Out to be
:: 4 ::
โดนตามจีบ
ด้วยเพราะมีเรียนเที่ยงพร้อมกับคิง ฉันก็เลยตื่นขึ้นมาเข้าครัวทำอาหารให้เขากินง่ายๆ รวมไปถึงฉันด้วย เมื่อคืนฉันกับคิงนอนที่ห้องนอนของเขาด้วยกัน หากแต่ว่าคิงนอนคว่ำทำรายงานโดยมีฉันนอนมองเขาแถมยังต้องช่วยเขาเขียนรายงาน จนจะกลายเป็นเด็กช่างยนต์แทนเขาไปแล้ว ก็พอเขียนรายงานให้คิงก็ต้องอ่านบทความเรื่องการซ่อมแซมรถหลากหลายชนิด แบบว่าไม่ต้องเรียนวารสารเถอะขนมผิง ไปเป็นเด็กช่างกับคิงคงดีกว่า
ฉันเตรียมอาหารเป็นพวกขนมปังปิ้งกับไข่ดาวสองฟองและไส้กรอกทอดพร้อมนมจืด เนื่องจากคิงค่อนข้างกินจุมากๆ พอเตรียมเรียบร้อยก็เอามาวางบนเคาน์เตอร์บาร์เช็ดมือ ก็มองร่างสูงใหญ่ที่ส่วนสูง 187 ซม. ในวัยเพียงแค่ 18 ปี เท่านั้น จะสูงได้อีกหรือเปล่าล่ะเนี่ย คิงสวมเสื้อยืดสีขาวและทับด้วยเสื้อช้อปสีเทามีกระเป๋าสองข้างตรงชายเสื้อและหน้าอกซ้ายจะเป็นตราสัญลักษณ์ของวิทยาลัยที่คิงเรียน อกขวาจะปักชื่อของเขาและสาขาที่เรียน ‘คริษฐ์ จิณธรรมวัตร สาขาช่างยนต์’ คิงเอาปากกาสีน้ำเงินเหน็บไว้ตรงช่องเสียบแขนซ้าย สวมกางเกงยีนส์สีซีดและตามด้วยเข็มขัดของวิทยาลัยเอาชีทงานกับหนังสือหนึ่งเล่มวางบนเคาน์เตอร์บาร์ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยกสูง
“หยุดพรุ่งนี้ฉันจะแวะมาซักผ้าให้นะ ในห้องคือเสื้อผ้าเต็มตะกร้าเลย”
“อืม” คิงพยักหน้าและเอาส้อมเจาะไข่แดงตักกินด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่กิน?”
“เดี๋ยวไปกินกับน้ำหนึ่ง”
“น้องสาวพี่สอง?”
“ใช่ เคยเจอกันแล้วนี่” ตอนที่พี่เคลียร์เข้าโรงพยาบาลและหลังจากนั้นคิงก็ได้รู้จักกับน้ำหนึ่งบ้าง ไม่ถึงขั้นสนิทหรอกนะแค่รู้ว่าน้ำหนึ่งเป็นน้องพี่สอง น้ำหนึ่งก็รู้จักคิงในฐานะน้องชายของพี่เคลียร์แฟนพี่สอง ฉันเดินอ้อมเคาน์เตอร์บาร์มานั่งเก้าอี้ยกสูงข้างๆ คิงเอื้อมมือไปแตะเส้นผมหนานุ่มสีดำสนิทที่ดูเหมือนจะยาวจนเลยปกคอเสื้อช้อป “ผมยาวมาก”
“ว่าจะตัดอยู่”
“ดีเลย หน้าจะได้ไม่รก”
“รกแล้วหล่อ”
“จ้า ไว้ยาวก็หล่อ แต่ตัดดีกว่าฉันชอบนายตอนผมสั้นที่สุด” ตอนที่เจอคิงครั้งแรกที่มาสมัครงานที่อู่พ่อ ตอนนั้นคิงตัดผมรองทรงสูงและเซตผมเปิดรับใบหน้าหล่อคมคาย ตอนนั้นเองที่ฉันตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง “รีบกินเถอะ วันนี้บ่ายอยากกินเค้กอะไรดี?”
