ก๊อก ๆ
ฉันยืนอยู่หน้าห้องของหญิงสาว และกำลังรอการปรากฎตัวของผู้หญิงในห้องซึ่งฉันพึ่งเคาะประตูเรียกเธอก่อนหน้า เวลานี้เช้าวันใหม่แล้ว และฉันก็กำลังจะมาเรียกเธอให้ไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนที่ฉันจะต้องออกไปทำงาน
แต่มันก็นานหลายนาทีแล้วสำหรับการรอคอย ฉันเริ่มยืนไม่ติดอยู่กับที่เพราะกลัวเหลือเกินว่าเธออาจจะเศร้าใจจนคิดจะทำอะไรที่มันไม่สมควร ฉันจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ล็อคจากทางด้านใน และฉันก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปหาเธอในทันทีด้วยความเป็นห่วง
ผ้านวมสีขาวสะอาดนูนขึ้นให้ได้เห็นว่ามีคนกำลังซุกตัวอยู่ที่ข้างในนั้นให้ฉันโล่งใจ ก่อนที่รอยยิ้มจะเผยออกมาเมื่อมองเห็นเพียงศีรษะของเธอเท่านั้นที่โผล่พ้นผ้าห่มขึ้นมาให้ได้เห็นว่าเธอเพียงแค่นอนหลับอุดอู้อยู่แต่เพียงเท่านั้น และเธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเหมือนอย่างที่ฉันกำลังคิดไปไกล
การก้าวเดินของฉันถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นแผ่วเบาเพราะกลัวเหลือเกินว่าอาจจะทำให้ใครบางคนตื่น ก่อนที่ฉันจะพาร่างของตัวเองเดินเข้าไปชิดใกล้ และทิ้งตัวนั่งลงอยู่เคียงข้างกับเธอที่ยังหลับตาพริ้มอย่างคนที่กำลังอยู่ในห้วงความฝัน
ฉันยกมือขึ้นไปปัดปรอยผมที่ปรกหน้าของเธออยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าหวานใสไร้เครื่องสำอางที่ฉันตกหลุมรักมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าและไร้ซึ่งหนทางออก
ก่อนที่รอยยิ้มของฉันจะพลันมลายหายไปเมื่อได้มองหน้าของเธอชัด ๆ เพราะตอนนี้รอบ ๆ ดวงตาของเธอกำลังปูดบวมและแดงก่ำ บ่งบอกว่าเธอคงจะร้องไห้นานหลายชั่วโมงก่อนท้ายที่สุดจะเหนื่อยล้าเกินทนและเผลอหลับไปในสภาพแบบนี้
หัวใจของฉันมันปวดหนึบจนควรที่จะด้านชา แต่มันกลับไม่ชินชาเสียทีกับใบหน้าของเธอเมื่อยามเศร้าหมอง เขาทำร้ายหัวใจของเธอให้บอบช้ำถึงเพียงไหนกันเธอถึงได้เสียใจมากมายถึงเพียงนี้ แล้วทำไมเขาที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเธอยังรักและให้อภัยเขาอยู่เสมอ
สุดท้ายแล้วน้ำตาของฉันมันก็ค่อย ๆ รินไหลลงมาเป็นสายเมื่อยามคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่ตัวของเธอนั้นต้องเผชิญ ก่อนที่การขยับตัวไปมาจากการนอนไม่สบายของเธอจะทำให้ฉันยกมือขึ้นไปปาดน้ำตาและทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพราะฉันไม่อยากให้เธอตื่นขึ้นมามองเห็นว่าฉันกำลังเสียใจกับเรื่องของเธออยู่
จริง ๆ แล้วถ้าเกิดเธอเห็นแล้วถามขึ้นมาฉันจะโกหกเธอไปมันก็ย่อมได้ แต่แค่เพียงฉันคิดว่าฉันจะต้องไม่จริงใจกับเธอ หรือโกหกเธอแม้กระทั่งเรื่องที่มันเล็กน้อย ใจของฉันมันก็คงจะอยู่ไม่สุขและต้องกระวนกระวายมากแน่ ๆ กับการโกหกเธอในเรื่องนั้น ๆ
ดังนั้นฉันจะไม่มีวันโกหกเธอ...ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่
“อือ...” เสียงครางงึมงำอย่างคนที่กำลังจะตื่นนอนทำให้ฉันได้แต่มองเธออยู่อย่างนั้นด้วยความคาดหวัง
