ตอนที่ 11
แกงจืดเต้าหู้หมูสับ
เจ้าของร่างสูงกำยำยืนกอดอกมองของบนโต๊ะอยู่นานหลายนาทีโดยมีลูกน้องคนสนิทยืนอยู่ไม่ห่างกัน
“มึงว่าเราควรเริ่มจากตรงไหนวะ” กรุงโรมหันไปถามลูกน้อง
เชฟทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะเสนอวิธีออกมา
“ผมว่าเราควรเปิดคลิปสอนทำแกงจืดดูดีมั้ยครับ”
“เออ ทำไมไม่คิดได้แต่แรกวะ ปล่อยกูยืนงงอยู่ตั้งนาน”
“ขอโทษครับนาย”
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ที่สองเจ้านาย ลูกน้องนั่งดูคลิปทำแกงจืดเต้าหู้หมูสับวนไปวนมาเพราะไม่เข้าใจในขั้นตอนการทำ
“ทำไมยากแบบนี้วะ”
“ผมว่าเราเริ่มจากเตรียมวัตถุดิบตามในคลิปก่อนดีมั้ยครับ”
“เออๆ เดี๋ยวกูสับหมู มึงเอาผักไปล้างแล้วกัน”
“ครับนายน้อย”
ทั้งคู่แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตัวเอง ทางด้านเชฟไม่มีปัญหาเท่าไหร่เพราะแค่ล้างและหั่นพักธรรมดาแต่ทางด้านกรุงโรมเหมือนจะกำลังมีปัญหาเมื่อเขาหมดความอดทนกับหมูชิ้นโต
“ไอ้เชฟ มึงซื้อหมูอะไรของมึงว่า สับโคตรยาก”
เชฟรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านาย แอบลอบถอนหายใจเมื่อเห็นเขากำลังใช้มีดเล่มใหญ่สับลงไปบนหมูชิ้นใหญ่เลยโดยไม่หั่นแบ่งก่อน
“หมูต้องหั่นเป็นชิ้นพอประมาณก่อนครับแล้วค่อยสับ ถึงจะละเอียดได้ง่าย”
“มึงไปรู้วิธีแบบนี้มาจากไหนวะ”
“หนังสือวิธีการชำแหละศพครับ” เชฟตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง กรุงโรมฟังแล้วถึงกลับส่ายหน้าและเอามีดกลับมาจัดการต่อเอง
“มึงไปหั่นผักเถอะ เดี๋ยวจะมามองหมูกูเป็นศพเอา”
“ครับนายน้อย”
กรุงโรมจัดการหั่นหมูเป็นชิ้นเล็กๆ และง่ายต่อการสับ ต่อจากนั้นจึงเริ่มสับหมูให้ละเอียดตามคลิปที่ได้ดูมา
เขาสับหมูด้วยความแรงชนิดที่ว่าเชฟเองยังตกใจ ในจังหวะกำลังสับหมูอยู่นั่นเอง คิเรและคิน ลูกน้องที่ถูกสั่งลงโทษให้วิดพื้นก็วิ่งเข้ามารายงานว่าพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว
“พวกผมวิดพื้นครบสามพันแล้วครับนายน้อย”
“นายน้อยมีอะไรให้พวกผมทำไมครับ”
เพล้ง!
เขียงที่รองรับหมูและความแรงจากมีดที่สับลงมาแตกออกจากกัน ทุกคนในห้องครัวต่างถอยห่างจากกรุงโรมด้วยความตกใจ
“ฉิบหาย เขียงอะไรวะ ไม่ทนเลย”
ทุกคนต่างยิ้ม ไม่มีใครกล้าพูดความจริงว่าเขียงแข็งแรงมากแต่กรุงโรมเองต่างหากที่รุนแรงเกินไป
“เดี๋ยวผมสับต่อให้ก็ได้ครับนายน้อย”
คิเรเสนอขึ้น กรุงโรมเลยพยักหน้าและหันไปเตรียมอย่างอื่นแทน
“เออดีเหมือนกัน เดี๋ยวกูไปต้มน้ำรอ” ว่าแล้วกรุงโรมก็เดินไปจัดการต้มน้ำ ซึ่งปัญหาต่อไปก็ตามมาติดๆ นั่นคือเขาเปิดแก๊สไม่เป็น
ชายหนุ่มลองกดปุ่มอยู่หลายครั้งจนหมดความอดทนทำท่าจะกระโดดถีบเตาไฟฟ้าเจ้าปัญหา โชคดีที่คิน ลูกน้องอีกคนห้ามไว้ทัน
“นายน้อยใจเย็นครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” กรุงโรมถอยออกมาปล่อยให้คินจัดการเปิดเตาให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนจึงมายืนเรียงกันหน้าเตาเป็นแถวหน้ากระดานโดยมีกรุงโรมยืนอยู่หน้าหม้อตรงกลาง
พวกเขาต่างมองน้ำในหม้อด้วยความลุ้น ว่าน้ำจะเดือดเมื่อไหร่จนกระทั่งกรุงโรมเริ่มทนไม่ไหวอีกครั้ง
“ทำไมมันเดือนช้าแบบนี้วะ”
“เอ่อ ผมลองเร่งไฟดีมั้ยครับ”
“เออ เร็วๆ เลย แม่งเอาให้แรงๆ เลยนะ”
