เธอรู้ว่าที่นี่มันไม่น่าอยู่ แต่ถ้าหากคุณหนูออกไปจากที่นี่แล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ เงินทองก็ถูกเอาไปจนหมดแล้ว
"มิ้มคิดดีแล้วค่ะป้า มันถึงเวลาแล้วที่มิ้มจะต้องไปใช้ชีวิตของตัวเองสักที ป้าทองก็เห็นไม่ใช่เหรอคะว่ามิ้มไปทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีอรช่วยก็คงไม่มีงานทำแล้วนะคะ" ยุพเรศเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ภายในใจนึกสงสารอรรัมภาตัวจริงไม่น้อย
"แล้วคุณหนูจะทำยังไงคะ"
"มิ้มก็ไม่รู้ค่ะ เลยมาปรึกษาป้าทองนี่ไง" ยุพเรศยิ้มแห้ง ก่อนจะจับมือคนแก่กว่ามาบีบอย่างเอาใจ
"โธ่ ! คุณหนูคะ ลำพังป้าจะไปรู้อะไรล่ะคะ" ป้าทองส่ายหัวช้า ๆ คนเป็นแม่บ้านแบบเธอจะไปช่วยอะไรใครได้
ยุพเรศเองก็อับจนหนทางแล้วในตอนนี้ เธอไม่รู้แล้วว่าจะหันไปพึ่งใครได้ ความจริงแล้วจะให้ออกไปเองเสียตั้งแต่ตอนนี้มันก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยากได้เงินด้วย เพราะมันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
"เอ๊ะ ! แล้วทำไมคุณหนูไม่ลองปรึกษาคุณบอสตันดูล่ะคะ" ป้าทองทำตาโตราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะหันมายิ้มให้คนที่นั่งมองตัวเองตาแป๋ว
"บอสตัน ?" ใครกันนะ
"ค่ะ ยังไงก็เป็นคู่หมั้นกัน ขอให้ช่วยแค่นี้คุณบอสตันน่าจะช่วยนะคะ"
คู่หมั้น !
ยุพเรศนั่งนิ่งราวกับคนโง่งม คู่หมั้นเหรอ… นี่อรรัมภามีคู่หมั้นด้วยเหรอ
"คู่หมั้น..."
ใช้เวลานั่งคิดได้สักพักยุพเรศก็ดีดตัวขึ้นด้วยความตกใจ คู่หมั้นของอรรัมภาคนนี้ชื่อบอสตัน คาร์เทียร์ หรือบอส ชายหนุ่มลูกครึ่งลูกชายคนโตของตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของประเทศอย่างคาร์เทียร์
นอกจากร่ำรวยแล้วอำนาจก็ล้นมือไม่ต่างกัน ทั้งในประเทศและนอกประเทศไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลเลยก็ว่าได้ หรือจะเรียกง่าย ๆ ก็คือมาเฟียนั่นแหละ ให้ตายเถอะอรรัมภา เธอมีคู่หมั้นเป็นมาเฟียเลยเหรอ…
ทั้งคู่หมั้นหมายกันตั้งแต่อรรัมภายังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สาม เป็นเรื่องที่น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่คนที่ถูกคนทั้งบ้านเกลียดชังอย่างอรรัมภากลับได้หมั้นหมายกับคุณชายบอสตันที่หลายคนหมายปอง
แต่ก็อย่างว่า… ผู้ชายเขาเลือกเอง
ในช่วงเวลานั้นฝั่งโรจนทิพย์ไม่ได้ตั้งใจจะให้อรรัมภาหมั้นหมายกับบอสตันแต่อย่างใด แต่เป็นณิชาต่างหากที่คนในบ้านตั้งใจจะใส่พานถวายให้เขา แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา เพราะฝั่งคาร์เทียร์ต้องการให้อรรัมภาหมั้นหมายกับบอสตัน