หากเธอตื่นขึ้นมาเจอฉันเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้ามันจะเป็นอย่างไรกันนะ? แต่ถ้าหากว่าเป็นฉันก็คงจะสุขใจและมีความสุขไปตลอดทั้งวันแน่ ๆ
แต่แล้วเธอก็กลับไปนอนต่อไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองดู มันจึงทำให้ฉันเอื้อมมือไปที่หลังของเธอเบา ๆ และออกแรงเขย่าเล็กน้อยเพราะนี่มันก็จวนจะสายมากแล้ว และฉันอยากทานข้าวกับเธอก่อนที่จะต้องออกไปทำงาน
“หลัน...” ฉันเอ่ยเรียกเธอแผ่วเบาแต่เธอก็ยังคงหลับตาพริ้ม “ตื่นได้แล้วนะคุณ...ฉันเตรียมอาหารไว้รอแล้ว”
“…” แต่ยังไร้เสียงตอบรับของคนขี้เซา
ฉันยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมองเห็นว่าเธอเริ่มจะทำท่าทางรำคาญฉันขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะฉันดันไปรบกวนการนอนที่แสนสบายของเธอ แต่ฉันก็ยังไม่ยอมแพ้...ยังคงพยายามที่จะปลุกเธอต่อไปอยู่อย่างนั้น
“บุหลันคะ...” ฉันเอ่ยเรียกเธอเสียงหวาน “ติทำอาหารไว้รอคุณไปทานอยู่นะ ลงไปทานอาหารกับติก่อนที่ติจะไปทำงานได้ไหม?” แล้วเธอก็ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาสบมองกัน ซึ่งฉันก็ยกยิ้มให้กับเธอและยกมือขึ้นไปลูบหัวคนขี้เซาเบา ๆ อย่างนึกเอ็นดู
“อื้อ...ติจะไปทำงานแล้วเหรอ?” เสียงอ้อนเสียงอ่อนของเธอทำเอาหัวใจของฉันทำงานหนักได้อยู่เสมอ
แต่ฉันที่เริ่มจะมีภูมิต้านทานขึ้นมาบ้างแล้วก็ขยับตัวนิดหน่อยราวกับคนกำลังทำตัวไม่ถูกกับการถูกดวงตาใสซื่อของเธอสบมองกันอย่างออดอ้อนเพื่อขอนอนต่อ
“อื้ม...แต่เราอยากทานข้าวกับคุณก่อน”
“เรียกตัวเองว่าติอีกสิ มันฟังแล้วจั๊กจี้ดี”
“ยัยขึ้เซา!” ฉันยีหัวเธอเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง “รีบล้างหน้าแล้วลงไปที่โต๊ะทานข้าวนะคะ เราจะไปเตรียมไว้รอ” และฉันก็ก้าวเดินไปทางประตูห้องเพื่อหวังให้เธอได้ทำธุระส่วนตัวของตัวเอง
“ขอบคุณนะติ” ฉันหันกลับไปสบมองเธออีกครั้งที่อยู่ ๆ เธอก็พูดขอบคุณกันขึ้นมาเสียดื้อ ๆ “ติเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเลย ขอบคุณติมากจริง ๆ นะ” ก่อนที่ฉันจะพยักหน้าให้กับเธอและเดินออกไปจากห้องในทันที
ฉันยืนนิ่งค้างอยู่ที่หน้าห้องของเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว บนโลกใบนี้คงไม่มีใครอีกแล้วสินะ ที่พูดคำว่าเพื่อน...ได้เจ็บมากเท่ากับเธอน่ะ บุหลัน
เรานั่งรับประทานอาหารกันอยู่ที่ห้องครัวของบ้านฉัน ก่อนที่ฉันจะสังเกตว่าบุหลันไม่ยอมทานอะไรเลย เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมาเสียจนฉันเริ่มที่จะเป็นห่วง
แต่ฉันก็ไม่อยากจะเสียมารยาทถามไถ่เธอออกไป เพราะฉันรู้นิสัยของบุหลันดีว่าเธอน่ะ...หากต้องการที่จะพูดเธอก็จะพูดมันออกมาเองโดยไม่ต้องมีคนถามไถ่
และที่เธอเลือกจะเงียบอยู่อย่างนี้ก็เป็นเพระว่าเธอก็คงจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น และฉันก็ทำได้เพียงแต่นั่งเป็นเพื่อนเธออยู่เงียบ ๆ ซึ่งฉันก็ได้แต่หวังว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้างที่ไม่ต้องอยู่คนเดียว
และเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปให้ฉันจำเป็นที่จะต้องออกไปทำงาน ส่วนบุหลันที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ก็ต้องทำงานอยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน เธอบอกว่าช่วงนี้ว่าง ๆ เนื่องจากยังไม่ได้รับงานอะไรไว้
ก่อนจะกลับไปหน้าเศร้าเพราะแฟนหนุ่มคนเก่าของเธอบอกว่าจะพาไปเที่ยวในช่วงนี้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะทะเลาะกันจนบุหลันย้ายมาอยู่กับฉันเป็นการชั่วคราว
“อยู่บ้านคนเดียวก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะคุณ” ฉันบอกกับอีกคนในขณะที่ตัวเองกำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้าน “มีอะไรรีบโทรหาเราเลยนะ เดี๋ยวเราจะรีบกลับมาหา”
“คิคิ” แต่อยู่ ๆ เธอก็หัวเราะขึ้นมาให้ฉันที่กำลังจะก้าวเดินไปขึ้นรถต้องหันกลับมาสบมอง “บ่นเป็นคุณป้าเลย เห็นเราเป็นเด็กอายุแปดขวบหรือไงคะ...พี่ติ”
ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของฉันสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอเอ่ยเรียกกันด้วยสรรพนามนั้น แถมรอยยิ้มสดใสของเธอยังทำเอาฉันได้แต่ยืนเป็นใบ้ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ จนท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องยกมือขึ้นมาโบกไปโบกมาตรงหน้าของฉันแทนเพื่อเป็นการเตือนสติ
“เป็นอะไรหรือเปล่า? นิ่งไปเลย” เธอถามออกมาอย่างตกใจที่เห็นฉันเงียบไป “ไม่ชอบเหรอ? ขอโทษนะ” และเธอก็กลับไปหน้าเศร้าอีกครั้งจนฉันได้แต่หน้าตื่นตระหนกเพราะมันไม่ใช่อย่างเดียวกับที่เธอคิด
แต่เป็นเพราะว่าฉันชอบมันมาก ๆ จนกลายเป็นเขินอายต่างหากล่ะ...
“ไม่ใช่ ๆ คือว่ามัน...” ฉันอยากจะอธิบายให้กับเธอได้เข้าใจ แต่ปากมันกลับรู้สึกหนักอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกไปเสียอย่างนั้น
“คิคิ” ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอีกครั้งกับทีท่าไปไม่เป็นของฉัน “ตินี่น่ารักจังเลย...คนที่ได้ติเป็นแฟนจะต้องโชคดีมากแน่ ๆ ”
ตึกตัก ตึกตัก
อ่า...แล้วเธอล่ะ อยากจะลองมาเป็นผู้โชคดีคนนั้นไหม?
ฉันได้แต่คิดมันอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้พูดออกไปให้เธอได้ยิน ก่อนท้ายที่สุดแล้วฉันจะยกมือขึ้นไปยีผมของเธอบางเบาอย่างแก้อาการประหม่าของตัวเอง และก็ได้รับเสียงไม่พอใจดั่งแมวขู่ฟ่อของเธอกลับมาก่อนที่ฉันจะเดินเลี่ยงออกไปทำงานเสียที
ขืนยังยืนอยู่นานกว่านี้อีกสักนาที...ฉันคงจะต้องโทรไปลางานกับเลขาแล้วแน่ ๆ
รัตติกาลขับรถออกมาจากตัวบ้านโดยที่บุหลันยังไม่ยอมกลับเข้าไปที่ด้านใน และมันทำให้ฉันรู้สึกดีกับช่วงเวลานี้แปลก ๆ ฉันอุ่นใจและดีใจที่มันเป็นแบบนี้...จนอยากที่จะให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปเลยฉันก็จะยินดีกับมันมากที่สุด
ขับรถออกมาได้เพียงหน้าปากซอยก็ได้พบกับรถยนต์คันหนึ่งที่ดูคุ้นตา ก่อนที่หลังพวงมาลัยฉันจะเห็นว่าเป็นชายหนุ่มซึ่งก็คือแฟนเก่าของบุหลัน และฉันไม่ลังเลเลยที่จะวนรถกลับโดยยังมีความรับผิดชอบอยู่ด้วยการโทรไปลางานกับเลขาของตัวเองในทันที
ฉันจะไม่มีวันให้เธอกลับไปเสียน้ำตาอีกครั้งแน่...บุหลัน
แล้วมันก็เป็นไปตามคาด ชายหนุ่มจอดรถดับสนิทอยู่ที่หน้าบ้านของฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะเขาเคยมารับบุหลันที่บ้านของฉันอยู่บ่อย ๆ เวลาที่ทั้งสองคนนี้ทะเลาะกันทีไรบุหลันมักจะชอบมาหลบอยู่ที่บ้านของฉันเสมอ
ส่วนชายหนุ่มเองก็ทำผิดซ้ำซากจนไม่น่าให้อภัย แต่เพียงแค่เขากลับมาง้องอนนิด ๆ หน่อย ๆ เธอที่รักเขาจนสุดหัวใจก็พร้อมที่จะยอมกลับไปหาเขาเสมอ...แต่ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมอีกแล้ว
สองขายาว ๆ รีบก้าวเข้าไปหาเขาในทันที ชายหนุ่มเองก็หันกลับมาสบมองและยกยิ้มให้กัน แต่ฉันยังคงบึ้งตึงอย่างไม่มีความเป็นมิตรไมตรีใด ๆ อีกต่อไป
“มาแล้ว...” บุหลันที่กำลังจะเดินออกมาเปิดประตูถึงกับหยุดชะงักเมื่อมองเห็นหน้าของชายหนุ่ม เขาหันหน้ากลับไปสบมองเธอก่อนจะยกยิ้มออกมาและพยายามที่จะเข้าไปโอบกอดบุหลันเอาไว้
“กรุณาออกไปจากบ้านของฉันด้วยค่ะ!” แต่เสียงแห่งความไม่พอใจของฉันก็ดังขึ้นมาจนชายหนุ่มหยุดชะงัก
เขาหันมาสบมองหน้าของฉันอย่างมึนงง ซึ่งฉันก็อาศัยจังหวะนี้เดินไปขวางหน้าของบุหลันเอาไว้ไม่ให้เขาเข้ามาชิดใกล้
“แต่ผมมารับหลันกลับบ้าน...”
“ผู้หญิงคนนี้จะไม่ไปไหนกับคุณอีกทั้งนั้น!” ฉันรับรู้ได้ถึงแรงดึงจากทางชายเสื้อสูทของตัวเอง ซึ่งฉันเข้าใจดีว่าเธอกำลังพยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องไห้ออกมา
“แต่หลันครับ ผมสำนึกผิดแล้ว ดังนั้นกลับมา...”
“คุณมากี่ครั้งคุณก็พูดแต่อย่างนี้ แล้วสุดท้ายคุณก็กลับไปทำแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า!” ชายหนุ่มเริ่มมองหน้าของฉันอย่างไม่พอใจที่เข้ามาขัดขวาง และทำเป็นไม่สนใจฉันแต่กลับเลือกจะพยายามไปดึงมือของบุหลันให้มาเผชิญหน้า
“หลันครับ...”
“ออกไป!” ฉันยังไม่ให้เขาแตะต้องตัวเธอ “ถ้ายังไม่ไป ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ!” ก่อนที่ชายหนุ่มจะแสดงสีหน้าอย่างไม่พอใจออกมาอย่างไม่มีปิดบัง และยอมเดินออกไปจากบ้านแต่โดยดีเพราะดูครั้งนี้ฉันเอาจริงไม่ได้ขู่
“ฮึก...” บุหลันปล่อยโฮร้องไห้ออกมาทันใดพร้อมกับร่างของเธอที่ค่อย ๆ ทรุดตัวลง
ฉันทรุดลงไปหาเธอในทันทีด้วยความห่วงใย ก่อนจะดึงเธอให้เข้ามาสู่อ้อมกอด โดยที่เธอก็เอาหน้าพิงกับอกของฉันไว้และปล่อยโฮร้องไห้ออกมาอย่างไม่เขินอายใด ๆ ให้ฉันได้แต่ปลอบประโลมเธออยู่อย่างนั้น
“ฮึกติ...หลัน หลันเจ็บจังเลย” เธอร้องไห้ออกมาอย่างหนักและเอาแต่ฟูมฟายพูดว่าตัวเองเจ็บปวด
ส่วนหัวใจของฉันดวงนี้ก็ราวกับแตกสลายออกมาเป็นเสี่ยง ๆ ฉันเจ็บใจที่ไม่สามารถบอบช้ำแทนหัวใจของเธอได้ และฉันก็โกรธตัวเองเหลือทนที่ปล่อยให้ใครอีกคนต้องมาทำร้ายหัวใจของเธอ
“ติขอโทษนะหลัน...” ฉันเอ่ยออกมาอย่างที่ใจคิด
เรื่องทั้งหมดฉันเป็นคนผิดเอง ฉันผิดเองทั้งหมดที่ไม่สามารถบอบช้ำและเจ็บใจแทนตัวของเธอได้...ทำไมฉันมันถึงเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้
“ต่อจากนี้ไปให้เราดูแลคุณนะ...”
“ฮึก...”
“ติสัญญาว่าต่อแต่นี้ไป...ติจะเยียวยารักษาหัวใจของคุณเอง”