“เธอซื้ออะไรมา ฉันก็กินได้หมด”
“ตะกละ”
“เธอรู้ดี” คิงหันมาแสยะยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่แลดูเจ้าเล่ห์สุดๆ “ฉันกินเธอมูมมามามตลอด”
“วกเข้าเรื่องใต้สะดือได้คือเก่งมาก”
“ชมฉัน แบบนี้ต้องให้รางวัล”
“หยุด” เอามือดันใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยห่าง “รีบกินจะได้ไปเรียน”
“หึ”
ยังจะมาหัวเราะในลำคอแบบมีเล่ห์เหลี่ยมอีกนะคนเรา เด็กบ้าคนนี้จะทำให้ฉันหลงไปถึงไหนกัน หลงเขาจนหักปรักหัวปรำหาทางออกไม่เจอ แม้ว่าจะเจ็บที่สถานะของเรายังไม่ถูกแสดงออกมาให้ใครได้รู้ว่าระหว่างเรามันคืออะไร แต่สำหรับฉันมันก็มีความสุขจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะมีเสี้ยวหนึ่งที่คิดว่าฉันมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้จริงเหรอ? ได้อยู่กับคิงมาห้าเดือนหลังจากที่บอกชอบเขาและคิงปฏิเสธจะรับมัน ทว่าสุดท้ายฉันก็ดันฉุดรั้งเขาไว้ด้วยร่างกายหวังเพียงจะทำให้คิงหันมามองและสนใจกันบ้าง โอเคเขาสนใจฉันก็จริง แต่มันก็มักจะลงเอยด้วยเซ็กซ์ที่ฉันและเขาต้องการมันเสมอๆ
บางทีก็ต้องการมันมากกว่าเซ็กซ์ที่เขาให้ ก็คือความรู้สึกจริงๆ ที่คิงให้ฉันได้ต่างหาก นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจากเขามาตลอดนับตั้งแต่เราสองคนคงอยู่ในความสัมพันธ์ ‘ไร้ซึ่งสถานะ’ เขาจะทำอะไรก็ได้เพราะไม่ได้ผูกมัดกับฉัน อีกอย่างฉันก็จะทำอะไรก็ได้เพราะไม่ได้ผูกมัดกับคิง หากแต่ว่าก็อยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง แสดงให้คิงได้เห็นสักวันว่าหัวใจและร่างกายนี้ เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
“จะจ้องหน้าฉันอีกนานไหม?”
“มองไม่ได้”
“อยากโดนจับกดตอนนี้” เอะอะจับฉันกดตลอด ไม่รู้จะหื่นอะไรนักหนาแถมแรงยังดีไม่เคยมีตก ทำกับฉันได้ทีสองสามรอบคิดดูว่าคิงขยันทำจนเป็นฉันไงที่แย่เสียยิ่งกว่าแย่ บอกตามตรงถ้าคิงไม่สวมถุงป่านนี้ฉันคงท้องโตไปแล้วล่ะมั้ง ยังดีที่เขาน่ะรู้จักคำว่าป้องกัน ไม่อย่างนั้นบางทีเรื่องนี้ฉันคงไม่ให้เขาทำหรอก รังเกียจ!
“มีเวลาก็ไปตัดผมด้วยนะ” ถึงคิงจะไว้ผมทรงไหนก็ดูดีไปหมด แต่ฉันก็ไม่ชอบเขาผมยาวอยู่ดีนั่นแหละ อย่างเขาต้องตัดผมให้สั้นเพื่อให้เห็นหน้าหล่อๆ ชัดขึ้นไง แม้ว่าตอนนี้จะหล่อลากดินกระซวกไส้แล้วก็เถอะนะ
ฉันซ้อนท้ายคิงพลางกอดเอวเขาที่ขับรถมอเตอร์ไซค์เพื่อพาฉันมาส่งที่มหาลัย ทั้งที่บอกว่าส่งแค่ด้านหน้าก็พอ แต่คิงไม่ยอมจึงขับรถไปตามท้องถนนผ่านคณะอื่นๆ จนมาถึงคณะของฉันคิงก็จอดรถใต้ต้นไม้และบิดกุญแจเพื่อดับเครื่อง ดันหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้นมองฉันที่ถอดหมวกส่งให้เขาเหน็บไว้ที่ด้านหลัง
“ขอบใจที่มาส่ง” ฉีกยิ้มกว้างให้กับคิงที่กระตุกยิ้มมุมปาก ฉันเอื้อมมือไปผลักศีรษะคิงผ่านหมวกกันน็อก “ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะเข้าเรียนสาย”
“อือ”
“ผิง!” หันไปมองร่างบอบบางของน้ำหนึ่งที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาฉันและชี้นิ้วไปหาร่างสูงใหญ่ที่ยังไม่ทันได้สตาร์ทรถ “คิง น้องพี่เคลียร์”
“ใช่”
“ฮั่นแน่ มาด้วยกันได้ไงอะ?”
“บังเอิญเจอกัน” ฉันรีบปฏิเสธกับน้ำหนึ่งที่ชี้หน้าฉันกับคิงพร้อมแซว
“คบกันแล้วเหรอสองคนนี้” น้ำหนึ่งเกริ่นนำให้เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ปฏิเสธ เพื่อหันไปสบตากับคิงเพื่อมองปฏิกิริยาของเขา ปรากฏว่าคิงนิ่งไม่ให้คำตอบเพื่อนของฉัน “เงียบ แสดงว่าคบกันแล้วสินะ”
“ไม่ได้คบ” เป็นฉันเองที่เลือกจะตอบแทนคิง ถามไปก็เท่านั้นล่ะเด็กคนนี้เคยบอกเรื่องสถานะของเราซะที่ไหน “ขับรถดีๆ ล่ะ”
“อืม”
ฉันรีบกอดคอน้ำหนึ่งเดินขึ้นบันไดไปยังคณะแต่จังหวะนั้นก็หันไปมองคิงที่สตาร์ทรถและขับออกไป ส่งผลให้ฉันเม้มริมฝีปากตัวเองเพราะเห็นความซึนของเขาแล้วหงุดหงิดใจชะมัด ไม่ได้อยากจะคาดหวังอะไรในตัวของเขาเลยนะเอาจริง แต่แบบก็มีแอบหวังลึกๆ ว่าคิงจะบอกว่า ‘ดูๆ กันไปก่อน’ ตอบแค่นี้เชื่อปะ ฉันก็ยังมีความหวังไง พอเขาเงียบปุ๊บโลกของฉันที่สร้างไว้ก็พังทลายเลยทีนี้
“ยังไงอะผิง คบกับน้องชายพี่เคลียร์แล้วเหรอ”
“บอกว่าไม่ได้คบไง ฟังกันหน่อยสิ” น้ำหนึ่งทำหน้าบูดบึ้งและดันแซนวิชกับน้ำผลไม้มาให้ฉัน “แค่รู้จักกัน คิงทำงานที่อู่ซ่อมรถพ่อฉัน จำไม่ได้เหรอ?”
“จำได้ นึกว่าจะคบกันซะอีก เกือบจะดีใจแล้วนะที่เพื่อนรักของฉันจะมีแฟน”
“ไม่ต้องสนใจเรื่องของฉันหรอก สนใจเรื่องพี่ฟินน์ของเธอเถอะ” ส่ายหน้าไปมาและฟังเพื่อนบอกว่าวันนี้จะไปหาพี่ฟินน์ที่คณะสถาปัตยกรรมที่พี่เคลียร์เรียนอยู่ โดยอ้างว่าจะไปหาพี่สองจริงๆ เพื่อนฉันน่ะชอบใครคือจะตามตื้อแบบหยุดไม่ได้เลยนะ พี่ฟินน์นิสัยยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก แต่ทำให้น้ำหนึ่งอยากได้เป็นแฟนก็คงจะนิสัยดีไม่งั้นคงเป็นเพื่อนกับพี่เคลียร์ไม่ได้
“วันหยุดนี้ห้ามลืมนัดของเรานะ สิบโมงเจอกันที่หน้าโรงหนังนะผิง”
“จ้า รู้แล้วๆ” เอื้อมมือไปหยิกแก้วน้ำหนึ่งที่พูดเรื่องพี่ฟินน์เจื้อยแจ้วโดยที่ฉันฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เพราะเอาแต่คิดเรื่องของคิงเมื่อกี้ไม่หาย จะสลัดมันทิ้งตอนเข้าคลาสก็ไม่ยอมจะหลุดออกจากหัว ทั้งที่ควรชินฉันก็ไม่เคยจะชินกับมันสักทีเลยอะ
เลิกคลาสตอนเที่ยงฉันกับน้ำหนึ่งก็แยกกันเนื่องจากเพื่อนจะไปมหาลัยของพี่สองและพี่เคลียร์ ส่วนฉันก็นั่งรถแท็กซี่มาเดินเล่นที่ห้างเพื่อมาเดินเล่นและซื้อหนังสือนิยายที่อยากได้มาเก็บเอาไว้ แต่ยังไม่มีเวลาอ่านหรอกนะเพราะเล่มก่อนๆ ยังดองอยู่เลย เมื่อได้หนังสือที่ต้องการฉันก็เดินหาร้านเค้กที่ขายพวกน้ำด้วย ว่าจะนั่งเล่นที่คาเฟ่ในห้างสักแปบขากลับค่อยซื้อไปฝากคิงก็แล้วกัน
“ขนมผิง”
“คะ?” ระหว่างที่ยืนสั่งเครื่องดื่มเป็นนมสดปั่นและเค้กครีมสด ฉันก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อจึงขานรับพลางหันไปมองก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นกลุ่มเด็กช่างสวมเสื้อช้อปสีกรมท่าห้าคนและคนที่เรียกชื่อฉันจะเป็นใครไม่ได้ นอกซะจาก... “เชส”
“ดีใจแหะที่เธอจำเราได้ด้วย”
“งั้นพวกกูไปรอชั้นเกมแล้วกัน”
“เออ” เชสพยักหน้าให้กับเพื่อนสี่คนที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์พากันขึ้นไปชั้นบนของห้างที่เป็นโซนเกมกับตู้คาราโอเกะ ส่วนใหญ่จะมีกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มเด็กช่างส่วนใหญ่ขึ้นไปเล่นเกมกันบ่อยมาก ฉันเคยเดินผ่านแบบว่าเห็นแต่เด็กช่างเยอะกว่าเด็กมหาลัยอีก “บังเอิญเจอแบบนี้ เดี๋ยวเราเลี้ยงเค้กเธอเอง”
“จะดีเหรอคะ?”
ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มมุมปากและสั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน เดินนำฉันเข้าไปนั่งในร้านโต๊ะติดกระจก เขานั่งตวัดขาไขว่ห้างและยกแขนทั้งสองพาดอกมองฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง หากแต่ว่ามันกดดดันความรู้สึกฉัน ทำให้รู้สึกอึดอัดกับสายตาของเขาเสียจริง ทันทีที่พนักงานเอาเครื่องดื่มมาให้กับเค้กฉันก็ก้มหน้าดูดนมสดปั่นหวังจะช่วยให้รู้สึกดี แต่ไม่เลยสักนิด เพราะขณะที่เชสถือแก้วน้ำกีวี่ปั่น พอดูดปุ๊บเขาก็ทำหน้าเหยเก
“น้ำเหี้ยอะไรวะเนี่ย รสชาติยังกับน้ำล้างตีน” คำหยาบที่หลุดออกมาจากปากเขาทำให้คนรอบข้างมองเขา ทันทีที่เชสเห็นก็หันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ กันเป็นหนุ่มนักศึกษาเนิร์ดสวมแว่นตาหนาเตอะ “มองเหี้ยไร!?”
“ใจเย็นก่อนได้ไหม” เหมือนคิงไม่มีผิด เวลาถูกคนอื่นมองด้วยสายตาแกมดูถูกเพราะเป็นเด็กช่างที่สร้างปัญหาให้กับสังคม เขาจะหาเรื่องคนๆ นั้นทันทีไม่สนด้วยนะว่าจะเป็นใคร “แผลนายเป็นยังไงบ้าง”
“เย็บห้าเข็ม ไม่เป็นอะไรมาก” เบี่ยงเบนประเด็นจนหนุ่มเนิร์ดคนนั้นรีบลุกขึ้นจากโต๊ะเดินออกร้านไปทันที ส่วนเชสก็มองตามราวกับคาดโทษเอาไว้ยังไงยังงั้นเลย “ผ้าเช็ดหน้าเธอ เราซักไว้แล้วนะ แต่ลืมเอามาคืนไม่คิดว่าจะเจอ”
[50%]
*----------------------------------------------*