ตอนแรกฝั่งโรจนทิพย์ไม่มีใครยินยอม ยังยืนยันที่จะส่งณิชาให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายกับบอสตันให้ได้ ทั้งเที่ยวเอาข้าวไปส่งให้ที่ทำงาน ทั้งชวนมาทานข้าวที่บ้าน หรือแม้กระทั่งพยายามเล่นข่าวเรื่องคู่หมั้นให้โด่งดัง แต่สุดท้ายเหมือนว่าฝั่งคาร์เทียร์จะเริ่มรำคาญเต็มทน บอสตันจึงเข้ามาที่บ้านโรจนทิพย์ ตอนนั้นณิชาดีใจมากเพราะคิดว่าชายหนุ่มมาหาตน แต่ก็ผิดคาด เพราะบอสตันมาเพื่อคุยเรื่องหมั้นหมายกับอรรัมภาต่างหาก…
ชายหนุ่มเอ่ยคำขาดว่าหากเขาไม่ได้หมั้นกับอรรัมภา ธุรกิจทั้งหมดของสองตระกูลคงต้องยกเลิก และเหตุผลสำคัญคือบอสตันบอกกับปากตัวเองว่าไม่ชอบความวุ่นวายอย่างณิชา ประโยคนั้นทำเอาทุกคนหน้าแห้งไปตาม ๆ กัน และแม้ว่าจะไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว จึงได้แต่ตกลงยอมให้อรรัมภาหมั้นหมายกับบอสตันไป และเรื่องนี้ทำให้คนในบ้านไม่พอใจในตัวอรรัมภามากขึ้นไปอีก
แม้งานหมั้นหมายจะยังไม่ถูกจัดขึ้น แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลดังสวมแหวนแทนใจให้ลูกบุญธรรมของครอบครัวโรจนทิพย์ไปแล้ว ชีวิตของอรรัมภาหลังหมั้นหมายนั้นดูเหมือนจะดีขึ้น แต่มันก็แค่ดูเหมือน เพราะในตอนที่บอสตันมารับไปทานข้าวหรือทักมาพูดคุยด้วยนั้น ทั้งสองก็ทำเพียงคุยเรื่องทั่วไป และมันก็มักจะเป็นบทสนทนาสั้น ๆ เสมอ อรรัมภาไม่ใช่คนคุยเก่ง ส่วนบอสตันก็ไม่ใช่คนพูดเยอะ ทำให้คนเป็นคู่หมั้นไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่อรรัมภาต้องเผชิญมากนัก รู้เพียงแค่ว่าคนในบ้านไม่ค่อยชอบเธอเท่านั้น และที่สำคัญคือเธอไม่เคยเอ่ยปากขอร้องให้ช่วย ดังนั้นบอสตันจึงไม่เข้ามายุ่มย่าม พวกเขาทั้งสองไม่ได้ชอบกันแต่อย่างใด และต่างมองกันเป็นเพียงพี่ชายน้องสาวเท่านั้น
ประเด็นคือ… แล้วพี่ชายคนนี้จะยอมช่วยเธอไหมล่ะทีนี้ ยุพเรศคิดอย่างปลงตกก่อนจะยกนิ้วที่มีแหวนฝังเพชรขึ้นมามอง
"เอาจริงเหรอคะป้าทอง" ใบหน้าของเธอหงอลงจนคนมองหลุดขำ
"เอาจริงค่ะ ถ้าคุณหนูบอกว่าอยากออกไปจากที่นี่ป้าคิดว่าก็คงมีแค่คุณบอสตันนี่แหละที่ช่วยได้"
"ป้าทอง" ยุพเรศโน้มตัวไปกอดอ้อนอีกคนจนคนที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กยิ้มเอ็นดู
"อะไรล่ะคะ" เด็กน้อยของป้าทองไม่เอ่ยตอบ ทำเพียงแค่ส่งเสียงฮื่อ ๆ ในลำคอ "เอาเถอะค่ะ นอนคิดอีกสักคืนก่อนก็ได้นะคะ แล้วค่อยว่ากัน"
"แบบนั้นก็ได้ค่ะ"
"ป้าดีใจนะคะที่คุณหนูดูสดใสขึ้นแล้วก็คิดที่จะออกไปจากที่นี่" มืออวบยกขึ้นมาลูบลงบนผมนิ่มแล้วเอ่ยช้า ๆ "แล้วป้าก็คิดว่าคุณท่านก็คงดีใจเช่นกัน"
"คุณ…"
เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น แต่ว่าเป็นเสียงใครกัน แล้วที่นี่ที่ไหนอีกแล้วเนี่ย !
