อากาศในดินแดนแห่งทะเลทรายก่อนอรุณรุ่งไม่กี่ชั่วโมงช่างหนาวเหน็บเข้าถึงกระดูก ไม่เป็นใจสำหรับใครบางคน ที่กำลังคิดการใหญ่ตัดสินอนาคตตัวเอง ด้วยการหนีออกจากบ้านไม่ต่างจากเด็กมีปัญหา
อัลรีน่ากระชับกระเป๋าสะพายใบขนาดย่อมไว้บนบ่า เท้าเล็กในรองเท้าหุ้มส้นทะมัดทะแมงก้าวช้าๆ ไปที่ภาพถ่ายของบุพการีทั้งสองซึ่งตั้งอยู่บนหัวเตียงนอน หญิงสาวคว้าภาพถ่ายมาถือไว้ในมือ ก่อนจะกระซิบเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วเบา
“คุณพ่อคุณแม่คะ รีน่าขอโทษที่ทำตัวเป็นลูกอกตัญญูไม่ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ แต่รีน่าทำใจยอมรับเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าชายอีสดรีสส์ไม่ได้”
อัลรีน่าเก็บภาพถ่ายของบุพการีไว้ในกระเป๋าสะพาย จากนั้นก็ก้าวเท้าแผ่วเบาไม่ให้เกิดเสียงรบกวนคนอื่นที่ยังคงหลับใหลในยามราตรีกาลเช่นนี้
บานประตูห้องเปิดออกกว้างพร้อมกับคลื่นลมที่หอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกราชาวดี ดอกไม้ที่มีชื่อไพเราะซึ่งมารดาเธออุตส่าห์หอบหิ้วเมล็ดพันธุ์มาจากเมืองไทย เพื่อเพาะปลูกในดินแดนทะเลทรายซึ่งได้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ หญิงสาวก้าวเท้าช้าๆ ทว่ามั่นคงหนักแน่นออกจากห้อง แต่ไม่ทันได้เดินตรงไปยังบันไดบ้าน ก็มีอันต้องสะดุ้งเฮือกแทบปล่อยกระเป๋าหลุดมือ เมื่อได้เสียงมารดาทักเบาๆ ทำลายความเงียงสงัดในยามราตรีกาล
“รีน่าจะไปวันนี้ใช่ไหมลูก”
คุณธัญจิรากระซิบถามเบาๆ ขณะก้าวออกมาจากความมืด นางอ่านใจบุตรสาวออกตั้งแต่ได้เห็นลูกอ่านราชสาส์นจากเจ้าชายอีสดรีสส์จบแล้ว คิดว่าอัลรีน่าต้องทำเช่นนี้แน่นอน
อัลรีน่ามองมารดาด้วยสายตาอ้อนวอนกระซิบขอร้องเสียงสั่นเครือ “คุณแม่คะ อย่าห้ามรีน่าเลยนะคะ”
ผู้ที่เป็นแม่ไม่ตอบ แต่เอื้อมมืออบอุ่นไปจับต้นแขนขาวผ่องบุตรสาว แล้วดึงให้เข้าไปพูดกันในห้องนอนด้วยเกรงว่าสามีจะตื่นขึ้นมาเห็น และคัดค้านความตั้งใจของลูกสาว นางเปิดดวงไฟให้ความสว่างไสวไล่ความมืดมิดออกไปจากห้องนอนของบุตรสาว ก่อนจะเอ่ยตอบให้อัลรีน่าใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง
“แม่ไม่ห้ามรีน่าหรอกจ้ะ แต่จะให้ความช่วยเหลือหนูด้วย”
“จริงหรือคะ แล้วคุณแม่รู้ได้ไงว่ารีน่าจะหนีออกจากบ้าน”
แม้จะดีใจมากเพียงใดสำหรับคำพูดของมารดาที่สนับสนุนการกระทำของตัวเอง แต่หญิงสาวก็บังคับน้ำเสียงไม่ให้เปล่งออกมาดังมากเกินไป
คุณธัญจิราถอนหายใจหนักหน่วงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ก่อนจะกวักมือให้ลูกสาวได้นั่งลงด้วย มือที่เคยประคับประคองอุ้มชูลูกสาวมาตั้งแต่แบเบาะ จนกระทั่งเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามน่าทะนุถนอม ได้โอบกอดไปรอบบ่าเล็กดึงร่างบางระหงมากอดไว้แน่น
“แม่อ่านใจรีน่าออกตั้งแต่เห็นสีหน้าหนูหลังจากอ่านราชสาส์นจบแล้ว”
อัลรีน่าดึงกายให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนมารดานิดหนึ่งแล้วจับมืออบอุ่นมากุมไว้ ดวงตาคู่สวยสีอ่อนใสจ้องมองแกมขอร้องมารดา ก่อนที่เจ้าตัวจะได้เอ่ยพูดออกมา
“รีน่าไม่อยากแต่งงานเพราะหน้าที่ เพราะคำว่ากตัญญู รีน่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดกับบุรุษเดียวที่รีน่ารัก และได้ตัดสินใจเลือกด้วยหัวใจ”
“แม่รู้จ้ะลูกรัก เพราะถ้าหากเป็นตัวแม่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ก็คงทำใจยอมรับไม่ได้ และคงตัดสินใจไม่ต่างจากรีน่าตอนนี้หรอก”
ผู้เป็นมารดายิ้มอบอุ่นให้ลูกสาว มีแม่คนไหนบ้างที่อยากเห็นลูกออกเรือนแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก แม้จะแต่งงานกับสามีเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนแผ่นดินสยาม มาพำนักพักพิงอยู่ยังดินแดนทะเลทรายช้านานเกือบทั้งชีวิต แต่นางก็ยังเป็นคนไทยแท้ถือคติที่ว่า ‘ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน’ เพราะฉะนั้นนางจะไม่บังคับใจลูกเป็นอันขาด
“รีน่าดีใจที่คุณแม่เข้าใจรีน่า แม้จะรู้ว่าเจ้าชายอีสดรีสส์เป็นสุภาพบุรุษ เป็นเจ้าชายที่ดี แต่รีน่าก็ไม่อาจทำใจรักเจ้าชายได้ หนูอยากพบรักแท้ที่งดงามเหมือนคุณแม่”
“แล้วรีน่าจะไปที่ไหนลูก” คุณธัญจิราอมยิ้มให้กำลังใจขณะที่เอ่ยถามเสียงอบอุ่น
“ยังไม่รู้เลยค่ะรีน่าคิดยังไม่ออกอาจจะไปอเมริกา อังกฤษหรือที่ไหนก็ได้สักแห่ง รีน่าขอแค่ออกจากบ้านได้ก่อน เพราะถ้าหากรีน่าไม่ไปวันนี้ รีน่าก็จะไม่มีโอกาสออกจากกรงทองได้อีกเลย”
ใบหน้างามที่อมทุกข์ นัยน์ตาสีอ่อนใสที่เคยเต้นระริกสุกสกาวแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองไม่สดใสดังเดิม กอปรกับน้ำเสียงที่เอ่ยเศร้าๆ เป็นตัวผลักดันให้คุณธัญจิรากล้าขัดคำสั่งขัดใจสามีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ครองคู่อยู่ด้วยกัน
“ถ้าอย่างงั้นไปเมืองไทยไหมลูก หนูไม่ได้ไปเมืองไทยนานแล้วไม่ใช่หรือ”
อัลรีน่าแย้มยิ้มกว้างออกมาทันที เมื่อมารดาจุดประกายเพิ่งดวงไฟทำลายเส้นทางที่กำลังริบหรี่ให้กับเธอ
“จริงด้วยสิ ทำไมรีน่าคิดไม่ถึงนะ ไปเมืองไทยสยามเมืองยิ้ม รีน่าอยากไปเที่ยวไปเยี่ยมคุณยายตั้งนานแล้ว แต่คุณพ่อไม่ว่างจากราชการสักที”
คุณธัญจิราแย้มยิ้มออกมาได้ เมื่อนึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รัก ซึ่งนางไม่เคยลืมไม่เคยละทิ้งเลยชั่วชีวิต หากมีโอกาสประจวบเหมาะนางมักจะขอร้องให้สามีพากลับไปเยี่ยมแผ่นดินเกิดทุกครั้ง
“รีน่าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่รีน่าไปเยี่ยมคุณยายก็ตอนที่รีน่าอายุราวๆ เก้าขวบ”
“ใครว่าจ๊ะ สิบขวบกว่าต่างหากลูก” คุณธัญจิราค้านยิ้มๆ
อัลรีน่ายิ้มเก้อเขินก่อนจะแก้ต่าง “ก็รีน่าจำไม่ค่อยแม่นนี่คะ ไปซ่อนตัวอยู่กับคุณยายดีที่สุด แถมยังมีผลไม้ให้กินเยอะแยะไม่มีหมดด้วย”
ดวงตาสีอ่อนใสเปล่งประกายเต้นระริกด้วยความตื่นเต้น เมื่อนึกถึงบ้านสวนที่ยังคงอนุรักษ์วิถีชาวบ้านคงความเป็นไทยไว้ โดยไม่ยอมให้ความศิวิไลซ์ของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ได้เข้ามาย่างกราย บ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจีเก็บกินได้ทั้งไม้ผลไม้ดอกเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบมากเป็นพิเศษ
“รีน่าจำที่อยู่คุณยายได้ไหมลูก”
“เอ๋...รีน่าจำได้คร่าวๆ ว่าอยู่ที่จังหวัดสะ...สมุทรสาครใช่ไหมคะคุณแม่”
สมัยเด็กๆ ก่อนที่จะเข้าเรียนมัธยมมารดาเธอมักจะพาไปเยี่ยมคุณยายที่เมืองไทยบ่อยครั้งแต่พอเธอเข้าเรียนแล้ว และช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคุณยายอีกเลย
“สมุทรสงคราม เมืองแม่กลองต่างหากจ้ะ”
คุณธัญจิราแก้ไขให้ถูกต้อง แม้จะมีอาณาเขตจังหวัดที่ติดกันชื่อคล้ายๆ กัน แต่ถ้าหากไม่ชัดเจนเรื่องที่อยู่ก็อาจจะทำให้หาบ้านสวนของคุณยายไม่เจอได้ นางลุกขึ้นไปหยิบกระดาษปากกามาจากโต๊ะทำงานของลูกสาว จากนั้นก็เขียนที่อยู่พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ของมารดานางคือคุณยายทองสุขให้กับบุตรสาว
“แม่จะโทรไปบอกคุณยายไว้ก่อนว่าหนูจะไปหา ให้คุณยายส่งคนที่ไว้ใจได้มารับหนูที่สนามบิน”