เตาถูกเร่งในระดับความแรงสูงสุดตามคำสั่งเจ้านาย เพียงครู่เดียวน้ำก็เดือดขึ้นจนทุกคนร้องโห่ดีใจราวกับถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
“เย้ เดือดแล้วครับนายน้อย”
“เดือดจริงๆ ด้วยครับ” ลูกน้องของกรุงโรมต่างตื่นเต้น พวกเขาเองก็ไม่เคยทำอาหารเหมือนกัน ถนัดแต่จับมีด จับปืน
“เยี่ยมมาก ถ้าช่วยให้กูทำไอ้แกงจืดนั่นออกมาได้เดี๋ยวเดือนนี้กูขึ้นเงินเดือนให้”
“ขอบคุณครับนาย” ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง เชฟรีบหันไปหยิบหมูที่กรุงโรมหมักไว้ให้เขาเพื่อทำขั้นตอนต่อไปทันที
“ขั้นตอนต่อไปคือใช้ช้อนตักหมูเป็นก้อนและใส่ลงไปในน้ำเดือดครับ”
ขั้นตอนนี้แหละที่กรุงโรมวนดูเป็นสิบรอบ เพราะไม่เข้าใจว่าการตักหมูเป็นก้อนใส่ลงไปนั้นต้องทำยังไง
“ลองดูก่อนแล้วกัน”
กรุงโรมค่อยๆ บรรจงใช้ช้อนตักหมูขึ้นมาเป็นก้อนและค่อยๆ ใส่ลงไปในหม้อท่ามกลางการลุ้นของลูกน้องทั้งสาม
เมื่อหมูร่วงหล่นลงไปในหม้อ ออกมาเป็นก้อนอย่างที่หวัง ทุกคนก็ร้องเฮขึ้นมาอีกครั้ง
“โฮ นายน้อยสุดยอดไปเลยครับ”
“ใช่ครับ นายน้อยนี่เก่งทุกด้านจริงๆ ครับ”
คิเรและคินต่างชื่นชมเจ้านายของตัวเอง ส่วนคนโดนชมก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ธรรมดา กูมันคนเก่งอยู่แล้ว”
“แต่นายน้อยเพิ่งใส่หมูได้แค่ก้อนเดียวนะครับ”
เชฟขัดขึ้น จึงโดนกรุงโรมมองด้วยสายตาดุๆ
“ขอโทษครับนายน้อย”
กรุงโรมพยักหน้าประมาณว่าไม่เป็นอะไร ก่อนที่เขาจะหันกลับไปตั้งใจใส่หมูลงไปต่อ ซึ่งสวยงามได้เพียงแค่ลูกแรกเท่านั้น ส่วนลูกหลังๆ ก็มีรูปร่างแปลกประหลาดไปหมด
“กูว่า ตอนกูใส่ลงไปก็สวยนะ คงเปลี่ยนเป็นรูปแบบนี้ตอนโดนน้ำร้อนแน่เลย”
“อาจจะใช่ครับนายน้อย”
“ขั้นต่อไปคืออะไรเชฟ”
“ปรุงรสครับ นี่ซีอิ๊วขาวหนึ่งช้อนโต๊ะครับ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อหันไปเห็นเครื่องปรุงที่ลูกน้องส่งให้
“นี่คือซีอิ๊วขาวเหรอ?”
“ครับนายน้อย”
“มึงมั่วรึเปล่า ซีอิ๊วขาวทำไมสีดำวะ”
คนโดนถามถึงกับงง รีบหันกลับไปดูขวดเครื่องปรุงชนิดนี้อีกครั้ง
“แต่ที่ขวดก็เขียนว่าซีอิ๊วขาวนะครับ”
“เหรอวะ เออๆ เอามาเถอะ” กรุงโรมรับซีอิ๊วขาวมาใส่ก่อนจะหันไปรับเครื่องปรุงต่อไปจากลูกน้องอีกคน
“นี่น้ำตาลครับนายน้อย”
“ส่วนนี่เกลือครับนายน้อย”
หลักจากปรุงทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กรุงโรมเลยหยิบผักใส่ลงไป
“ตบท้ายด้วยเต้าหู้ครับนายน้อย”
หน้าตาอาหารออกมาค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว ในจังหวะที่กรุงโรมกำลังจะตักชิมน้ำซุปก็มีเสียงหวานเรียกชื่อเขา
“กรุงโรมคะ”
“เหมือนเสียงคุณวาวาเลยนะครับ”
พลั่ก
“โอ๊ย”
เสียงร้องของหญิงสาวทำให้กรุงโรมรีบวางช้อนลงและหันไปสั่งลูกน้องก่อนที่ตัวเองจะวิ่งออกไปจากห้องครัว
“จัดการเอาใส่จานให้เรียบร้อย”
“ครับนายน้อย”
หลังจากกรุงโรมเดินออกไป เชฟก็เดินแยกออกไปคุยงาน
ตอนนี้ในครัวจึงเหลือแค่คินและคิเร ทั้งคู่เตรียมถ้วยมาใส่แกงจืดแต่ก่อนจะตักพวกเขาก็ลองตักขึ้นมาชิมก่อน
“มึงลองชิมดิคิน” คินอ้าปากรับน้ำซุปจากช้อนก่อนจะมีสีหน้าเหยเก
“เฮ้ย เป็นไรวะคิน”
“เค็มฉิบหาย”
“ไม่น่านะ กูยื่นเกลือให้นายนิดเดียวเอง”
เมื่อพูดถึงเกลือ ทั้งคู่เลยหันมองหน้ากันและหันกลับไปยังเครื่องปรุงที่พวกเขาเพิ่งเอาไปเก็บ
“ฉิบหายแล้ว”
“อย่าบอกนะว่าเราเอาน้ำตาลกับเกลือสลับกัน”
“อ๋อย กูโทรไปสั่งเสียทางบ้านเลยแล้วกัน”