ยุพเรศนึกขึ้นอย่างงุนงง พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่ที่เธออยู่ตอนนี้คือทุ่งหญ้าสีเขียวขจีโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้สีสันงดงามเต็มไปหมด มองไปสุดลูกหูลูกตาก็ยังเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ๆ
สวยจัง หญ้านุ่มน่านอนสุด ๆ ไปเลย !
"คุณคะ" เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ยุพเรศหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะพบกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแสนคุ้นตา คุ้น ๆ เหมือนเพิ่งเคยเห็นมาเมื่อไม่นานมานี้
"คุณมิ้มเหรอ !" ยุพเรศถามพร้อมทั้งเบิกตากว้าง คนตรงหน้าพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
"ใช่ค่ะ มิ้มเอง"
"คุณไปไหนมา จะกลับมาแล้วใช่ไหมคะ" ยุพเรศเอ่ยด้วยความยินดี ตัวเธอเองก็ไม่ได้สบายใจนักที่ได้มาอยู่ในร่างของคนอื่น แต่ก็แอบเสียดายไม่น้อยที่ยังไม่ทันจะได้พาอีกคนออกไปจากขุมนรกนี้เลยแท้ ๆ
"ไม่ใช่ค่ะ" อรรัมภาส่ายหน้าช้า ๆ ทำเอายุพเรศขมวดคิ้ว "มิ้มแค่จะมาบอกลา แล้วก็มีเรื่องที่อยากจะฝากคุณยุด้วยค่ะ"
"ลาเหรอ คุณจะไปไหน" ยุพเรศเอ่ยด้วยความงุนงง ในเมื่อร่างก็ยังอยู่แถมตัวเองก็กลับมาแล้ว แล้วทำไมไม่เข้าร่างคืนล่ะ
"มิ้มอยู่ต่อไม่ได้แล้วค่ะ มิ้มหมดบุญแล้ว" อรรัมภาอธิบายออกมาช้า ๆ ด้วยคำที่คิดว่าจะสามารถบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่ายที่สุด
"หมดบุญยังไง แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ในร่างคุณล่ะ" ยุพเรศยังคงมีคำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด
"มิ้มก็ไม่รู้ แต่คุณยุคะ มิ้มขอยกชีวิตของมิ้มให้คุณค่ะ"
"..."
"คุณใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะนะคะ ขอโทษด้วยที่คุณจะต้องมาใช้ชีวิตในร่างมิ้ม ในชื่อของมิ้ม แต่คุณใช้ชีวิตได้ตามสบายเลยนะคะไม่ต้องเป็นห่วงมิ้ม ชีวิตมิ้มมันสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่มิ้มตายแล้วละคะ"อรรัมภาเอ่ยออกไปอย่างที่ตั้งใจไว้ เธอไม่สามารถกลับไปได้แล้ว และก็ไม่อยากให้ใครต้องมาสวมรอยใช้ชีวิตตามแบบที่เธอเคยใช้ด้วย เพราะเธอรู้ดีว่าตัวเองขี้ขลาดขนาดไหน
"แล้วคุณจะไปไหนคะ" ยุพเรศเอื้อมมือไปจับมือคนตรงหน้าแล้วบีบเบา ๆ ใบหน้าเบะออกคล้ายจะร้องไห้จนอรรัมภาหัวเราะออกมา
"มิ้มก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มิ้มแค่มาลาน่ะ" ยุพเรศพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยขอบคุณอีกคน
"ขอบคุณนะคะคุณมิ้ม"
ขอบคุณ… ที่ให้ชีวิตใหม่กับยุพเรศคนนี้
"ต่อจากนี้คุณยุคือมิ้มแล้วนะคะ" อรรัมภากล่าวก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ เธอกำชับอีกครั้ง "อรรัมภา โรจนทิพย์"
ยุพเรศพยักหน้าพร้อมทั้งส่งยิ้มให้อีกคนอย่างขอบคุณ อรรัมภาเองก็ส่งยิ้มให้เธออีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
"มิ้มต้องไปแล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะคะคุณยุ"
"ขอบคุณเช่นกันนะคะคุณมิ้ม" ยุพเรศ… ไม่สิ อรรัมภาคนใหม่ส่งยิ้มให้อรรัมภาคนเดิมก่อนจะมองอีกคนที่ค่อย ๆ อันตรธานหายไปกับอากาศอย่างช้า ๆ โดยที่ใบหน้าของพวกเธอทั้งคู่ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม