธอนักหนา”
“นี่ราล์ฟ เรียกยายต้นหยกก็ไม่ได้ ต้องเรียกน้องต้นหยกสิถึงจะสุภาพ และเป็นการให้เกียรติกับคนที่จะมาเป็นภรรยาของลูกด้วย”
อีกครั้งที่มาดามแคทลีนได้ขึงตามองบุตรชายราวกับไม่พอใจ และในประโยคท้ายที่ได้เอ่ยต่อว่าต่อขานคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางก็เผลอหลุดปากออกมาจนได้
“มาดามครับ เมื่อสักครู่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมครับ ที่มาดามบอกว่าต้นหยกจะมาเป็นภรรยาของผมนะครับ”
ราล์ฟหรี่ดวงตาสีทองเพลิงมองมารดา ขณะเอ่ยถามเสียงทุ้มลึก รู้สึกว่ากลิ่นตุๆ เรื่องการถูกจับคลุมถุงชนกำลังลอยพันรอบตัวเขาอยู่
มาดามแคทลีนเห็นลูกชายกำลังหรี่ตามองราวกับจ้องจับผิด แถมยังแสดงอาการไม่พอใจอย่างยิ่งยวดกับคำพูดของนาง ก็รีบบีบน้ำตาให้เอ่อคลอเบ้าก่อนจะหยดแหมะราวกับสายฝนหลั่งมาจากฟากฟ้าลงมาตามใบหน้า พร้อมกันนั้นก็เอ่ยขอร้องลูกชายด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“ราล์ฟ...ลูกต้องช่วยหนูต้นหยกและครอบครัวของเธอนะลูก”
“ช่วยเรื่องอะไรครับ”
ผู้เป็นบุตรชายถามด้วยน้ำเสียงติดห้วนเล็กน้อย รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่มาก ที่มารดาเอ่ยพูดไปคนละเรื่องกับที่เขาได้เอ่ยถามท่านไป
“ก็ครอบครัวของหนูต้นหยกกำลังจะล้มละลาย มีหนี้สินท่วมหัวถึงสิบล้านบาท หากไม่มีเงินไปใช้หนี้ภายในอาทิตย์นี้ หนูต้นหยกกับพ่อแม่ของเธอก็ต้องกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน”
มาดามเอ่ยบอกลูกชายในสิ่งที่ได้เตี๊ยมกันมาบ้างแล้วแค่บ้างส่วนกับเพื่อนรักของตนเอง โดยหารู้ไม่ว่าจำนวนตัวเลขของการเป็นหนี้สินนั้นออกจะผิดกันอย่างลิบลับ ที่ทางฝ่ายเพื่อนรักทั้งสองคนของตนเองได้เอ่ยบอกกับมธุริน